• ° o . O ขอต้อนรับสู่โลกขำๆ ของคนชอบฝันเฟื่อง O . o ° •
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
3 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 
หัวใจรสกาแฟ 10



“เปิ้ล โซมาจากไหนน่ะ ทำไมกินเยอะจังเลย” เสียงใสเจือความตระหนกของอัมพิกาเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นพิริยาพรกับมื้อเที่ยงของเธอที่ดูราวกับอาหารสามมื้อรวมกัน ทั้งก๋วยเตี๋ยว ข้าวราดแกง ส้มตำ ยำวุ้นเส้น ลูกชิ้นทอด

“เฮิร์ท โว้ย ฉันอกหักเลยต้อง กิน กิน กิน กินให้หายเจ็บใจ” พิริยาพรตอบพร้อมกับตักข้าวตำโตกระแทกใส่ปากเคี้ยวรุนแรง บ่งบอกว่าอารมณ์ไม่โสภา

ยุวดีหรือ ‘ยุ้ย’ รูมเมตของพิริยาพรผู้เรียนคณะวิทย์ฯ หันมาอธิบายให้เพื่อนสาวต่างคณะถึงสาเหตุที่ทำให้พิริยาพรหิวผิดธรรมชาติก็เพราะ เด็กหนุ่มที่พิริยาพรออกเดทด้วยในวันลอยกระทง เปิดตัวว่ามีแฟนแล้วเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน ที่เจ็บใจก็คือเจอกันเมื่อตะกี้ หนุ่มน้อยแนะนำกับแฟนสาวว่า

“นี่พี่ยุ้ยป้ารหัสผม แล้วนี่พี่เปิ้ล รูมเมตป้ารหัสผม พี่ยุ้ย พี่เปิ้ลครับ นี่กิ๊บ แฟนผมครับ”

เมื่อได้รู้สาเหตุอัมพิกาก็ปล่อยก๊าก แหม! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ยัยเปิ้ลเจอแบบนี้ซะหน่อย คอยดูนะวันนี้กินๆๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้ได้สติก็จะโวยวายว่าน้ำหนักขึ้น อดข้าวอดน้ำเป็นการใหญ่ไปอีกสองสามวัน เป็นอันสิ้นสุดปฏิกิริยาอกหักในแบบพิริยาพร จากนั้นเธอก็กลับมากระดี๊กระด๊าหาเหยื่อรายต่อไป

“อั้ม แล้วไม่กินอะไรเหรอ ” นลินีเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นว่า อัมพิกา ผู้อาสาอยู่ยามเฝ้ากระเป๋าในระหว่างที่คนอื่นไปซื้อข้าว ที่นี้สมาชิกมากันครบแล้ว ยามไม่ยักไปหาอะไรกิน “ขอนั่งคิดก่อนนะ อั้มนึกไม่ออกว่าอยากกินอะไร”

“ฉันว่า มอ.เรามันต้องมีอาถรรพ์” พิริยาพรผู้กำลังฟาดก๋วยเตี๋ยวเอ่ยเสียงขึงขัง หญิงสาวเล่าตำนานไปพลางซดก๋วยเตี๋ยวไปพลาง

“ที่เขาว่า คนที่เป็นแฟนกันไปลอยกระทงด้วยกันจะต้องเลิกกัน นี่ไง! ฉันเลยเจอเข้ากับตัว สองวันจากนั้นนายป๋อง บอกฉันว่า ‘เราเป็นพี่เป็นน้องกันเถอะพี่เปิ้ล ผมคงไม่ดีพอจะเป็นแฟนพี่ได้หรอก’ ฉันก็นึกว่ามันพูดเล่น หน๊อยวันนี้ดันควงแฟนใหม่มาเย้ย ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ถูกเขาหักอกมานะแม่จะหัวเราะซะให้”

“เฉพาะ เปิ้ลละมั้ง นีเขาก็ไปลอยกระทงกับหนึ่ง ไม่เห็นเป็นอะไรเลยใช่ไหมนี” อัมพิกาเอ่ยแย้ง ใจจริงนึกอยากจะกัดยัยเปิ้ล ยิ่งกว่านี้ ก็มันสะใจดีออก แหม! วันนั้นทำลอยหน้าลอยตาทิ้งเราไว้คนเดียว แต่ก็อดสงสารไม่ได้เดี๋ยวยัยเปิ้ลยิ่งโมโหฟาดข้าวหมดโรงอาหารจนท้องแตกตายจะบาปเปล่าๆ

นลินีอมยิ้มนิดๆ เหมือนไม่มีอะไร แต่ในใจอยากบอกว่าตำนานที่พิริยาพรเพิ่งเล่าอาจจะ ‘ขลัง’ จริงๆ ก็ได้ วันนั้นเป็นหนึ่งมารับเธอจากหอตรงตามเวลานัด พากันไปเดินเที่ยวงานลอยกระทงที่มอ.ราวกับมันเป็นหน้าที่ที่คนเป็นแฟนพึ่งกระทำต่อกัน เขาพาเธอยืนดูการแสดงที่หน้าเวที พาไปที่ร้านของคณะรัฐศาสตร์ จากนั้นก็ไปลอยกระทง ตบท้ายด้วยข้าวต้มมื้อดึกก่อนจะพามาส่งที่หอ นลินีไม่รู้ว่าเป็นหนึ่งจะมีความรู้สึกอย่างไร แต่สำหรับเธอทำไมถึงรู้สึกว่ามันน่าอึดอัดน่ารำคาญ

ไม่ได้โกรธกัน ไม่ได้ทะเลาะกัน แต่เหมือนมีอะไรกั้นกลางระหว่างเธอกับเขา ทั้งๆที่นลินีเองก็พยายามให้ความรู้สึกหวานชื่นกลับมา เป็นหนึ่งเองก็ดูจะพยายามในแบบเดียวกัน แต่เหมือนจะไม่เป็นท่าทั้งสองฝ่าย กลับมาหอเห็นรูมเมต ที่ไม่ได้ไปลอยกระทง ไม่มีแฟน แต่สามารถนั่งมองพระจันทร์อย่างมีความสุข รอยยิ้มละไมกับตาวาวๆของอัมพิกาทำให้นลินีแอบอิจฉา บางทีเธออาจมีความสุขกว่านี้รึเปล่านะ ถ้าจะไม่มีแฟน ได้ทำอะไรในแบบที่ตัวเองชอบ ไม่ใช่ทนทำไปเพื่อจะเอาใจใคร แต่ตัวเองกลับไม่มีความสุข

