To sooth my soul
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2555
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
9 ตุลาคม 2555
 
All Blogs
 
การบำบัดรักษา(ในแง่มุมของผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์ดิสออร์เดอร์)

การบำบัดรักษา


            ข้อมูลในการบำบัดรักษาทั่วไปของโรค bipolar disorder สามารถหาอ่านได้ในอินเตอร์เน็ตนี่แหละครับ ถ้าเป็นข้อมูลทางการแพทย์ที่หาได้ส่วนใหญ่จะเป็นข้อมูลของโรงพยาบาลรามาธิบดีครับ แต่ในตอนนี้ผมจะพูดถึงการบำบัดรักษาในแง่มุมของผมเองนอกเหนือจากข้อมูลทางการแพทย์นะครับ

            ผมกลับมาเมืองไทยด้วยอาการผิดหวังและซึมเศร้าอย่างหนักเนื่องจากต้องออกจากการศึกษากลางครัน ระหว่างนั้นก็มีอาการแปลกๆเกิดขึ้นกับผม ผมนอนไม่หลับเป็นวันๆบางวันก็หลับทั้งวันทั้งคืน บางวันตื่นมาเห็นภาพรอบตัวทุกอย่างเป็นภาพเน็กกาทิฟไปหมดบางวันมีอาการเหมือนมีคนมาคุยด้วย บางวันมีลักษณะเหมือนคนทรงเจ้า(ตัวสั่นอย่างหนักและพูดจาไม่เป็นภาษา)และเห็นภาพอะไรแปลกๆ เช่น ผมมองหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าก็เห็นกลุ่มเมฆลอยมารวมกันเป็นหน้าของตนเอง ช่วงนั้นผมทำอะไรไม่ได้ต้องอยู่บ้านตลอดจึงเป็นภาระของพี่ชายผมที่ต้องไปติดต่อกับทางกพ.แทน เพราะเมื่อผมมีอาการดีขึ้นค่อยต้องไปทำงานใช้ทุนที่คณะผมไปอยู่ที่อเมริกาสี่เดือนจึงต้องกลับมาทำงานใช้ทุนที่คณะแปดเดือน

ในช่วงที่พักฟื้นนั้นเองผมตัดสินใจไปพบจิตแพทย์เพราะอยากทราบว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับผมกันแน่ ผมไปพบแพทย์ที่ญาติแนะนำมาเป็นคลินิกเล็กๆ หมอเจ้าของคลินิกเป็นญาติห่างๆของผมเอง การรักษามีปัญหานิดหน่อยคือผมต่อต้านการบำบัดรักษา เนื่องจากผมไม่รู้ข้อมูล หมอไม่บอกตรงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบอกแค่ว่าผมเป็น ไบโพล่าร์ดิสออร์เดอร์ เนื่องจากสารเคมีในสมองไม่สมดุล

หมอไม่มานั่งอธิบายว่าโรคนี้นะ มีอาการสามช่วงนะ ช่วงมาเนีย คือช่วงอาการคึกครื้นสุดขั้ว บางช่วงปกติและช่วงเศร้าสุดขั้ว อารมณ์จะแปรปรวนเหมือนลูกคลื่นสลับไปมานะ ช่วงมาเนียหรือซึมเศร้านี่อาจมีอาการทางจิตมาร่วมด้วยเช่นหูแว่วประสาทหลอนนะ ดังนั้นห้ามนอนดึก ไม่ควรนั่งสมาธินะ อย่าดื่มสุรา กาแฟหรือสูบบุหรี่ล่ะ

หมอจะไม่มานั่งอธิบายว่าการกินยาจะช่วยให้ช่วงมาเนียและซึมเศร้าไม่สุดขั้ว ทำให้หูแว่วประสาทหลอนน้อยลงและช่วยยื้อช่วงที่เรามีอารมณ์ปกติให้นานขึ้นนะ หมอไม่มาเล่าว่าการกินยาจะทำให้สมองเสื่อมชั่วคราวและผมร่วง น้ำหนักขึ้น ง่วงซึม และหมดความกำหนัดชั่วคราว แต่พอปรับยาเข้าที่ทุกอย่างก็จะดีขึ้นเองนะอดทนนะ อย่าใจร้อน

