• ° o . O ขอต้อนรับสู่โลกขำๆ ของคนชอบฝันเฟื่อง O . o ° •
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2552
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
1 กรกฏาคม 2552
 
All Blogs
 

หัวใจรสกาแฟ 9



“ฉันสวยพอแล้วใช่ไหม ไปล่ะนะจ๊ะ หนูอั้ม ปีนี้ของดลอยกระทงกับเพื่อนซะที นานๆจะมีเหยื่อหลงมา” พิริยาพรร่ำลาด้วยท่าทางระริกระรี้ เพราะเธอกำลังจะออกไปลอยกระทงกับหนุ่มรุ่นน้องแห่งคณะวิทย์ฯ ทำเอาคนเพิ่งหายป่วยและไร้นัดได้แต่มองตาม แบบอิจฉานิดๆหมันไส้หน่อยๆ

“อั้ม ไปลอยกระทงกับเราไหมล่ะ” รูมเมตผู้แสนดีออกปากชวน แต่ใครเล่าจะกล้าติดสอยห้อยตาม รู้อยู่แก่ใจว่านลินีนัดเป็นหนึ่งไว้ อัมพิกาปฏิเสธไมตรีเพื่อนด้วยรอยยิ้ม แม้ใจจะหายวาบ เพราะทุกปีถ้าไม่กลับไปลอยกระทงกับครอบครัว เธอก็จะออกไปลอยกระทงกับ ‘ชมรมคนไม่มีแฟน’ แต่ปีนี้พลิกความคาดหมาย ดูเหมือนแต่ละคนจะเริ่มถอนตัว ขนาดยัยเปิ้ลยังมีคู่ลอยกระทงเล้ย

“ถ้าไม่ไปไหน ก็กินยานอนซะนะ ถึงอั้มจะบอกว่าหายแล้ว แต่เราว่ากินยาที่หมอเขาจัดมาให้หมดเลยดีกว่า เหลือพอกินได้อีกสองหนเองไม่ใช่เหรอ” พยาบาลชั่วคราวกำชับก่อนจะเดินออกจากห้องไป

‘อยู่คนเดียวอีกแล้ว เซ็งๆๆๆ ไอ้ไข้หวัดใหญ่มันไม่น่าจะหนักขนาดนี้เลยนะ ต้องโทษยาที่หมอให้มานั่นแหละกินทีไรหลับอุตุทุกที เลยดูเหมือนป่วยหนัก’ คนเพิ่งหายป่วยบ่นงำในใจคนเดียว นั่งๆนอนๆ สักพัก อัมพิกาก็ลุกพรวดพราด มาอาบน้ำแต่งตัว สมองดื้อๆบอกกับตัวเองว่า

“ฉันหายแล้ว หัวไม่ปวด ตัวไม่ร้อน เสมหะไม่มี น้ำมูกนิดหน่อย ไม่มีใครลอยกระทงเป็นเพื่อนลอยคนเดียวก็ได้นี่ ฉันจะไม่ยอมเป็นบังอรเอาแต่นอนเฝ้าห้องเหมือนเกือบตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาอีกแล้ว”

หญิงสาวแต่งตัวง่ายๆคว้าเสื้อไหมพรมสีขาวครีมเนื้อนุ่มแต่ไม่หนามากมาใส่กันหนาว ส่วนล่างใส่เป็นกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม ติดกิ๊บเก็บผมไม่ให้มาปรกหน้าด้านหลังปล่อยยาวสยาย ใบหน้าที่ซูบเซียวเพราะพิษไข้เริ่มเปล่งปลั่งอีกครั้ง ตากลมๆก็ดูมีชีวิตชีวาขึ้น พวงแก้มป่องระเรื่อสีชมพูบางๆเช่นเดียวกับสีที่ริมฝีปากอิ่มย้อย

