To sooth my soul
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
9 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 

อาการที่พึงระวัง อาการ delusion

ก่อนจะเขียนเรื่องนี้ ผมคิดหนักว่า ควรจะเขียนหรือเปล่า

เมื่อไตร่ตรองดูแล้ว ผมเห็นว่ามีประโยชน์ต่อผู้ป่วยไบโพล่าร์ชนิดที่หนึ่งและผู้ดูแลมาก
ผมไม่กล้าใส่รายละเอียดอะไรลงไปมาก
ได้แต่บอกว่า โรคนี้และอาการนี้รักษาได้ อย่าปล่อยให้เป็นหนักจนเกินเยียวยา
ภาวนาให้โรคนี้ อาการนี้ ไม่เกิดขึ้นกับผู้ใด
อีกอย่าง อย่าตัดสินใครว่าเป็นคนชั่ว เพียงเพราะเขาป่วย
และอย่าตัดสินว่าผู้ใดป่วย โดยไม่ได้รับคำยืนยันจากแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญ
เพราะคนที่หลงผิด อาจเป็นตัวคุณเอง (ไม่ได้แช่งใครนะครับ)
ผมอาจจะถูกด่า ที่เอาเรื่องนี้มาเผยแพร่ เพราะอาจจะทำให้ภาพพจน์ผู้ป่วยดูแย่ลง
แต่มันคงจะแย่ลงยิ่งกว่า ถ้าป่วยแล้วไม่ไปรักษา
ผู้อ่านที่นึกไม่ออกว่า อาการไบโพล่าร์ชนิดที่หนึ่งเป้นยังไง
แนะนำให้หาภาพยนตร์เรื่อง A Beautiful Mind มาดูนะครับ
วันนี้ แปะไว้เท่านี้ก่อน ถ้านึกอะไรได้อีก จะมาเพิ่มเติมทีหลังนะครับ

หลังจากนอนคิดแล้วหนึ่งคืน ผมก็ตัดสินใจว่าจะเขียนเล่าอะไรบ้างเกี่ยวกับตัวเอง
เรื่องต่อไปนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล และเป็นอาการป่วยส่วนบุคคล
ไม่ใช่ผู้ป่วยทุกคนจะมีอาการแบบผมนะครับ

โรคไบโพล่าร์ชนิดที่หนึ่ง นอกจากมีอาการซึมเศร้า และคึกครื้นเกินเหตุแล้ว
อาจมีหูแว่วประสาทหลอนขึ้นมาร่วมด้วย

แต่ก่อนอื่นผมขอบอกว่าผมไม่ได้เสพยาเสพติดนะครับ
หมออธิบายให้ผมฟังว่าผมมีสารโดปามีนในสมองมากเกินไป เนื่องจากอดนอนและเครียดเป็นเวลาต่อเนื่องกันยาวนาน เมื่อไม่ยอมนอนพักผ่อน สมองจึงไม่สามารถย่อยสลายเจ้าสารโดปามีนตัวนี้ให้ลดลงได้ ทำให้มันมีปริมาณมากเกินปกติ และส่งผลให้เกิดอาการหูแว่ว และประสาทหลอน

เดิมทีเดียว ผมก็เป็นคนมีสติสตังค์ครบถ้วนนี่แหละครับ แต่อาจจะค่อนข้างเจ้าอารมณ์สักหน่อย
อารมณ์ร้อน แต่ก็ไม่เคยลงมือลงไม้กับใครมาก่อนเลยในชีวิต

ในตอนแรกที่อาการของโรคกำเริบ และรู้ตัวว่ามีสิ่งผิดปกติเกดิขึ้นกับตัวเอง ก็คือตอนที่นั่งสมาธิเพื่อสงบจิตสงบใจหลังจากที่เครียดเมื่อทำแผ่นดิสก์ที่เก็บไฟล์งานหายไป แล้วต้องเริ่มทำใหม่อีกรอบ
ผมก็กะเอาไว้ว่านั่งให้ใจสงบใจนิ่งสักพัก แล้วคงเริ่มทำรายงานต่อได้อย่างไม่มีปัญหา

แต่ผลปรากฏว่าผมกลับได้ยินเสียง ที่ผมได้ยินเพียงคนเดียวในหัว หรือที่เรียกว่าอาการหูแว่วนั่นแหละครับ มันสั่งให้ผมทำร้ายตัวเอง แต่ผมก็ฝืนไว้ได้ ตอนนั้นผมพลาดไปหน่อย หากมีใครสักคนอยู่ด้วย ผมจะถามเขาว่าได้ยินเหมือนที่ผมได้ยินหรือเปล่า หากเขาไม่ได้ยินด้วย ผมคงรู้ตัวว่าผิดปกติเร็วขึ้น แต่เจ้าเสียงบ้านั่นก็ฉลาด เหมือนมันเลือกจังหวะได้เหมาะสมจริงๆ เพราะผมอยู่คนเดียวในตอนนั้น