เสียงแหลมของพิริยาพร ดึงความคิดของนลินีที่กำลังลอยไปไกลจากโต๊ะอาหารให้กลับมา ดูเหมือนเธอจะช่างสรรหา ตำนาน ตำไม่นาน อะไรต่างๆมาเล่าได้ตลอดตั้งแต่เรียนกันมา บรรดาเรื่องผีประจำหอก็เธอคนนี้อีกเช่นกันที่เล่าให้ใครต่อใครได้ขนลุกซู่ตั้งแต่ปีหนึ่งยันปีสี่

“ส่วนคนที่ยังไม่ได้เป็นแฟนกันถ้าไปลอยกระทงด้วยกัน เขาว่าจะรักกัน โธ่ วันนั้นฉันก็ลืมไป รู้งี้ไม่ไปลอยกับป๋องก็ดีหรอก” แค่เล่ายังไม่พอพิริยาพรยังตบท้ายความ ‘ขลัง’ ของตำนานด้วยการยกตัวอย่างบรรดาเพื่อนของพี่เธอที่จบจากที่นี่แล้วแต่งงานกันในที่สุด

“แล้วแกเป็นอะไร ไอ้อั้ม ทำไมหน้าแดงอย่างกับลูกตำลึง ปีนี้แกไม่ได้ลอยกระทงไม่ใช่เหรอ จะเดือดร้อนทำไม”

“อั้มไปหาของกินล่ะนะ” อัมพิการีบลุกจากโต๊ะกลบเกลื่อน อย่าเชียวนะ อย่าให้เขารู้ว่า เราไปลอยกระทงกับ ‘ใคร’ มีหวังถูกยำใหญ่แน่ยัยอั้มเอ๊ย… หญิงสาวบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าอยากให้ตำนานนั้นเป็นจริงรึเปล่า…ถ้าเป็นจริงล่ะ เราต้องเป็น…อี๊ย์….กับนายนั่น ขนาดคิดยังไม่อยากเอ่ยคำนั้นเลย ถ้าเพียงเราจะรู้ว่ามีตำนานบ้าๆแบบนี้นะจะไม่ไปกับนายนั่นเด็ดขาด







“โอ้ย!” อัมพิการ้องตกใจ ก็กำลังคิดอะไรเพลิน มีใครไม่รู้มาดึงผมที่ผูกเป็นหางม้าของเธอจากด้านหลัง ถึงจะไม่แรงจนเจ็บก็เถอะ แต่ก็เล่นเอาคนที่ใจไม่อยู่กับตัวตื่นเต้นเกินกว่าเหตุ ยิ่งหันมาเจอว่าใคร ก็ยิ่งอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

“ซื้อข้าวเหรออั้ม เอ๊ะ…เป็นอะไรทำไมหน้าแดงๆ” คนถูกทักอึ้ง ใครจะเตรียมใจทันล่ะ ก็ใจกำลังคิดถึงพอดี จะหนีก็ไม่ทัน จะหาเรื่องโวยวายต่อว่าแก้เขิน ก็ไม่รู้จะไปหยิบยกอะไรมาดี โอ้ย…ทำไมมือไม้หัวจิตหัวใจมันเต้นโครมครามซะขนาดนี้ เสียงเรียกจากป้าคนขายอาหารตามสั่งแจ้งว่าผัดซีอิ๊วของเธอเรียบร้อยแล้ว หญิงสาวรีบหันไปจ่ายเงินพร้อมยกเจ้าผัดซี้อิ๊วกลิ่นหอมฉุย เห็นคนสร้างปัญหายังยืนรอ ทำไมไม่ไปไหนซะทีนะ

“ถือดีๆล่ะเดี๋ยวได้หกหรอกนั่นน่ะ เอางี้นั่งไหน เดี๋ยวผมยกไปให้ ” นิติรุตต์งุนงงกับปฏิกิริยาแปลกๆ ของคนตรงหน้า เป็นอะไรไปอีกล่ะเนี่ย ปกติเธอคนนี้ช่างหาเรื่องมาให้เขาปวดหัวได้ไม่เว้นแต่ละวัน เจอกันเป็นต้องเถียงเอาฤกษ์เอาชัย แต่คราวนี้มาแปลก ไม่พูดไม่จาเอาแต่ก้มหน้าทำตาปริบๆ ดูแก้มป่องๆซินั่นแดงเอาๆ โมโหอะไรรึเปล่านะ

“ไม่ต้องเลย…..” ในที่สุด อัมพิกาก็เอ่ยประโยคแรกที่ทั้งแผ่วเบาทั้งสั่นพร่า เมื่อเห็นผัดซี้อิ๊วถูกนายนั่นแย่งไปถือทีเผลอ

“เอ่อ….มานี่หน่อยซิรุตต์” แล้วอัมพิกาก็รู้ว่าโอกาสแบบนี้เธอควรจะทำอะไรดี อย่างแรกหาที่ยืนคุยกับนายนี่ให้ลับตาคนที่สุด เห็นอีกฝ่ายยังทำหน้างงๆ หญิงสาวเลยต้องลงมือออกแรงดึงแขนซะเลย
แม้จะยังงุนงงแต่นิติรุตต์ก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี ความจริงจะแกล้งขัดขืนก็ได้ โถ! ก็แรงคนที่ดึงแขนนิดเดียว หากสัมผัสอุ่นจากมือเล็กๆนิ่มๆต่างหากที่มีแรงเอนกอนันต์ฉุดหัวใจชายหนุ่มให้โอนอ่อน อย่าว่าแต่สั่งให้เดินตามเล้ย ถ้าอัมพิกาจะพูดหวานๆแบบนี้เอามือนิ่มๆมาจับแขนเขาอย่างนี้ ลากขึ้นเขาลงเหวสงสัยว่าจะตามไปเหมือนกัน

เมื่อมาถึงมุมที่มั่นใจว่าเพื่อนจะไม่เห็น อัมพิกาเริ่มเอ่ยปาก พยายามบังคับเสียงไม่ให้สั่น
“อั้มมีเรื่องขอร้องรุตต์ เรื่องที่เราไปลอยกระทงกันรุตต์เล่าให้ใครฟังรึเปล่า” นิติรุตต์ส่ายหน้าแทนคำตอบ คราวนี้อัมพิกาค่อยยิ้มออกมาได้หน่อย