ไม่ลืมหยิบผ้าเช็ดหน้าติดมือเอาไว้ปิดหน้าเวลาจาม ไม่อยากให้ใครมารับเชื้อไข้ต่อ พอเดินออกมาเจออากาศเย็นๆข้างนอกไม่เท่าไหร่ก็ได้ใช้ประโยชน์ผ้าเช็ดหน้าจริงๆด้วย กำลังก้มๆเงยๆ จัดการเจ้า ฮัดเช้ย อยู่ไม่ได้มองทางเฉี่ยวใครอีกแล้วไม่รู้ ‘ยัยอั้มเอ๋ย ซุ่มซ่านประจำเลยนะเรา’ ติตัวเองในใจเสร็จก็เอ่ยขอโทษผู้เดือดร้อน

“ขอโทษนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ” คนถูกชนไม่ถือสาหาความ พูดแค่นั้นก็เดินสวบๆสวนทางไป แต่คนที่เดินชนซิ กลับใจหายเมื่อเงยหน้ามาเห็นว่าเป็นใคร แล้วทำไมต้องทำท่าอย่างกับคนไม่เคยรู้จักกันด้วยล่ะ ด้วยความลืมตัวอัมพิกาเผลอเรียก

“เดี๋ยวก่อนซิ” ได้ผลคนที่ถูกเรียกหยุดชะงัก หันมาประจันหน้าแต่ไม่พูดจาสักคำ ส่วนคนที่เรียกตัวเอาไว้ก็เอาแต่นิ่งเงียบทั้งๆที่เรียกเขาเอาไว้เองแต่ไม่รู้จะพูดอะไร

“เอ่อ…..” พอจะพูดก็พูดขึ้นมาพร้อมกันแล้วก็พากันหยุดชะงักทั้งคู่ คนหนึ่งคิดว่ากลัวพูดไปแล้วจะแสลงหูอีกฝ่ายเดี๋ยวจะโกรธเอาอีก ไม่รู้ว่าไข้น่ะหายดีแล้วหรือยัง ส่วนอีกคนก็ไม่รู้จะเริ่มต้นว่ายังไงดีอยากจะบอกว่าขอบใจก็อายๆยังไงไม่รู้

“ถ้าไม่มีอะไรผมขอตัวก่อนนะ” พูดเสร็จก็ตั้งท่าจะไปจริงด้วยซิ หากไม่ก่อนที่จะได้ยินเสียงแผ่วของอีกฝ่าย

“ขอบใจ” หญิงสาวกลั้นหายใจบอกไปได้แค่นั้น โอ้ย..แล้วนายนี่ทำไมแปลกๆแบบนี้ล่ะ อยู่ดีๆก็กลายเป็นคนพูดน้อยกลัวดอกพิกุลจะร่วงรึไง รึว่าจะโกรธ ไม่รู้ล่ะแต่เริ่มน้อยใจแล้วนะอุตส่าห์พูดด้วยก่อน อัมพิกาหันหลังตั้งท่าจะเดินจากไปเหมือนกัน

“ขอบใจเรื่องอะไร” เสียงถามมาจากด้านหลัง คนขี้ใจน้อยหยุดเดินแต่คราวนี้ไม่ได้หันไปหาส่งเพียงเสียงตอบกลับเท่านั้น

“เรื่องนม เรื่องโรงพยาบาล เรื่องข้าวต้ม” ตอบเสร็จก็ออกเดินอีกครั้ง เลยไม่รู้ว่าคนที่บอกว่า ‘ผมขอตัวก่อนนะ’ เดินตามหลังมาด้วย

“หายโกรธผมแล้วเหรอครับ” คนถามพยายามเลือกถ้อยคำที่เสนาะหูมากที่สุด ก็บอกแล้วไงจะไม่พูดอะไรให้ระเคืองหูคนป่วยสักนิดเดียว

“ไม่ได้โกรธอะไรนี่ นายต่างหากโกรธรึเปล่า เรื่องที่เทนมทิ้ง” อัมพิกาหยุดเดินหันมาหาคนข้างหลังเพื่อจะได้ฟังคำตอบชัดๆ

“ไม่ได้โกรธอะไรนี่ อั้มต่างหากที่โกรธผม”