พอนั่งสมาธิไประยะหนึ่ง ผมกลับรู้สึกเหมือนมีพระสงฆ์มานั่งครอบตัวไว้ ร่างกายสว่างเจิดจ้า รู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เหมือนมีแรงเพิ่มขึ้น อาการเครียดและอาการง่วงหายไปเป้นปลิดทิ้ง และเจ้าเสียงนั่นก็หายไปด้วย แต่พอออกจากสมาธิ ผมกลับเห็นไฟดวงโคมในห้อง หรี่แล้วก็สว่าง หรี่แล้วก็สว่างสลับไปสลับมา โทรทัศน์ที่เปิดทิ้งไว้ เปลี่ยนช่องเองโดยที่ผมไม่ได้กดรีโมท หรือกดเปลี่ยนช่องบนตัวเครื่อง แถมเจ้าเสียงนั่นก็มาบอกว่า มีระเบิดอยู่ในศาสนสถานของมหาวิทยาลัย ประกอบกับช่วงนั้น อเมริกาเพิ่งผ่านเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกมาหมาดๆ

พอผมประสบเหตุการณ์นี้เข้า ผมก็เชื่อทันทีว่าอาจจะเป็นอย่างที่เสียงในหัวบอก ผมวิ่งขึ้นอย่างสุดแรงเขาไปที่นั่น ระหว่างทางผมรูเหนือยจนจะขาดใจอีกไม่ถึงร้อยเมตรจะถึงจุดหมาย ผมก็รู้สึกเหมือนมีแรงอัดอากาศมากระแทกร่างกายจนหายใจไม่ออก เจ็บหน้าอก หน้าชาไปหมด และรู้สึกร้อนวาบไปทั่วร่าง ผมคุกเข่าลงกับพื้นแล้วเห็นภาพเหมือนเปลวไฟพุ่งผ่านร่างกายไปอย่างรวดเร็ว ผมรู้สึกว่าตัวเองหยุดหายใจและตาพร่าไปชั่วครู่ ในใจก็คิดว่าแย่แล้ว

แต่พอเริ่มหายใจได้อีกครั้งและสายตากลับมาเป้นปกติ อาคารสถานที่ก้ยังเหมือนเดิม ไม่มีการระเบิด หรืออะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น ผมก็เลยเดินกลับหอพักแบบงงๆนิดหน่อย

พอเพื่อนร่วมห้องกลับมามันก็ยุให้ผมมีเรื่องกับเพื่อนร่วมห้อง ในช่วงนั้นผมมีปัญหากับเขาเล็กน้อย เพราะเขาไม่ค่อยดูแลรักษาความสะอาดของห้องพัก ปล่อยให้เป้นหน้าที่ผมคนเดียว เจ้าเสียงนั่นเลยยุให้เราทะเลาะกัน แต่ผมก็ยังฝืนไว้ได้ ไม่มีปากเสียง ไม่มีการลงไม้ลงมือ มีแต่เสียงในหัว ที่สุดท้ายมันก็เงียบไป

พอตกดึก ผมก็ทำงานต่อ เพื่อนร่วมห้องหลับไปแล้ว ผมยังคงแคลงใจว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อตอนเย็น ก็เลยกลับไปที่ศาสนสถานอีกครั้ง ผมเข้าไปนั่งอยู่กลางห้องโถง นั่งมองสัญลักษณ์ตัวแทนของศาสนาอยู่พักหนึ่ง ก็รู้สึกตัวอุ่นขึ้น มีแสงสีชมพูสว่างขึ้นในตาของผม ผมเองก็งงๆไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าท่าทางผมต้องกลับไปนอนพักผ่อนเสียแล้ว

ระหว่างทางกลับเจ้าเสียงนั่นก็มาอีก มันถามผมว่า ผมจะทำได้ไหม ผมถามมันว่าจะเอาอะไรกับผม มันก็ถามย้ำผมว่า ผมจะทำได้ไหม ถ้าผมตกลง ผมต้องเป็นอย่างนี้ตลอดไปทั้งชีวิต ผมประมวลเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้น ผมตัดสินใจเชื่อมากกว่าไม่เชื่อ ผมตะโกนบอกว่าได้ ได้ ได้ แต่ฝรั่งแถวนั้น ฟังเป็น die die die ฝรั่งที่กำลังตื่นตระหนกกับภัยก่อการร้ายก็เลยแจ้งตำรวจมาจับผมถึงห้องพัก สุดท้ายผมเลยไปลงเอยที่โรงพยาบาล และใช้ชีวิตอยู่ในแผนกจิตเวชหนึ่งสัปดาห์

ทั้งหมดที่เล่ามาผมไม่รู้หรอกว่า ไอ้ที่เกิดกับผมนั้นเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติจริงหรือแค่ความผิดปกติทางสมอง หรือเป็นทั้งสองอย่างร่วมกัน แต่ที่แน่ๆคือ ผมโดนตั้งข้อสงสัยว่าติดยาเสพติด และมีมีส่วนพัวพันกับการก่อความไม่สงบ แต่สุดท้ายผมก็รอดข้อสงสัยพวกนี้มาได้ เพราะผลการตรวจเลือดไม่พบสารเสพติด แต่ชีวิตตอนอยู่ในแผนกจิตเวชแบบคนอนาถานี่ทำเอาผมเกือบบ้าไปจริงๆ 