การไม่อธิบายเรื่องต่างๆให้ชัดเจนให้คนไข้ได้เตรียมใจก่อน ทำให้ผู้ป่วยอย่างผมต่อต้านการรักษา เป็นเรื่องธรรมดาที่คนเราจะมีความเชื่อที่ต่างกันในเรื่องเหนือธรรมชาติมากบ้างน้อยบ้างการที่หมอไม่ให้คำอธิบายที่ดีในตอนนั้นทำให้ผมมีศรัทธาที่แกว่งไปมาระหว่างการแพทย์กับเรื่องเหนือธรรมชาติ การต้องก้มหน้าก้มตากินยาโดยไม่เห็นผลอะไรทำให้ศรัทธาในการแพทย์ลดลงอย่างมากจนอยากจะหันไปพึ่งทางเลือกเหนือธรรมชาติ

ด้วยการเข้าไม่ถึงข้อมูลการรักษาทำให้ผมไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วผู้ป่วยต้องกินยาเพื่ออะไร กินยาเป็นกำๆเพื่ออะไรและเสียค่ารักษามากมายเพื่ออะไร ซึ่งช่วยได้แค่ทำให้อาการดีขึ้นบ้าง แล้วก็ทรุดลงแถมมีแนวโน้มว่าต้องกินยาไปตลอดชีวิต ดังนั้นในย่อหน้าต่อไปผมจึงขอพูดถึงเรื่องยาก่อนก็แล้วกันนะครับ

สำหรับผู้ป่วยแล้วยาปัจจัยสำคัญในการรักษาครับ ผมเรียนวิทยาศาสตร์มา ในเมื่อเคมีในสมองเราไม่สมดุลเราก็ต้องทำให้มันสมดุล โดยการกินยาที่เป็นสารเคมีเข้าไปนี่แหละครับส่วนกลไกเป็นอย่างไรนั้นคงต้องไปหาอ่านจากตำราแพทย์นะครับ

ยาจะทำให้คนไข้ที่มีอารมณ์แปรปรวนขึ้นๆลงๆหลอนๆ ให้แปรปรวนน้อยลงและมีเวลาตั้งตัวตั้งสติได้ เมื่อคนไข้ตั้งสติได้ช่วงนี้จะเป็นโอกาสที่จะทำจิตใจและร่างกายให้แข็งแกร่ง เขาจะสามมารถพูดคุยติดต่อสื่อสารด้วยเหตุผลกันแบบคนปกติได้ และแน่นอนว่าไม่ใช่ว่ากินปุ๊บจะได้ผลปั๊บนะครับ และการปรับยาให้เข้าที่มีผลข้างเคียงมากมายทีเดียว

เมื่อแรกเริ่มหมอจะให้ยาในปริมาณมากไว้ก่อนโดยเฉพาะผลข้างเคียงของมันมีสูง โดยเฉพาะกับยารุ่นเก่าๆที่ผมเคยกินที่แม้มีราคาถูกแต่ผลข้างเคียงก็มีมาก ผมเคยกินยาสิบสี่เม็ดต่อวันในระยะแรก เป็นยารุ่นเก่า ด้วยยาในปริมาณที่มากนี้ทำให้ผมเกิดภาวะ สมองเสื่อมชั่วคราว ง่วงซึม ลิ้นเปลี่ยนรสชาติชั่วคราว และ หมดความกำหนัดชั่วคราว เรียกว่าช่วงวิกฤตที่สุดในการรักษาเลยทีเดียว