“เอ๊ะ บอกว่าไม่ได้โกรธ ไม่ได้โกรธ พูดอยู่ได้” อัมพิกาเริ่มอารมณ์เดือดอีกแล้ว ตอนแรกว่าจะขอโทษดีๆซะหน่อย

“ผมก็ไม่ได้โกรธอั้มเหมือนกัน” ชายหนุ่มตอบเสียงกวนๆ พร้อมกับอมยิ้ม เมื่อเห็นตาเขียวๆ และปากเม้มแน่นของอีกฝ่าย นี่แสดงว่าอัมพิกาคนเดินกลับมาแล้วสินะ

“เอาเถอะ ยังไงก็ต้องขอโทษอยู่ดี…ขอโทษนะรุตต์ที่อั้มทำนิสัยไม่ดี ตอนนั้นมันปวดหัวมากเลย ไม่ค่อยรู้ตัวหรอก” แม้ว่าอัมพิกาจะค่อนข้างอารมณ์ร้อนและเอาแต่ใจ แต่ข้อดีในตัวเธอที่ใครๆก็มักเอ็นดูคือ ถ้าผิดก็ยอมรับว่าผิดเสมอ และท่าทางตอนสารภาพบาปของเธอก็ช่างน่าเอ็นดู

หญิงสาวจะก้มหน้านิดๆสองมือจับประสานกันแน่นบีบไปมา ตากลมแป๋วกระพริบปริบๆวิงวอนอภัยโทษ พูดเสียงอ่อย ท่าทางเหมือนเด็กน้อยที่แอบไปเล่นซนจนโดนจับได้ แม้เรื่องที่เธอทำจะร้ายแรงแค่ไหน ก็ไม่มีใครโกรธเธอลงสักที ไม่ว่าจะที่บ้านหรือเพื่อนๆ รวมทั้งคนตรงหน้านี่ด้วย

“ผมก็ขอโทษนะถ้าทำอะไรให้อั้มโกรธ ส่วนเรื่องผู้หญิงคนนั้นความจริงผมกับเขาไม่มีอะไรกันซะหน่อย…..” นิติรุตต์ตั้งท่าจะอธิบายเรื่องราวที่ทำให้อัมพิกาเข้าใจผิด แต่ถูกขัดจังหวะซะก่อน

“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ถ้าไปขุดคุ้ยอีก ได้โกรธจริงๆแน่” อัมพิกาเสียงแข็งก็กลัวจะโดนไล่เบี้ยถึงสาเหตุที่โกรธเหมือนที่เคยโดนรูมเมตต้อนซะจนมุมมาแล้วน่ะซิ

“ความจริงนะถ้าอั้มจะโกรธผมเรื่องผู้หญิงคนอื่น ผมจะดีใจมากๆเลย” นายจอมกวนเริ่มออกลาย

“ไม่มีทาง จะไปมีอะไรกับใครสักร้อยสักพัน ก็ไม่สน” อัมพิกาลอยหน้าตอบ ไม่สนจริงๆนะ ไม่เกี่ยวกันซะหน่อย

“อั้มนี่…ใจกว้างดีจังเลยเนอะ” อีกฝ่ายก็พูดหน้าตาเฉยเหมือนกัน แต่แอบกลั้นยิ้มแทบตาย แล้วพิษประโยคสั้นๆเนี่ยแหละที่ทำให้อัมพิกาหมดความอดทนตวาดกลับ

“อี ต า บ้ า พูดอยู่ได้ โมโหแล้วนะ ไหนว่าจะรีบไปไหน ทำไมไม่ไปซะทีล่ะ ไปเลยไป” เลือดชักขึ้นหน้า ไล่นายนี่ไปไกลๆเลยดีกว่า ถ้าต้องเจอกวนประสาทอีกเดี๋ยวเป็นได้ฟาดกำปั้นซักเปรี้ยง

“แล้วอั้มจะไปไหน ทำไมมืดๆมาเดินคนเดียว เพื่อนไปไหนหมด” แทนที่จะรีบไปให้พ้นๆ นิติรุตต์กลับรั่วคำถามใส่