นี่เป็นตัวอย่างของอันตรายที่เกิดขึ้นจากอาการหลอน hollucination และอาการหลงผิด delusion
ที่ทำให้ผมสยองขวัญมาจนบัดนี้

และนี่ไม่ใช่ครั้งเดียวที่เกิดการหลอนขึ้น ผมโดนหามส่งโรงพยาบาลด้วยอาการชัก อาการสมองเป็นอัมพาต โดนฉีดยาต้านโรคจิต ทรมานแสนสาหัส และเสียค่าใช้จ่ายมากมาย

อยากให้ท่านผู้อ่านลองคิดดูว่า ถ้าคุณเดินอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า แล้วคุณได้ยินเสียงที่คุณได้ยินคนเดียวทั้งยินดีและยินร้ายกับตัวคุณมันจะสยองขนาดไหน หรือมันอาจะเกิดขึ้นระหว่างที่คุณทำงานเครียดจัด หรือก่อนนอน ทำให้คุณฝันร้ายจนไม่กล้านอน

มันจะอันตรายขนาดไหน ถ้าคุณคิดว่าคุณได้ยินความคิดของคนอื่นแล้วต้องมาทะเลาะเบาะแว้งกัน
มันจะอันตรายขนาดไหน ถ้าขณะที่คุณข้ามถนนแล้วมีใครไม่รู้คอยเป่าหูคุณให้ทำอะไรที่ไม่ควรทำ
ทั้งนี้ด้วยอาการเริ่มแรกที่มันอาจจะทำให้คุณเชื่อมันโดยสนิทใจก่อน แล้วบังคับคุณขณะที่คุณขาดสติ และไม่มีวิจารณญาณ
มันจะอันตรายขนาดไหน ถ้าเสียงนั่นอ้างความศักดิ์สิทธิ์ และโน้มน้าวให้คุณบริจาคเงินเป็นล้านๆ
บางคนอ้างว่าตัวเองศักดิ์สิทธิ์จนเถียงพระเถียงหมอแบบไร้เหตุผล
มันจะอันตรายมากหากคุณมีแนวโน้มทำร้ายตัวเองและทำร้ายคนอื่น

ถ้าถามผมว่าผมเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติไหม ผมตอบว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่การแพทย์แผนปัจจุบันทำให้ผมหายจากอาการหลอน และหลงผิดได้ ผมก็ยอมกินยาควบคุมอาการไปเรื่อยๆ แม้ไม่ค่อยยินดีนัก  เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาอื่นๆที่จะตามมา

ข้อแนะนำสำหรับผู้ประสบเหตุการณ์คล้ายกันกับผมก็คือ 

ตั้งสติครับ ถ้าทำได้ บอก และถามคนรอบข้างก่อน ว่าสิ่งที่คุณประสบอยู่ตรงหน้ามีใครเห็น หรือได้ยินด้วยหรือเปล่า

ปรึกษาหมอด้วยใจที่เปิดกว้าง ไม่ฝังหัวตัวเองเรื่องอิทธิปาฏิหารย์ เพราะนั่นจะทำให้คุณหลุดจากโลกของคนธรรมดา

อย่าเที่ยวบอกใครว่าคุณสำเร็จหรือบรรลุธรรม คนที่บรรลุธรรมจริงๆ ไม่ต้องป่าวประกาศ แต่คนอื่นรับรู้ได้จากความประพฤติ และการดำเนินชีวิต

คุณอาจจะรู้สึกว่าตัวเองพิเศษในตอนแรก แต่สุดท้ายจะรู้สึกแปลกแยก อาจจะทำให้คุณซึมเศร้าและคึกครื้นจนขาดสติ หากไม่รีบรักษา และถูกชักจูงไปในทางที่ไม่ควร มันจะยิ่งแย่ 

สังคมไทยในตอนนี้ยังไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ดีพอ

คิดถึงคนที่รักและคนรอบข้างที่จะได้รับผลกระทบจากอาการที่คุณเป็น

ป้องกันและระมัดระวังตัวเองจากความเครียด และพยายามพักผ่อนให้เพียงพอ

อย่าใส่ข้อมูลที่อันตราย และรุนแรงเกินไปในหัวตัวเอง เพราะคุณจะไม่รู้เลยว่าพอคุณเกิดอาการ คุณอาจเลียนแบบขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ได้

โปรดอ่าน
//www.ramamental.com/medicalstudent/generalpsyc/schizophrenia_article/ 




 

Create Date : 09 ตุลาคม 2557
0 comments
Last Update : 9 ตุลาคม 2557 12:12:18 น.
Counter : 1377 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


Polarbee
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 14 คน [?]




ไม่เขียน ไม่เลอะ
ไม่เปรอะ ไม่ผิด
ไม่เขียน ไม่คิด
ไม่ผิด ไม่จำ
New Comments
Friends' blogs
[Add Polarbee's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.