“ดีเลย งั้นรุตต์อย่าเล่าให้ใครฟังนะ ” นิติรุตต์นิ่งเฉย เพราะถึงอัมพิกาไม่พูดขอร้องเรื่องนี้ เขาก็ไม่คิดจะเล่าให้ใครฟังอยู่แล้ว ก็มันเป็นเรื่องส่วนตัวนี่นา ไม่เห็นต้องมาขอร้องกันเลย แปลกแฮะ หรือพวกผู้หญิงเขามีวัฒนธรรมเอาเรื่องส่วนตัวมาแลกเปลี่ยนกัน เลยคิดว่าผู้ชายจะเป็นด้วย

เห็นอีกฝ่ายเอาแต่นิ่ง หญิงสาวเริ่มใจไม่ดี เลยตกลงใจใช้วิธีเดียวกับที่เคยได้ผลเวลาอ้อนขออะไรๆจากพ่อและพี่ชาย อัมพิกามองคนตรงหน้าด้วยสายตาเว้าวอน ฝืนความประหม่าขวยเขินทั้งปวง กัดฟันกลั้นหายใจก่อนจะอ้อนเสียงหวานทำตาปริบๆ “อั้มขอร้องล่ะ รุตต์อย่าบอกใครนะ ให้รู้แค่เราสองคนนะ นะ นะ”

ท่าทางน่าเอ็นดูทำให้ผู้ถูกขอร้องปฎิเสธไม่ลง ถ้าอัมพิกาจะพูดแบบนี้ทำแบบนี้ทุกวัน คงจะดีไม่น้อย ชายหนุ่มยิ้มกว้างแกมขำๆตอบไปว่า

“ผมไม่บอกใครหรอกมันจะเป็น ‘เรื่องของเราสองคน’ เท่านั้น อั้มอย่าเป็นคนป่าวประกาศเองก็แล้วกัน”

“กวนอั้มอีกแล้วนะรุตต์” อัมพิกาเริ่มตวัดเสียง ทำไมนะไม่เคยคุยกันดีๆให้ตลอดรอดฝั่งเลย
“ง่า…กลับไปกินผัดซีอิ๊วได้แล้ว เย็นหมดแล้วนะอั้ม ป๊ะเดี๋ยวเดินไปส่ง” นิติรุตต์เริ่มเอาใจ กลัวถูกลูกวีนอีกน่ะซิ เดี๋ยวเธอจะพาลไม่กินข้าวกินปลา

“ไม่ต้องหรอก รุตต์ไปหาข้าวกินเถอะ แล้วนั่งไหนล่ะ” ไม่ได้เป็นห่วงหรอกนะว่านายนี่จะมีที่นั่งรึเปล่า แต่ที่ถามเพราะกลัวว่าจะเดินตามมาอาศัยนั่งด้วยน่ะซิ พอได้รับคำตอบว่าเขานั่งที่โต๊ะหินด้านนอกโรงอาหารกับเพื่อนเป็นฝูง เฮ้อ…ค่อยโล่งอก แต่อัมพิกาก็อารมณ์รื่นไม่นานนักหรอก

“อยากให้ผมนั่งด้วยเหรออั้ม”
“เชอะ ใครจะอยากให้นั่งด้วยกลัวกินข้าวไม่ลง” หญิงสาวไม่ตอบเปล่ายังขว้างค้อนใส่คนจอมกวนเปรี้ยงใหญ่ ก่อนจะนึกอะไรได้ “เออ รุตต์หนึ่งมาด้วยรึเปล่า?”

คนถูกถามพยักหน้าหนึ่งทีแทนคำตอบ

“ทำไมเขาไม่มานั่งกับนีล่ะ รุตต์รู้อะไรเกี่ยวกับหนึ่งบ้างไหม คือหมู่นี้อั้มว่านีกับหนึ่งเขาแปลกๆ ความจริงนีเขาไม่ได้เล่าอะไรให้ฟังหรอก แต่…” อัมพิกายังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดบท

“เรื่องของเขา อั้มอย่าไปยุ่งเลย”

“หมายความว่าไง รุตต์รู้อะไรที่นีกับอั้มไม่รู้งั้นเหรอ”

“เปล่า” นิติรุตต์ปฏิเสธลากเสียงยาว ใครเรียนผูกก็ต้องเรียนแก้เองซิ ถ้าคนนอกไปยุ่งเดี๋ยวเรื่องเล็กมันจะกลายเป็นเรื่องใหญ่

หลังปลีกตัวพ้นจากคนช่างซักได้ นิติรุตต์ก็ตรงซื้อข้าวเดินแล้วกลับโต๊ะที่มีเพื่อนนั่งเป็นฝูง “ไปดำนาอยู่เหรอว่ะไอ้รุตต์ ซื้อข้าวจานเดียวหายไปเป็นชาติ” มีเสียงร้องทักเมื่อเพื่อนที่ชื่อนายเปี๊ยก เห็นว่าเขาหายไปนานเกินกว่าเหตุ

“พอดีเจอเพื่อนคณะมนุษย์สามสี่คนนั่งอยู่ข้างในโรงอาหาร เลยแวะคุยกับเขาหน่อย” คนตอบไม่ได้มองหน้าคนถามแต่ปรายตาไปที่เพื่อนอีกคน ผู้กำลังนั่งกินข้าวอย่างหวานชื่นมีสาวหน้าใสรุ่นน้องร่วมคณะนั่งข้างๆ นิติรุตต์เน้นคำว่า ‘เพื่อนคณะมนุษย์’ ชัดเจน

เป็นหนึ่งสะดุ้งเฮือก เข้าใจว่านิติรุตต์หมายถึงใคร ชายหนุ่มค่อยๆ ขยับเปลี่ยนที่นั่งจากที่แทบจะแนบกับรุ่นน้องสาวข้างๆ ให้ห่างออกมา ไม่กล้ามองนิติรุตต์เต็มตานัก ด้วยความที่ปูนในท้องเริ่มทำฤทธิ์ เป็นหนึ่งกระสับกระส่ายก่อนลุกยืน ที่นิติรุตต์บอกว่า คุยกับเพื่อนจากคณะมนุษย์น่ะคุยอะไร ว่าแล้วก็เดินหายเข้ามาในโรงอาหารซะเลย ปล่อยให้สาวน้อยที่นั่งแนบข้างเมื่อครู่มองตามตาละห้อย

“อ้าวหนึ่ง แหม! ไม่ยักมาก่อนหน้านี้นะ จะได้มีคนเลี้ยงข้าว” ทันทีที่เป็นหนึ่งเดินเข้ามาร่วมโต๊ะด้วย พิริยาพรก็ทักทาย