“ว่าจะไปลอยกระทงที่มอ.น่ะ ความจริงทุกปีก็ลอยกับเพื่อนนั่นแหละ แต่ปีนี้เพื่อนเขามีนัดกันหมด” อัมพิกาตอบเสียงอ่อย นึกน้อยใจเพื่อนอยู่เหมือนกัน มีกันไปทำไมนะฟงแฟนเนี่ย มีแล้วก็ลืมเพื่อนฝูง นึกอยากจะให้เด็กหนุ่มรุ่นน้องคนนั้นสลัดยัยเปิ้ลไวๆ เหมือนที่ยัยนั่นเคยโดนสลัดรักจากการออกเดทเพียงครั้งเดียวบ่อยๆ ใครเขาจะทนคนพูดมากไหวเล่า

“งั้นเดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อน ไม่ได้ลอยกระทงมาสองปีแล้ว วันลอยกระทงทีไรร้านไออุ่นยุ่งทุกที” เห็นอัมพิกาตั้งท่าจะห้าม นิติรุตต์เลยรีบแถลงเหตุผล “อั้มเดินคนเดียวมืดๆอันตรายออก พอลอยกระทงเสร็จผมกลับไปทำงานก็ยังทัน เอ้า ... เชิญเสด็จได้แล้วองค์หญิง เดี๋ยวกระหม่อมจะเป็นเกราะป้องกันคนรอบข้างไม่ให้องค์หญิงไปทำร้ายเขาได้เลย”

แล้วขบวนลอยกระทงของชมรมคนไม่มีแฟนที่เหลือสมาชิกเพียงคนเดียวก็ออกเดินต่อโดยมีผู้สมทบอีกหนึ่ง หญิงสาวกำลังไล่เรียงไอ้ประโยคยาวๆตะกี้มันดีหรือไม่ดีกันแน่นะ แล้วก็ต้องอ้าปากค้าง
“นายรุตต์ กวนประสาทอีกแล้วนะ…”






เดินเถียงกันไปมาสองหนุ่มสาวก็มาถึงบึงใหญ่กลางมหาวิทยาลัยไม่รู้ตัว ผู้คนเยอะแยะสับสนวุ่นวาย เสียงเซ็งแซ่จากร้านต่างๆระงมไปหมด ไหนจะเสียงอึกทึกจากเวทีที่มีการแสดง อีกแสงไฟสว่างจ้าก็ดูจะบดบังความงามของพระจันทร์วันเพ็ญไปตั้งเยอะ

ทั้งสองเลือกซื้อกระทงขนาดย่อมผลงานของน้องๆชมรมอาสาฯ เพราะเห็นเขียนไว้ว่ารายได้ทั้งหมดจะนำเข้าค่ายสร้างโรงเรียนให้เด็กชาวเขา แล้วก็พากันมายังโป๊ะริมน้ำ แล้วก็ต้องผิดหวังเพราะคนเต็มไปหมดไม่มีที่ให้แหวกลงไปได้เลย

“ไปตรงสวนสมุนไพรฝั่งนู้นไหม ไม่ค่อยมีคนหรอกแต่มันเป็นดินลื่นๆ จับผมไว้แล้วกันจะได้ไม่ล้ม” อัมพิกาลุกตามแต่โดยดี หญิงสาวจับมืออีกฝ่ายแน่น ระหว่างทางที่ต้องเดินเลาะริมน้ำที่เป็นดินเหนียวลื่นๆ จนมาถึงที่หมายริมน้ำอีกฟาก ไม่ค่อยมีคนเพราะที่ลอยกระทงไม่สะดวก เสี่ยงต่อการหัวทิ่ม เนื่องจากเป็นตลิ่งดินลึกลงไปตั้งเมตรกว่า