ในช่วงวิกฤตนี้เองคนไข้จะทำงานทีซับซ้อนไม่ได้เลย อ่านและเขียนหนังสือไม่ได้ สะกดคำผิดพลาด คำนวณเลขไม่ได้ แม้วาดรูปได้แต่ลายเส้นจะเปลี่ยนไปแน่นอนว่าถ้าหมอไม่บอกก่อน คนไข้จะตกใจมากและนึกว่าเขาสมองพิการไปแล้วจนหมดทางทำมาหากินซึ่งจะนำไปสู่สิ่งที่ผมเรียกว่าความซึมเศร้าซ้ำซ้อน คือนอกจากจะป่วยซึมเศร้าจากอาการทางสมองแล้วจิตใจก็เจ็บป่วยด้วยส่งผลให้คนไข้ขาดความมั่นใจในตัวเอง คิดว่าตนเป็นภาระของครอบครัวและสุดท้ายจะมีแนวโน้มทำร้ายตัวเอง และผู้อื่นได้ครับและแน่นอนความซึมเศร้าซ้ำซ้อนนี้ทำให้ผมคิดจะลาโลกไปหลายครั้งแต่ผมมีกำลังใจที่ดีคือแม่ ผมรักแม่มากและแม่รักผมมาก ในช่วงที่อาการไม่สุดขั้วผมพอจะมีสติอยู่บ้าง ผมพอจะคิดได้ว่าการลาโลกไปก่อนเวลาอันสมควรไม่ใช่เรื่องดี ผมไม่ควรทิ้งปัญหาและความทุกข์ไว้ให้กับคนที่ยังอยู่ เพราะอย่างน้อยผมก็ยังทำประโยชน์อะไรได้บ้าง แม้บวกเลขไม่ได้แต่ก็ยังกวาดบ้านได้ ถูบ้านได้ ล้างจานได้ อย่างน้อยก็ทำประโยชน์ได้บ้าง ทั้งนี้ปัจจัยส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมคิดได้ ก็คือยา ยาทำให้ผมมีสติมีเวลามากพอที่จะไตร่ตรองมองเห็นปัญหาต่างๆด้วยความมีเหตุมีผล และเรียนรู้ว่าทุกอย่างจะค่อยๆดีขึ้น ซึ่งผมเพิ่งจะมารู้ได้เมื่อผมเปลี่ยนหมอไปสองคนแล้ว

หมอสองคนแรกได้แต่จ่ายยาไม่พูดคุยอะไร ไม่อธิบายอะไร ถามอาการสองสามคำ สั่งยาให้แล้วก็ให้กลับบ้านยังดีหน่อยที่หมอคนที่สองใช้ยารุ่นใหม่ขึ้นมา เป็นยาที่มีประสิทธิภาพสูงแม้ราคาจะแพงมากแต่มันก็ทำให้ผมเริ่มตั้งสติได้มั่นคงขึ้นและละทิ้งความคิดเกี่ยวกับเรื่องเหนือธรรมชาติออกไปหลายส่วนซึ่งทำให้ผมกลับมาเป็นปกติได้เร็วขึ้นหน่อย และในช่วงนี้ผมต้องพึ่งการออกกำลังกายและแบบฝึกหัดฟื้นฟูสมองร่วมด้วยเพื่อให้สมองกลับมามีประสิทธิภาพเท่าเดิมแม้อาการยังไม่คงที่นักแต่ผมก็เริ่มอยู่กับมันได้ และกลับมาเริ่มทำงานประจำเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้เหมือนเดิม