“มาตอนนี้ก็เลี้ยงได้ เปิ้ลอยากกินอะไรล่ะ เดี๋ยวผมไปซื้อให้” สุภาพบุรุษคนเดียวในโต๊ะตั้งท่าจะไปจัดหาของกินมาเพิ่มให้จริงๆ แต่เพื่อนของแฟนอีกคนท้วงซะก่อน

“ไม่ต้องหรอกหนึ่ง เปิ้ลมันไม่สามารถเอาอะไรลงท้องได้อีกแล้วล่ะ หนึ่งมาก็ดีแล้วตั้งแต่วันที่หนึ่งไปรับอั้มจากโรงพยาบาล เราไม่ได้เจอกันเลยเนอะ อั้มขอบใจหนึ่งมากนะที่อุตส่าห์เป็นธุระ”

“โอ้ย! เล็กน้อยน่าอั้ม นีเป็นอะไรรึเปล่าทำไมนั่งเงียบๆ” หลังจากนั่งลงข้างคนรักเป็นหนึ่งก็เริ่มถามสารทุกข์ เห็นบรรดาเพื่อนเธอพูดเอาๆ แต่เจ้าตัวกลับนิ่งฟังเฉย

นลินีส่ายหน้าแทนคำตอบ หญิงสาวไม่รู้จะพูดอะไร เพราะไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ฟังบรรดาเพื่อนๆฉ้อเลาะกับแฟนตัวเองสนุกกว่าเป็นไหนๆ เป็นหนึ่งไม่ได้ร่วมโต๊ะนานนักแค่มานัดหมายกับแฟนสาวเท่านั้น ก่อนจะขอตัวไปอย่างสุภาพ ก่อนจากยังส่งยิ้มพราวเสน่ห์แจกสี่สาวจนครบทุกคน โดยเฉพาะรอยยิ้มหวานจับใจที่มอบให้นลินี จนเพื่อนร่วมโต๊ะตาร้อนผ่าวด้วยความริษยา

เป็นหนึ่งผู้อยู่ในข่าย รูปหล่อ พ่อรวย แถมยังมีรถคันโก้ขับโฉบเฉี่ยวไปมา ใครจะไปนึกล่ะว่าอยู่ๆจะมาตกหลุมรักสาวเรียบร้อยอย่างนลินี ช่างเหมือนเทพนิยายที่เจ้าชายรูปงามมาหลงรักนางซินเสียนี่กระไร ไม่ใช่แค่เพื่อนเท่านั้นสาวๆอีกหลายคนที่หมายปองหนุ่มคนนี้อยู่ก็ตาลุกเป็นไฟเช่นกัน เมื่อหนุ่มหล่อคนนี้ประกาศ นลินี คือ ตัวจริง

“อิจฉาจริงวุ้ย…แกดูไว้ไอ้อั้ม ถ้าจะมีแฟนต้องหาให้ได้แบบนี้ รูปหล่อพ่อรวย มารยาทเยี่ยม พูดจาเสนาะหู ไอ้ประเภทกวนโทสะ พูดจาไม่ไว้หน้าคนอย่างนายนั่นน่ะอย่าได้สนเชียวถ้าไม่อยากช้ำใจตาย” พิริยาพรยังไม่หายเจ็บใจเพื่อนร่วมคณะของเป็นหนึ่ง ผู้เคยทำเธอเถียงไม่ออกกลางโรงพยาบาลมาแล้ว มีโอกาสเมื่อไรเป็นต้องกัด

“เหรอ แล้วมารยาทเยี่ยมพูดจาเสนาะหูแบบ อะแฮ่ม” อัมพิกาดัดเสียงห้าว “พี่เปิ้ลครับผมว่าเราเป็นพี่เป็นน้องกันเถอะครับ ผมคงไม่ดีพอที่จะเป็นแฟนพี่ได้…. เอ่อกิ๊บครับ…นี่ ‘ป้า’ เปิ้ลรูมเมตของป้ารหัสผม’ อย่างเนี่ยคงไม่ทำให้ช้ำใจสินะ ป้าเปิ้ลขา”

“กรี๊ด…นี ยุ้ย ดูไอ้อั้มมันนะ ไม่เท่าไหร่ออกรับแทนแฟน จำไว้น้ำตาเช็ดหัวเข่าขึ้นมาล่ะก็แม่จะ จะ….” ด้วยนานๆครั้งอัมพิกาจะปล่อยหมัดเด็ด พิริยาพรจึงพูดไม่ออกโมโหแสนโมโห แต่ก็เท่านั้นแหละเพราะทุกคนรู้ดีว่าไม่เกินครึ่งชั่วโมง ไอ้เปิ้ลมันก็หายคลั่ง

“เอ๊ะ…ฉันไม่ได้เป็นแฟนกับนายนั่นซะหน่อย แล้วก็ไม่ได้ออกรับแทนใคร” ก่อนที่สงครามปะทะคารมจะบานปลายไปกว่านี้ นลินีลงมือห้ามทัพ “หยุด…ทั้งสองคนนั่นแหละเถียงกันเป็นเด็กๆ กลับคณะไปเรียนได้แล้ว”







“นี เป็นอะไรไป แน๊…คิดถึงหนึ่งอยู่ล่ะซิ เดี๋ยวเขาก็มารับแล้วนี่” เห็นรูมเมตนั่งเหม่อค้างบนเก้าอี้เขียนหนังสือ อัมพิกาเลยเข้าไปเขย่าตัวหวังจะหยอกเล่น “เปล่า…” คนถูกหยอกตอบยิ้มๆ

“ไม่ต้อง เปล่าเลย เขารู้ทันหรอกน่า อิจฉาคนมีแฟนจริ๊ง…” หญิงสาวที่บอกว่ารู้ทันเพื่อน นั่งแหมะบนเตียงเอาตุ๊กตาหมูสีชมพูมากอดเล่น อัมพิกาอยู่ในชุดเตรียมนอน ส่วนนลินีในชุดเตรียมออกไปข้างนอก

“จะอิจฉาทำไม มีแฟนใช่ว่าจะดีเสมอ”
“แปลก” อัมพิกาขมวดคิ้วทำหน้าสงสัย
“แปลกอะไรอีกล่ะยัยอั้ม”

“เวลาพูดถึงหนึ่งนีทำหน้าไม่มีความสุขเลย ตั้งแต่ตอนที่อั้มกลับมาจากโรงพยาบาลแล้ว วันลอยกระทงก็เห็นนีทำหน้าเซ็งๆยังไงไม่รู้ แทนที่จะสดใส แล้วนี่ก็กำลังจะออกเดทไม่เห็นสดชื่นเลย มีเรื่องอะไรกันรึเปล่า”

เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังถูกเพื่อนไล่เบี้ย อุตส่าห์พยายามไม่แสดงออกแล้วเชียวนะ ยังถูกอัมพิกาจับพิรุธจนได้ นลินีเลยหาวิธีเบี่ยงประเด็น โดยยิ้มระรื่นหันไปใช้มือทั้งสองบีบแก้มป่องของคนช่างสงสัยส่ายไปมา

“นี่แน่ ช่างซักดีนัก ตัวเองเคยมีเหรอแฟนน่ะ เที่ยวมาหาจับผิดเขา”

“เจ็บ..” อัมพิกาอุทานเสียงอู้อี้ เอามือทั้งสองข้างกุมมือเพื่อนดึงออกจากหน้าตัวเอง จากนั้นก็ประคบแก้มที่เพิ่งถูกประทุษร้าย ปกติอัมพิกาเป็นคนหน้าแดงง่ายอยู่แล้วไม่ว่าจะเวลาโกรธหรืออาย ยิ่งโดนเพื่อนขยี้แรงๆ แก้มของเธอเลยเหมือนใครเอาน้ำยาอุทัยมาป้ายงั้นล่ะ

“เวลาอั้มหน้าแดงเนี่ยน่ารักชะมัดเลย น่าหอมน่าฟัด ถ้าอั้มมีแฟน ระวังนะเขาจะเอาจมูกมาขยี้แก้มอั้ม” นลินีทำตาเยิ้ม พร้อมทั้งเอามือขยี้แก้มเพื่อนอีกทีเหมือนจะหอมและฟัดจริงๆ

“ไม่ต้องมาเบี่ยงประเด็นเลยนี ถามจริงๆเถอะมีเรื่องกับหนึ่งใช่ไหม” หลังจากดึงมือเพื่อนออกอีกรอบ คนแก้มแดงพยายามคาดคั้น ทำสีหน้าจริงจังเท่าที่จะทำได้

“เราไม่ได้มีเรื่องกับหนึ่งจริงๆนะ” นลินีทำสีหน้าจริงจังเช่นกันแต่ไม่ประสบผล เพราะพนักงานสอบสวนส่ายหน้าตอบกลับ “ไม่เชื่อ”

คราวนี้นลินียิ้มได้เมื่อนึกไม้ตายออก “เราจะยอมรับก็ได้ว่ามีเรื่องกับหนึ่ง แต่อั้มก็ต้องยอมรับว่าเป็นแฟนกับรุตต์ เอาไหมล่ะ แลกกัน”

“ไม่เกี่ยวกันซะหน่อย ” อัมพิการู้สึกเหมือนถูกเพื่อนตีแสกหน้าจนหงายหลังตั้งตัวไม่ติด จากราชสีห์ที่กำลังรุกไล่ กลายเป็นกระต่ายน้อยที่ถูกนายพรานนลินีไล่ล่า ก็ใครจะคิดเล่าว่านลินีจะดึงเอาเรื่องนายนั่นมาเอี่ยวด้วย

“ไม่เกี่ยวแต่ก็คล้ายกันไงล่ะอั้ม ประเด็นมันอยู่ที่การยอมรับหรือการเลี่ยงหลบความจริง”
“งั้นแสดงว่านีมีเรื่องกับหนึ่งจริงๆ ใช่ไหม แต่พยายามเบี่ยงเบนไม่ให้อั้มรู้ ในที่สุดก็ยอมรับแล้วใช่ไหมว่าไอ้ที่อั้มสังเกตเนี่ยไม่ผิด”

เพราะประมาทนิดเดียวเท่านั้น กระต่ายน้อยแก้มแดง เลยหล่นโครมไปในหลุมที่พรางไว้อย่างแยบยล กว่าจะรู้ตัวก็โน้นแหละถูกบ่วงบาศมัดแน่นหนาจนดิ้นไม่หลุด ซ้ำยังลากขึ้นไปห้อยโตงเตงเท้าชี้ฟ้า

“อ๊ะ…เอาแบบนั้นเหรออั้ม งั้นอั้มก็ยอมรับใช่ไหมว่าเป็นแฟนกับรุตต์ ไอ้ที่เราคิดไว้เนี่ยไม่ผิดสักนิ๊ด”

อัมพิการู้สึกหัวหมุนเหมือนใครเอาไม้แข็งๆมาฟาด ไม่รู้จะเอาอะไรมาเถียงเพื่อน โมโหๆๆ ทั้งเพื่อนทั้งคนที่ถูกกล่าวถึง ไม่รู้ล่ะตอนนี้หญิงสาวเป็นขวางไปหมด แม้แต่เจ้าตุ๊กตาหมูสีชมพูที่เพื่อนซื้อให้เมื่อวันเกิดก็ยังโดนลูกหลงไปด้วย คนหัวเสียเอามันเป็นที่ระบายอารมณ์ โดยใช้สองมือรั่วกำปั้นใส่นับครั้งไม่ถ้วน ปากพึมพำปฏิเสธวุ่นวาย

“บอกไม่เชื่อใช่ไหม อั้มกับนายนั่นไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆนะ นี่ๆๆๆๆ โมโหๆๆๆ ล้อกันอยู่ได้”

นลินีมองภาพการกระทำของเพื่อนพลางส่ายหัว เฮ้อ…เมื่อไหร่อัมพิกาจะโตเต็มตัวซะทีนะ ความจริงเธอไม่ได้ตั้งใจจะล้อเพื่อนสักนิดเดียวถ้าเป็นพิริยาพรก็ว่าไปอย่าง แค่อยากหาวิธีหยุดความช่างซักช่างสังเกตของรูมเมตเท่านั้น ในที่สุดก็อดสงสารเจ้าหมูสีชมพูไม่ได้ โดนทุบจนน่วม เยินกันพอดี

“เอาเถอะๆ อั้ม เราเชื่อแล้วว่าอั้มไม่ได้เป็นอะไรกับรุตต์จริงๆ พอได้แล้วนั่นน่ะ ไอ้ลูกหมูมันช้ำในหมดแล้วมั้ง”

“เชื่อจริงๆนะ” อัมพิกายุติการทารุณกรรมแพะรับบาป หันมาถามคนห้ามจริงจัง

“จ้า เชื่อจริงๆ ตะกี้เราล้อเล่น” นลินีแสร้งทำเสียงขรึมเดี๋ยวจะหาว่าเราพูดไม่จริง อัมพิกาขว้างค้อนวงใหญ่ให้เพื่อนสาวก่อนจะล้มตัวลงนอนเอาผ้าห่มคลุมโปง แว่วเสียงมือถือของนลินีรับข้อความ