นิติรุตต์ลงไปก่อนจับมืออีกคนที่ค่อยๆก้าวตามมาแน่น กลัวคนซุ่มซ่ามจะหกล้มน่ะซิ เดี๋ยวตกน้ำตกท่าหวัดกลับมาหาอีกแย่เลย พอลงมาได้ก็พากันจุดธูปเทียน ยกกระทงขึ้นอธิษฐานก่อนจะปล่อยลอยน้ำ ทั้งสองนั่งมองส่งกระทงน้อยๆที่ลอยคู่กันออกสู่กลางน้ำ ลุ้นระทึกว่ามันคงไม่จม เทียนคงไม่ดับนะ แล้วก็สมหวังเพราะเจ้ากระทงเล็กๆสองใบพากันส่องแสงประชันกับกระทงอื่นๆ ได้ไม่น้อยหน้า แล้วก็ยังทำท่าว่าจะไม่ทิ้งกันและกันไปไหน

ความอ่อนละมุนนวลแสงของจันทร์วันเพ็ญ พร้อมกับแสงเทียนระยิบที่อวดตัวบนผิวน้ำลับเลื่อมประกายเงินทำให้คนขี้โมโหอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ลืมไปด้วยซ้ำว่ากำลังนั่งคุยอยู่กับ คนที่บอกเขาป่าวๆ ว่าเกลียดขี้หน้า

“ตอนเด็กๆอั้มชอบจินตนาการไปเองว่า วันนี้เป็นวันที่ดวงดาวลงมาเล่นน้ำกลายร่างเป็นแสงเทียนจากกระทงน้อยใหญ่ พระจันทร์ก็นอนแช่น้ำยิ้มแฉ่งอยู่นั่น เลยทำให้น้ำมันเต็มตลิ่ง อันที่เราเห็นบนฟ้าน่ะเป็นเงาที่สะท้อนขึ้นไปจากน้ำต่างหาก อั้มเลยชอบนั่งมองนานๆ เวลาลอยกระทงเสร็จถ้าพี่ชายไม่มาฉุดไปซะก่อน”

“อั้มชอบลอยกระทงเหรอ” นิติรุตต์เอ่ยถาม มองหน้าหญิงสาวที่นั่งข้างๆผู้กำลังเพลินมองดวงดาวในน้ำ อีกคนก็กำลังเพลินมองดาวเหมือนกัน แต่เป็นดาวระยิบในตากลมๆ ที่เจ้าของคงไม่รู้ตัวว่า ตาของเธอเวลานี้งามยิ่งกว่าดาวดวงไหนๆ

“ชอบมากเลยแหละ เคยอ่านเจอเขาบอกว่าคนที่เกิดราศีกรกฏต้องลอยกระทงทุกปีเพื่อเป็นศิริมงคล เพราะเป็นคนธาตุน้ำ แล้วดวงชะตาก็ขึ้นตรงกับดวงจันทร์ อั้มเลยตั้งใจว่าจะต้องลอยให้ได้ทุกปี แล้วก็ยังชอบภาพสวยๆแบบนี้ รุตต์ว่าไหมมันสวยจริงๆเนอะ ปีหนึ่งมีแค่ครั้งเดียวเอง”

“อืม….สวย สวยจริงๆ” อัมพิกาจะรู้ไหมเนี่ยว่า อะไรที่นายจอมกวนบอกว่าสวย

“กลับเถอะ รุตต์ต้องรีบไปทำงานไม่ใช่เหรอ” คนชอบลอยกระทงเริ่มใจสั่นไหว อยู่ๆก็รู้สึกหน้าแดงขึ้นมา เมื่อหันมาหาคนที่นั่งข้างๆ แล้วสบตาของเขาที่มองอยู่ก่อนแล้วอย่างจัง อัมพิกาหลุบตาลง ใจเต้นตักตึก อาย อะไรก็ไม่รู้

“ป๊ะ กลับก็กลับ” นิติรุตต์ไม่พูดเปล่ายังเอื้อมมือทำท่าเหมือนจะให้อีกฝ่ายจับอย่างตอนที่เดินมา เห็นฝ่ายนั้นยังยืนเฉยชายหนุ่มเลยพูดขู่ “เดี๋ยวก็ตกน้ำหรอก ตลิ่งยิ่งชันๆอยู่”