พอเปลี่ยนมาเป็นหมอคนที่สามผมเริ่มตั้งตัวได้ผมหาข้อมูลค้นคว้าด้วยตัวเอง อ่านตำราแพทย์ที่เกี่ยวข้องพอจะจับทางโรคของตัวเองได้มากขึ้น อาการในระยะห้าปีหลังจึงแกว่งน้อยมากและมีช่วงปกติที่ยาวนานขึ้น แต่ที่ต้องออกจากงานประจำเมื่อหกปีก่อนเพราะอาการกำเริบและนายจ้างไม่ยอมให้หยุดงานตอนที่ภรรยาผมคลอดทำให้ผมเครียดจนโรคกำเริบนี่แหละแต่พอกลับมาช่วยงานที่บ้านผมก็มีอาการดีขึ้นเป็นระยะๆจนคงตัว แม้ล่าสุดจะกำเริบขึ้นเมื่อไม่นานมานี้แต่ก็ทิ้งช่วงไปเป็นเวลานานมากทีเดียว

และตอนนี้ยาที่กินอยู่ก็เป็นปริมาณที่น้อยมากค่ายาเฉลี่ยวันละสองร้อยบาท ซึ่งผมพอรับได้ ตอนนี้ผมมีความสามารถในการคิดคำนวณเป็นปกติ และมีอารมณ์ที่ปกติไม่แกว่งไปมาจนสุดขั้ว ไม่มีความคิดที่จะทำร้ายตัวเองและผู้อื่น แม้จะมีปัญหาเรื่องผลข้างเคียงของยาคือผมร่วงกับน้ำหนักเพิ่มก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก 

แต่หากท่านเป็นผู้ป่วยและคิดจะมีครอบครัวโปรดปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อจะได้ให้หมอดูแลอย่างใกล้ชิดนะครับ เพราะยาบางชนิดอาจมีผลต่อลูกที่จะเกิดมาได้

ใครที่ยังมีสติและสงสัยว่าตนเองป่วยเริ่มแรกควรหา“แบบคัดกรองผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์ดิสออร์เดอร์”ของกรมสุขภาพจิตมาทำก่อนนะครับจะสามารถบอกได้ว่าท่านควรไปพบแพทย์หรือไม่ แต่ถ้าหากท่านเริ่มมีอาการขาดสติโดยเฉพาะมีความคิดอยากทำร้ายตัวเองหรือผู้อื่นให้รีบพบจิตแพทย์โดยเร็วดีกว่า

คนปกติส่วนใหญ่จะคิดว่าผู้ป่วยเป็นอันตรายผมขอเสริมว่า ผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องนั้นเป็นอันตรายแน่ๆครับ ผู้ป่วยที่มีอาการหวาดระแวงนั้นจะกลัวการถูกคุกคามมากกว่าคนปกติหลายเท่านักแต่ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูเถิด คนที่ทำผิดต้องคดีต่างๆล้วนเป็นคนปกติเสียส่วนใหญ่ และเป็นคนปกติเสียอีกที่วิ่งเข้าหายาเสพติดซึ่งเป็นตัวทำให้เกิดอาการคล้ายกับผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการแสดงอาการของโรคนี้ล้วนมีเหตุและบางส่วนก็มีเหตุเฉพาะบุคคลทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นประเด็นปัญหาครอบครัว ความเครียดความกดดันในชีวิต หรือแม้แต่ความเจ็บป่วยทางร่างกาย

ย่อหน้านี้สำหรับคุณหมอครับ โรคของผมเกิดจากสารเคมีในสมองไม่สมดุลก็จริง แต่มันไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิดโดยเฉพาะอาการหูแว่วประสาทหลอน มันมีสาเหตุมาจากสองทางคือนิสัยที่ถูกปลูกฝังมาแต่เด็ก ที่ยึดมั่นถือมั่นจนเกินไป และความผิดปกติของสารเคมีในสมอง การใช้ยาอย่างเดียวช่วยได้ไม่ถึงร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกครับ หากไม่ปรับนิสัยส่วนตัวด้วยดังนั้นการที่หมอซักอาการเพียงสองสามคำแต่ไม่แก้ปมในใจหรือให้ข้อแนะนำอะไรเพิ่ม เลย ผมว่าเป็นการรักษาที่ขาดความสมบูรณ์ครับ เหมือนหมอรักษาโรคท้องเสีย แค่จ่ายยาแล้วให้กลับบ้านแต่ไม่บอกว่าให้ล้างมือให้สะอาด กินอาหารอ่อนๆ ไม่กินรสจัด กินอาหารปรุงสุกใหม่ๆ อย่ากินอาหารค้างคืน เพราะเดี๋ยวคนไข้จะกลับมาป่วยอีก อย่างใดก็อย่างนั้น ผมขอฝากถึงหมอทุกท่านที่ผ่านมาอ่านเลยนะครับ