“หนึ่งมารอล่ะ ไปล่ะนะสาวน้อย จะเอาอะไรไหมเดี๋ยวซื้อมาฝาก”ผู้ถูกเรียกว่าสาวน้อยเปิดผ้าห่มออกส่ายหน้าไปมา แม้เมื่อเที่ยงเป็นหนึ่งจะมีน้ำใจชวนทั้งเธอและเพื่อนข้างห้องอีกสองคนแต่เอาเข้าจริงใครจะอยากไปเป็น ก.ข.ค. เขาล่ะ ก็รู้ๆอยู่ว่าเขาชวนตามมารยาท คนถูกชวนก็ควรจะไม่ไปตามมารยาทเช่นกัน

“ถ้าเจอ อืมม์… จะบอกเขาให้ล่ะกันนะว่า อั้มคิดถึง” คราวนี้เจ้าตุ๊กตาหมูถูกคนที่นอนอยู่บนเตียงขว้างลอยกลางอากาศก่อนจะปะทะเข้ากับบานประตูที่ปิดพอดี นลินีหัวเราะร่า แม้จะอยู่ข้างนอกแต่วาดภาพเพื่อนออก คงกำลังอาละวาดใหญ่แล้วเจ้าหมูนั่นก็ซวยตามเคย รอยยิ้มร่าเริงของหญิงสาวเลยเผื่อแผ่มาให้คนที่คอยอยู่ด้านล่างด้วย

ชายหนุ่มผู้วางท่าเก๋ประหนึ่งเจ้าชายกำลังรอรับเจ้าหญิงขึ้นทรงรถม้า ค่อยหายใจโล่งหน่อย นานแล้วที่ไม่ได้เห็นแฟนสาวยิ้มสดใสขนาดนี้ นี่แสดงว่าเธอคงไม่ได้ระแคะระคายอะไรจริงๆ

“นีอยากไปไหน” เป็นหนึ่งมักจะถามความต้องการฝ่ายหญิงก่อนเสมอ ถ้าเธอไปในที่ๆเขาไปได้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเธออยากไปในที่ๆเขาไม่ต้องใจ เป็นหนึ่งก็อาศัยลิ้นนักการเมืองมาเบี่ยงเบนจนสำเร็จทุกครั้ง

“ไปใกล้ๆ ได้ไหมหนึ่ง นีต้องกลับมาทำรายงานอีกน่ะ แล้วหนึ่งจะได้ไม่กลับบ้านดึกไง” เพราะรู้ว่าถ้าเสนอที่ๆเขาไม่เห็นด้วยยังไงก็ไม่สำเร็จหรอก นลินีเลยใช้วิธีการบอกปัดให้ฝ่ายชายเลือกสถานที่ออกเดทเองเหมือนหลายๆครั้งที่ผ่านมา โดยเธอจะมีส่วนสร้างเงื่อนไขบ้าง เช่น กำหนดระยะเวลากลับ หรือหากแฟนหนุ่มชวนไปในที่ที่เธอรับไม่ได้จริงๆ เช่นไปดูคอนเสิร์ตที่ต้องเบียดเสียดคนเยอะเสียงดังหนวกหู เธอก็จะปฏิเสธไม่ไปด้วยซะเลยส่วนเขาจะแอบไปกับใคร เธอก็ทำไม่รู้ไม่ชี้เสีย

“งั้นไปกินกาแฟ ‘ร้านไออุ่น’ กันไหม ถ้านีไม่ชอบกาแฟ เขาก็มีขนมมีไอติมให้เลือก” นลินีพยักแทนคำตอบ เสริมว่า “ใกล้ๆ แค่นี้หนึ่งเอารถจอดไว้หอนี่แหละ เราเดินไปล่ะกัน”







ด้วยเวลาเพียงทุ่มเศษสองข้างทางที่นลินีและเป็นหนึ่งเดินผ่านจึงยังคราคร่ำไปด้วยผู้คนทั้งนักศึกษา คนทำงาน ไหนจะรถราที่วิ่งขวักไขว่บนถนนดีหน่อยที่ ร้านไออุ่น กับ หอ ของนลินีอยู่ฝังเดียวกัน จึงไม่ต้องข้ามถนนให้ได้หวาดเสียว ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดนอกจากเสียงของสรรพสิ่งรอบข้าง เป็นหนึ่งพยายามเดินลดความเร็วกว่าปกติเมื่อเห็นว่าระยะห่างระหว่างเขาและนลินีผู้เดินข้างหลังเริ่มมากขึ้น ขณะที่หญิงสาวก็เร่งฝีเท้าพยายามตามเขาให้ทัน

เมื่อเดินเคียงกันอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงกุมมือข้างหนึ่งของหญิงสาวไว้ เพื่อเตือนตัวเองว่าจะได้ไม่เผลอเดินเร็วอีก คำว่าเขินอายดูเหมือนจะไม่ใช่ปัญหาสำหรับคู่รักที่คบกันมาเกือบสองปี แต่นลินีก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจึงรู้สึกหนาวยะเยือกไปถึงขั้วหัวใจ ทั้งๆที่มือของเขาที่กุมมือหล่อนไว้แสนจะอบอุ่น อุ่นจนออกจะร้อนด้วยซ้ำ ‘ถ้าเราแกะมือของเขาออกคงรู้สึกดีกว่านี้ แต่…..อย่าทำอย่างนั้นเชียวนะ นลินี’ นี่คือสิ่งที่หญิงสาวคิดตลอดเวลาจนมาถึง ร้านไออุ่น

นี่เป็นครั้งแรกที่นลินีเข้ามาในร้านนี้ แม้บรรดาเพื่อนๆจะมากันบ่อยและพูดให้เข้าหูเสมอ ยัยเปิ้ลกับยุ้ยเป็นคนเริ่มมาที่นี่ก่อนใครอื่น ต่อมาก็รูมเมตตัวดี แต่รายนั้นแม้จะไม่ค่อยมาก็มี ‘ไออุ่นเดลิเวอรี่’ ไปบริการถึงหออยู่แล้วนี่