อัมพิกากลั้นใจวางมือเล็กๆของตัวลงไป ไม่ได้เต็มใจหรอกนะ แค่อยากอาศัยเกาะขึ้นตลิ่งเท่านั้นแหละ พอขึ้นไปข้างบนได้จะสลัดทิ้งทันที

“ปล่อยได้แล้ว” พออยู่ในระยะปลอดภัย อัมพิกาก็เริ่มออกแรงปลดปล่อยมือของตัวเองให้เป็นอิสระ แต่มือใหญ่ที่เคยแย่งหนังสือในห้องสมุด กลับไม่ยักปล่อย

“จับกันไว้แบบนี้แหละ จะได้ไม่หลง อั้มไม่เห็นเหรอว่าคนเยอะจะตาย” ไม่ยอมปล่อยไม่พอยังพูดหน้าตาเฉย หาเหตุผลน้ำขุ่นๆ
“โอ้ย..จะบ้าเหรอใครจะหลงมอ.ที่เรียนมาตั้งสี่ปี” พูดไปพลางสลัดมือไปพลาง ทำไมมันเหนียวแบบนี้ล่ะ เริ่มเหนื่อยแล้วด้วย น้ำโหก็เริ่มขึ้นหน้า แต่รู้สึกว่าความขวยเขินจะมีมากกว่า

“ผมหมายความว่าเราสองคนจะพลัดหลงกันต่างหาก”
“ถึงหลงกับรุตต์ อั้มก็กลับถูก ปล่อยเลย บอกให้ปล่อยเดี๋ยวนี้” อัมพิกาคิดว่านายนั่นต้องแกล้งแน่ๆเลย แกล้งให้คนเห็นแล้วเข้าใจผิดๆเอามาล้อเราอีก โมโหแล้วด้วยหญิงสาวเอาอีกมือมาหยิกมือของนายนั่นที่กุมมืออีกข้างของเธอไว้

“โอ้ย..เจ็บนะอั้ม” ได้ผลคนเจ้าเล่ห์สะดุ้งโหย่งชักมือกลับทันที
“เนี่ยแค่เบาะๆ ที่หลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ”

เพราะอารมณ์เริ่มร้อนเลยเดินเร็วจนมาถึงหน้าหอไม่รู้ตัว ออกเสียงไล่คนมาส่ง“กลับไปทำงานได้แล้วไป๊ เดี๋ยวเขาก็ไล่ออกหรอก”

“ผมยืนมองอั้มเดินเข้าหอก่อนล่ะกัน ไม่ไว้ใจ เดี๋ยวมีคนเดินสวนมาอั้มจะทำมิดีมิร้ายเขา” คนมาส่งยังคงกวนประสาทตามนิสัย แต่ความจริงที่อยากเห็นเธอคนนั้นเข้าหอไปต่อหน้าเพราะเป็นห่วงสวัสดิภาพของอัมพิกา
รู้สึกว่าที่หอเงียบๆ คนคงยังไม่กลับมา หน้าหอก็มีแต่ต้นไม้รก ถ้ามีคนมาแอบอยู่ก็คงยากที่จะรู้

“อีตาบ้า เห็นฉันเป็นตัวอะไรเนี่ย”
“ก็เป็นตัวประหลาดมีหน้าตาเป็นอาวุธ และอารมณ์ที่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ผมเลยกลัวว่าถ้าอั้มของขึ้นขึ้นมา เที่ยวประทุษร้ายคนเขาไปทั่ว เปลี่ยวๆเงียบๆแบบนี้เดี๋ยวได้ฆ่าหมกป่าใครเข้าให้”

“ฆ่านายนั่นแหละคนแรก กวนประสาทดีนัก” หญิงสาวไม่พูดเปล่ารั่วกำปั้นน้อยๆใส่คนตรงหน้า ตั้งใจว่าจะเอาให้เจ็บกว่าที่เคยทำ นายนี่จะได้เข็ดเลิกพูดจากวนโมโหซะที