การบอกถึงเรื่องราวเกี่ยวกับการรักษาอาการของโรค สาเหตุ ผลกระทบ ให้ผู้ป่วยรู้ ตามสมควรย่อมเป็นการดีเพื่อที่เขาจะได้เตรียมตัวเตรียมใจและอดทนรับมันได้ ไม่ใช่แค่สั่งยาให้แล้วปล่อยกลับบ้าน ผู้ป่วยมากมายที่ทนต่อการบำบัดรักษาไม่ไหวก็จะต่อต้านการรักษาจนรักษาไม่หายและแย่ลงบางรายทนไม่ได้ก็ถึงกับลาโลกไปเลยก็มี

สำหรับผู้ป่วยบางคนกินยาแล้วดีขึ้นพอมาอยู่ในช่วงปกติก็แอบหยุดยาเอง นั้นอันตรายนะครับเพราะอาการจะกำเริบขึ้นเมื่อใดก็ได้ ดังนั้นไม่ควรทำอย่างยิ่ง

สำหรับผมแล้วปัจจัยที่มีผลต่อการบำบัดรักษาโรคนี้คือยา ตัวเราเอง และครอบครัว ซึ่งทั้งสามส่วนนี้จะเชื่อมโยงกันอยู่ตลอดเวลาและมีความสำคัญเท่าๆกันหมด ตัวโรคจะทำให้เราสูญเสียตัวเองในภาวะปกติ การรักษาต้องอาศัยยา และตัวเราเองต้องมีภูมิคุ้มกันทางจิตใจที่ดีและ รวมไปถึงครอบครัวผู้ป่วยที่จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในตัวผู้ป่วย และตัวโรคด้วย จึงจะสามารถดึงผู้ป่วยให้กลับสู่ภาวะปกติได้ ในบล็อกนี้พูดถึงเรื่องยาแล้ว บล็อกต่อไปอาจจะพูดถึงการปฏิบัติตัวของผมเมื่อต้องต่อสู้กับโรคนี้แล้วค่อยข้ามไปในส่วนของครอบครัวก็แล้วกันนะครับ




Create Date : 09 ตุลาคม 2555
Last Update : 26 ตุลาคม 2555 18:12:54 น. 7 comments
Counter : 8177 Pageviews.

 
หวัดดีครับคุณบี

มาอ่านต่อครับ
เรื่องหมอไม่ค่อยอธิบายคนไข้เนี่ย..สร้างปัญหาได้ง่ายๆ
หมอบางคน มีเวลาก็ไม่ค่อยพูด ไม่ค่อยอธิบาย
แต่บางคนก็ไม่มีเวลาเพราะคนไข้เยอะมาก...แก้ยังงัยดีเนี่ย


โดย: Dingtech วันที่: 11 ตุลาคม 2555 เวลา:22:31:29 น.  