บรรยากาศภายในร้านไออุ่นทำให้นลินีถึงกับตะลึง ผู้คนในร้านไม่พลุกพล่าน ผู้หญิงในชุดทำงานกับหนังสือเล่มเล็ก ชายวัยกลางสามคนพูดคุยกับเงียบๆแต่เคร่งขรึม ครอบครัวพ่อแม่ลูกที่มีเด็กหญิงตัวน้อยส่งเสียงเจื้อยสร้างชีวิตชีวาให้ร้านมากกว่าน่ารำคาญ กลุ่มนักศึกษาหญิงชายสี่คนที่เอาการบ้านมาปรึกษากัน และในมุมลึกที่สุดของร้านก็ยังมีชายหนุ่มหน้าตาหล่อจัดอีกคนกำลังขีดๆเขียนๆอะไรลงในสมุด ลูกค้าแต่ละรายดูจะมีโลกส่วนตัวดิ่งลึกอยู่กับความคิดของตัวเคล้ากลิ่นกาแฟหอมๆ และเพลงเบาๆเสนาะหู

“เป็นไง นี ชอบไหม” หลังจากนั่งลงเป็นที่เรียบร้อย เป็นหนึ่งชวนคุยเมื่อเห็นแฟนสาวเอาแต่มองสิ่งรอบข้าง
ดูเหมือนทางร้านจะตั้งใจไม่เปิดไฟให้สว่างมาก เพื่อให้แสงระยับเรื่อเรืองของเทียนได้อวดโฉม ทำให้สรรพสิ่งที่ดูธรรมดาในแสงไฟทั่วไปกลับงดงามขึ้นอย่างประหลาด นลินีละสายตาจากโถแก้วใส่เทียนลอยน้ำตรงกลางโต๊ะ เพื่อตอบคำถาม

“ชอบจ๊ะ เขาจัดร้านน่ารักดีนะ”

จากนั้นบริกรร่างตุ้ยนุ้ย หรือ ตำแหน่งจริงที่ลูกค้าไม่เคยรู้คือ ผู้จัดการร้าน ก็เดินมารับรายการอาหารหน้าตายิ้มแย้ม ลำคออวบกระเพื่อมตอนทวนรายการอาหารอีกรอบก่อนจะจากไปดำเนินการ
“ชาเขียวเย็น 1 ที่ คาปูชิโน่เย็น 1 ที่ ขนมปังปิ้งนมเนย 1 sweet heart 1 ที่ รอสักครู่นะครับ”

การจากไปของบริกรสร้างภาวะเงียบเชียบจนน่าอึดอัดให้กับสองหนุ่มสาวอีกครั้ง เพราะต่างคนต่างก็ไม่รู้จะหยิบยกอะไรมาเป็นหัวข้อสนทนาดี ทำไมไม่เหมือนคบกันแรกๆนะ เรื่องไม่เป็นเรื่องยังคุยกันได้ไม่รู้เบื่อ ไม่ว่าจะใบไม้ร่วง หรือแมวเดินผ่าน สามารถเรียกเสียงหัวเราะของคนที่หัวใจอิ่มเอิบได้ ทว่าตอนนี้ต่อให้ร้านไออุ่นมีคณะตลกมาโชว์ ก็คงไม่สามารถชวนให้ยิ้มได้เลย

“เฮ้ยหนึ่ง..ของที่สั่งได้แล้วนะโว้ย หวัดดีครับนี ทำไมวันนี้มาถึงนี่ได้ล่ะ” หลังจากโวกเวกกับเพื่อน นิติรุตต์ก็หันมาทักทายนลินีอย่างสุภาพ ซึ่งหญิงสาวยิ้มรับตอบกลับอย่างรู้ทัน “รุตต์ยังไปถึงหอเราบ่อยๆ ทำไมเราจะมาที่นี่มั่งไม่ได้”

นิติรุตต์ยิ้มเก้อๆ ก่อนจะขอตัวกลับไปชงกาแฟต่อ “ไปก่อนนะหนึ่ง เดี๋ยวถูกหาว่าอู้งาน จะเอาอะไรเพิ่มก็บอกล่ะกัน”

“นีจ๋า ตกลง เพื่อนผมกับเมตนีเนี่ยเขาเป็นอะไรกัน” ทันทีที่พนักงานห่างออกไป เป็นหนึ่งก็ถามแฟนสาวถึงเรื่องที่ข้องใจ ก็สงสัยตั้งแต่เห็นนิติรุตต์นั่งกินบะหมี่กับอัมพิกาแล้ว ไหนจะเห็นหมอนี่ที่หอของแฟนสาว แต่เรื่องราวของสองคนก็ยังคลุมเครือ จะถามนิติรุตต์ก็ไม่กล้า เดี๋ยวมันด่าเอาหาว่ายุ่งเรื่องส่วนตัว ที่สำคัญกลัวมันเอาเรื่องส่วนตัวของคนถามไปเผยแพร่ ตายเลยทีนี้

“หนึ่งก็ถามรุตต์เอาเองซิ แต่เมตนีน่ะ มันยังสับสนในชีวิตอยู่เลย” หลังจากสนุกสนานกับการวิเคราะห์เรื่องราวความน่าจะเป็นของเพื่อนซี้ ทั้งคู่ก็เงียบเสียงลงอีกครั้งหันไปจัดการกับอาหารตรงหน้า

แม้จะยังไม่ได้กินข้าวเย็น แต่เจ้าขนมปังปิ้งใส่นมเนยสีเหลืองทองกรอบนอกนุ่มใน กับชาเขียวกลิ่นหอม ก็ไม่ได้ช่วยให้นลินีเจริญอาหารได้เลย เป็นหนึ่งเองก็เหมือนกัน เหมือนจะกล้ำกลืนกินยังไงไม่รู้

“หนึ่ง เป็นอะไรไปรึเปล่า เอ่อ….มีอะไรจะบอกนีไหม” คำถามเรียบๆของนลินีทำเอาคนที่กำลังดูดคาปูชิโน่เย็นถึงกับสะดุ้ง

“เปล่านี่…ทำไมนีถามผมแบบนั้นล่ะ มีอะไรเหรอ” เป็นหนึ่งทำท่าก้มหน้าหยิบคุ๊กกี้ส่งเข้าปากกลบเกลื่อนความประหม่าในใจ

“นี ก็ไม่มีอะไรเหมือนกัน แต่ถ้าหนึ่งอยากบอกอะไรนี พูดได้เลยนะ นียินดีรับฟังทุกเรื่อง” ไม่มีข้อความใดๆหลุดออกมาจากทั้งสองคนจนกระทั่ง ถึงเวลาอันควรนลินีจึงชวนฝ่ายชายกลับ