“โอ้ย….เจ็บ..” คราวที่แล้วว่าหนักแล้วนะคราวนี้หนักกว่าอีก ทำไมกำปั้นน้อยๆ มันมีฤทธิ์ขนาดนี้ แต่นิติรุตต์ก็ไม่ปล่อยตัวเองเป็นเหยื่อนานนักหรอก โชคดีที่ตอนนี้มือว่างเลยรวบสองกำปั้นเล็กมาไว้ซะเลย ดูซิจะแผลงฤทธิ์ท่าไหนอีก

“ปล่อยนะ..” คนที่กำปั้นสิ้นฤทธิ์เริ่มรู้ตัวว่ากลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พยายามฝืนเอามือตัวเองออกมาก็ช่างยากเย็น เรี่ยวแรงมันไปไหนหมดนะ มีแต่ความรู้สึกประหม่า ขัดเขิน ไม่กล้ามองตาวาวๆของอีกฝ่าย

“ปล่อยก็โง่ซิ เดี๋ยวอั้มทุบผมอีกล่ะ” นั่นน่ะซิปล่อยให้โง่เหรอ โอกาสดีๆอย่างนี้มีบ่อยที่ไหน
“ไม่ทุบแล้ว ปล่อยอั้มเถอะนะรุตต์นะ เดี๋ยวใครมาเห็นเข้าหรอก” อัมพิกาอ้อนวอนเสียงอ่อน

“เห็นแล้วไง ” นิติรุตต์ยังคงจับมือทั้งสองของหญิงสาวไว้แน่น ยิ้มพราว
“ก็ เดี๋ยวเขาเข้าใจผิด หาว่าเราเป็นอะไรกัน”

“แล้วเราเป็นอะไรกันล่ะ” คนถามทำสุ่มเสียงเรียบแต่คนที่ถูกถามน่ะซิต้องคิดหนัก

จะว่านายนั่นเป็นเพื่อนก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ เป็นศัตรูก็ไม่เชิง เป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ที่รู้คือ ตั้งแต่เกิดมาก็มีนายนี่แหละที่ทำให้ใจเต้นโครมคราม เขินอายแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แล้วก็นายนี่อีกเหมือนกันที่ทำให้เรากลายเป็นคนไร้เหตุผลบ่อยครั้ง

“ไม่รู้…” ตอบได้เท่านั้น เพราะไม่รู้จริงๆนี่นา
“ไม่เป็นไร อั้มอยากให้ผมเป็นอะไร ผมเป็นได้หมดแหละ อ่ะ ไม่แกล้งแล้ว ขึ้นหอได้แล้วนะ ฝันดีครับ” นิติรุตต์กล่าวอำลาพร้อมปล่อยมือหญิงสาวง่ายดาย

“เอ่อ ขอบใจที่มาส่งนะ เดินกลับดีๆล่ะ” พูดเสร็จอัมพิกาก็วิ่งเข้าหอแบบไม่เหลียวหลัง ปล่อยให้อีกคนมองส่งตายิ้มพรายก่อนจะกลับไปทำงานด้วยกำลังใจเกินร้อย

เข้าห้องปุ๊บ ไม่ปรากฏเงารูมเมตแสดงว่ายังไม่กลับ หญิงสาวล้มตัวนอนมองพระจันทร์ดวงโตที่ข้างหน้าต่าง ไออุ่นๆ ของนายนั่นยังติดมือมาอยู่เลย ก็มือทั้งสองข้างที่กำลังเท้าคางอยู่นี่ไง เลยทำให้หน้าร้อนผ่าวขึ้นมาอีก นึกถึงคำพูดนายนั่นที่ว่า

“อั้มอยากให้ผมเป็นอะไร ผมเป็นได้หมดแหละ” แล้วเราอยากให้เขาเป็นอะไรล่ะ จนถึงตอนนี้หญิงสาวก็ยังหาคำตอบไม่ให้ตัวเองไม่ได้