 
จริงของครูดิ่งครับ หมอบางคนมีคนไข้เยอะมากๆจนไม่มีเวลาอธิบายอะไรเลย ก็น่าเห็นใจหมออยู่เหมือนกันครับ

ผมว่าโรคอื่นไม่ค่อยเท่าไหร่ครับ แต่โรคทางจิตเวชนี้ต้องดูแลกันมากจริงๆ

ผู้ป่วย ญาติๆหรือผู้ดูแลก็ต้องหาข้อมูลเองด้วย แต่ก่อนข้อมูลไม่มากขนาดนี้ มีแต่ภาษาอังกฤษ เดี๋ยวนี้ข้อมูลโรค bipolar เริ่มเยอะแล้วครับ เมื่อผู้ป่วยหรือ ผู้ดูแล รวมถึงคนอื่น เข้าถึงข้อมูลมากๆ น่าจะเป็นการดีสำหรับคนไข้นะครับ

ในเฟสบุ๊คส์ มีกลุ่มผู้ป่วย Bipolar ที่แบ่งปันประสบการณ์กันอยู่ ผู้ป่วยสามารถขอเข้ากลุ่มไปพูดคุยกับผู้ป่วยคนอื่นได้ครับ ผมว่าช่วยหมอได้ส่วนหนึ่งเลยทีเดียว


โดย: Polarbee วันที่: 12 ตุลาคม 2555 เวลา:17:18:30 น.  

 
https://www.facebook.com/groups/bipolarfc/

หมอหรือคนไข้โรคไบโพล่าร์ท่านใดผ่านมาสามารถไปแบ่งบันประสบการณ์ที่กลุ่มนี้ได้ครับ


โดย: Polarbee วันที่: 12 ตุลาคม 2555 เวลา:17:22:41 น.  

 
อ่อ ยังมี ชมรมไปโพล่าร์ อีกครับ อยู่ที่รพ.ศรีธัญญาครับ เจ้าหน้าที่ที่นั่นจะให้คำแนะนำดีๆได้


โดย: Polarbee วันที่: 12 ตุลาคม 2555 เวลา:17:43:36 น.  

 
//www.bipolarfriendclub.com/


โดย: Polarbee วันที่: 12 ตุลาคม 2555 เวลา:17:46:17 น.  

 
หวัดดีครับคุณบี

การเรียนรู้กับคนหัวอกเดียวกันนี้มีประโยชน์มากนะครับ
อย่างน้อยก็คือการให้กำลังใจกัน ไม่เศร้าสร้อยว่าเคราะห็ร้ายแต่ผู้เดียว
จิตแพทย์ในประเทศเราขาดแคลน...หมอไม่นิยมเรียน
ผมว่าทั้งเรียนยากและทำมาหากินลำบากรึปล่าว
แต่ตอนนี้ก็ค่อยๆนิยมเรียนกันมากขึ้น...เห็นไปประจำใน รพ.เอกชนเหมือนกัน
สื่อออนไลน์...หากนำมาใช้ดีๆแบบนี้ ช่วยได้ทั้งหมอและผู้ป่วย...ชื่นชมครับ


โดย: Dingtech วันที่: 13 ตุลาคม 2555 เวลา:10:19:02 น.  

 
ไม่ว่าคุณจะเป็นโรคซึมเศร้า โรคไบโพลาร์ หรือมีคนที่คุณรักเป็น คุณไม่ได้เผชิญกับปัญหานี้อยู่คนเดียว มารู้จักกันที่เฟซบุคเพจ BipolarFC แล้วสมัครเข้ามาในกลุ่ม “ห้อง BipolarFC” ซึ่งมีความเป็นส่วนตัวสูง แล้วคุณจะได้พบปะพูดคุยกับเพื่อนๆที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกับคุณ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้และต่อสู้ไปด้วยกัน แล้วคุณจะพบด้วยตัวเองว่า การไม่ต้องต่อสู้อยู่คนเดียวนั้นช่วยได้ขนาดไหน

//www.facebook.com/bipolarfc


โดย: ไม่ใช่ใคร วันที่: 18 ตุลาคม 2557 เวลา:23:06:54 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Polarbee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




ไม่เขียน ไม่เลอะ
ไม่เปรอะ ไม่ผิด
ไม่เขียน ไม่คิด
ไม่ผิด ไม่จำ
New Comments
Friends' blogs
[Add Polarbee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.