หญิงสาวคิดในใจระหว่างทางกลับว่า ‘ที่บอกว่าไม่มีอะไรเนี่ยแหละเป็นปัญหามากที่สุด ไม่มีอะไรเลย ไม่เหลืออะไรแล้ว ความรัก ความผูกพันมันหายไปไหนนะ หายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วที่เหลืออยู่คืออะไร ที่ทำให้ต้องทนไปไหนมาไหนด้วยกัน พูดจากันทั้งที่ไม่มีอะไรจะพูด’

นลินียืนส่งชายหนุ่มที่เรียกว่าคนรักจนเขาขับรถลับตา ก่อนจะถอนหายใจโล่งอก ‘เฮ้อ หน้าที่แฟนสำหรับวันนี้สิ้นสุดลงแล้วซินะ แต่..เราทำมันดีหรือยัง ก็ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วล่ะ’

หนึ่ง รู้ไหมบางทีนีแอบคิดว่า ถ้าหนึ่งจะมีแฟนเป็นคนอื่นที่ไม่ใช่นี หนึ่งอาจจะมีความสุขกว่านี้ นลินีรู้ดีว่า เป็นหนึ่งชอบผู้หญิงอ่อนหวานช่างเอาอกเอาใจ ซึ่งไม่ใช่เธอ หากดูภายนอกนลินีน่าจะเป็นคนแบบนั้น แต่ความจริงเธอเป็นคนประเภทอ่อนนอกแข็งใน คบกันนานๆเข้าเป็นหนึ่งก็คงได้ประจักษ์ว่า นลินีไม่ใช่สาวหัวอ่อนอย่างที่เข้าใจในตอนแรก ไม่แปลกหรอกถ้าเขาจะไปเจอผู้หญิงคนอื่นแล้วถูกใจมากกว่าแฟน

ถ้าเพียงแต่เขาจะเอ่ยปาก ไม่ว่าจะเป็นแบบไหน นลินีรับได้ทั้งนั้น และจะไม่โทษใครเลย แต่เป็นหนึ่งก็ไม่ เขายังพยายามทำตัวเหมือนเดิม ทั้งทีไม่มีอะไรเหมือนอีกต่อไปแล้ว บางทีอาจเป็นนลินีนี่แหละที่ลงมือต้องปลดแอกให้เธอและเขาเอง







วันนี้แอบนายมาแปะบล็อกนะเนี่ย

คุณCrackyDong ------ ขอบคุณที่แวะมาอุดหนุนนะคะ

คุณเมย์ ------- ชิมหวานๆก็เฉพาะนายรุตต์กับหนูอั้มแหละค่ะ ตอนที่ลงวันนี้ก็จะไม่ค่อยหวานแล้ว

คุณpantee -------- ร้านไออุ่น ยินดีต้อนรับค่ะ อย่างนี้ต้องแจก first kiss ซะแล้ว

คุณฟ้าเคียงเดือน ------ จะพยายามค่ะ แล้วแวะมาบ่อยๆน้า

คุณ ... (ไม่ประสงค์ออกนาม) ------- ข้าน้อยไม่ได้ลอยกระทงคนเดียวแหละ แต่ลอยกับม่าม๊าทุกปี อิอิ (ไม่มีใครมาลอยเป็นเพื่อนเหมือนหนูอั้มเล้ย) สำหรับดวงไฟในสายฝน (เรื่องของพี่โคมสุดหล่อ/พี่เอสเปรสโซ่) จริงๆพี่เขาก็มาแจมในร้านไออุ่นเสมอๆนะคะ ในฐานะตัวประกอบ 555 เรื่องของพี่โคมมีต่อแน่คะ อดใจรออีกไม่นาน


ปล. ว่าแต่ว่าน้องอ้อเราหายไปไหนหนอ




Create Date : 03 กรกฎาคม 2552
Last Update : 3 กรกฎาคม 2552 15:37:49 น. 5 comments
Counter : 499 Pageviews.

 
เข้ามาอ่านคนแรกป่าว ดีใจจังได้อ่านและ


โดย: ฟ้าเคียงเดือน IP: 58.9.105.77 วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:15:48:45 น.  

 
ลูกค้เจ้าประจำมาแล้วค่ะ ...
ยังติดใจคนชงกาแฟเหมือนเดิม..

แต่..

วันนี้บรรยากาศรอบๆ ร้านเศร้าจัง...
อยากเห็นทุกคนมีความสุขค่ะ..

เป็นกำลังใจให้คุณพินทุอิสำหรับตอนต่อไปนะคะ..


โดย: เมย์ IP: 78.69.65.82 วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:20:10:48 น.  

 
ชอบป้าเปิ้ลค่ะ
อยากรู้จังว่าพี่รูปหล่อเขียนอะไรลงในสมุด อิอิ


โดย: ... IP: 61.90.22.199 วันที่: 3 กรกฎาคม 2552 เวลา:23:04:29 น.  

 
หยุดหลายวันต้องอยู่โยงเฝ้าบ้าน

มาหากาแฟอร่อยๆกินดีกว่า



โดย: pantee IP: 124.121.207.253 วันที่: 4 กรกฎาคม 2552 เวลา:22:04:03 น.  

 
กลับมาแล้วพี่เก๋ ไปงานรับปริญญาเพื่อนมาค่ะ
หายหน้าหายตาไปนาน นายรุตต์คงคิดถึงอ้อแย่เลย

จริงๆ ด้วยนะเนี่ย มีแฟนใช่ดีเสมอไป อยุ่เป็นโสดแบบนี้นี่แหละ ดีที่สุด

ไม่ใช่ไม่มีใครเลือกเรา แต่เราเลือกที่จะไม่เลือกใครต่างหาก ฮุ๊ๆๆ


โดย: ต้นอ้อสีม่วง IP: 125.26.180.240 วันที่: 10 กรกฎาคม 2552 เวลา:17:37:58 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

พินทุอิ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สระอะไรเอ่ย...ยิ้มได้? ก็ สระ "อิ" ไงจ๊ะ นี่แหละค่ะที่มาของชื่อ "พินทุอิ" สระที่มีหน้าตาเหมือนรอยยิ้ม (จริงๆนะ)
มาร่วมแบ่งปันรอยยิ้มและความสุขกันนะคะ

หมายเหตุ
งานเขียนทุกชิ้นในบล็อกนี้เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตามโดยไม่ได้รับอนุญาต หากต้องการนำงานเขียนชิ้นใดไปเผยแพร่ กรุณาติดต่อขออนุญาตจากผู้เขียนโดยตรง
Friends' blogs
[Add พินทุอิ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.