อัมพิกายิ้มสดใสกับพระจันทร์ ทำไมวันนี้ถึงรู้สึกดีจังนะ ทั้งที่เพิ่งถูกกวนประสาทในรอบอาทิตย์ที่ผ่านมา คงเพราะเราไปลอยกระทงสักการะเจ้าแม่คงคามั้ง ผลบุญเลยทำให้สดชื่น






สวัสดีค่ะลูกค้าร้านไออุ่น ทั้งขาจรและขาประจำ
วันนี้ข้าน้อยเอากาแฟหวานๆมาแจกค่ะ เผื่อใครที่โมโหหนูอั้มจากตอนที่แล้วจะได้อารมณ์ดี อิอิ




ผ่านมาก็ทักทายกันบ้างนะคะ




 

Create Date : 01 กรกฎาคม 2552
9 comments
Last Update : 1 กรกฎาคม 2552 0:30:14 น.
Counter : 344 Pageviews.

 

แวะมาทักทายค่ะ

 

โดย: CrackyDong 1 กรกฎาคม 2552 2:07:53 น.  

 

ลูกค้าขาประจำมาแล้วค่า...
แหม วันนี้สงสัยบารีสต้าสุดหล่อ
ท่าจะมือหนักไปหน่อย
กาแฟเลยหวานซ๊า....

อิอิ

 

โดย: เมย์ IP: 78.69.65.82 1 กรกฎาคม 2552 2:22:33 น.  

 

ได้ข่าวว่ากาแฟร้านนี้อร่อย คนชงก็รูปหล่อ
มาเป็นลูกค้าประจำด้วยนะ

 

โดย: pantee IP: 124.120.232.8 1 กรกฎาคม 2552 11:19:20 น.  

 

อิอิ


ทักทายจ้า

 

โดย: pimmy IP: 125.27.237.205 1 กรกฎาคม 2552 19:00:27 น.  

 

รีบมาลงอีกเร็วๆ นะคะ จะรอ

 

โดย: ฟ้าเคียงเดือน IP: 58.9.99.117 2 กรกฎาคม 2552 10:32:24 น.  

 

อ่านแล้วเขิน ^////////^
รอดวงใจในสายฝนด้วยนะคะ

อยากให้อัพบ่อยๆกว่านี้อีกค่ะ
รักคนแต่งที่ซู๊ดดดดดดดดด

 

โดย: ... IP: 58.8.181.53 3 กรกฎาคม 2552 0:06:16 น.  

 

พิมพ์ผิด ดวงไฟในสายฝน

ปล.ขอสมัครเป็นสมาชิกชมรมคนไม่มีแฟนด้วยนะค้า
ลอยกระทงทีไรเปลี่ยวทุกที

 

โดย: ... IP: 58.8.181.53 3 กรกฎาคม 2552 0:08:59 น.  

 

ขอให้มีความสุขกับวันหยุดยาวนี้นะคะ

 

โดย: หมู IP: 203.144.151.13 3 กรกฎาคม 2552 16:22:06 น.  

 

กรี้ด ไม่น่าง้อยัยอั้มเลยอ่ะ ยัยอ้อยังว่าง
ที่สำคัญ ไม่มีเพื่อนลอยกระทงเลยซักปี กระซิกๆ

 

โดย: ต้นอ้อสีม่วง IP: 125.26.180.240 10 กรกฎาคม 2552 17:26:19 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


พินทุอิ
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สระอะไรเอ่ย...ยิ้มได้? ก็ สระ "อิ" ไงจ๊ะ นี่แหละค่ะที่มาของชื่อ "พินทุอิ" สระที่มีหน้าตาเหมือนรอยยิ้ม (จริงๆนะ)
มาร่วมแบ่งปันรอยยิ้มและความสุขกันนะคะ

หมายเหตุ
งานเขียนทุกชิ้นในบล็อกนี้เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียนตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตามโดยไม่ได้รับอนุญาต หากต้องการนำงานเขียนชิ้นใดไปเผยแพร่ กรุณาติดต่อขออนุญาตจากผู้เขียนโดยตรง
Friends' blogs
[Add พินทุอิ's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.