"ลาวใต้" ไม่เพียงแต่จะอุดมไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ อันได้แก่ น้ำตกสวยงามที่มีให้เลือกเที่ยวกันตั้งแต่น้ำตกเล็กๆ ไปจนถึงน้ำตกสุดยิ่งใหญ่อย่างคอนพะเพ็ง ตามที่ผมได้พาไปเที่ยวกันแล้วในบล็อกที่ผ่านมา แต่ที่ลาวใต้ยังมีแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจให้ได้เที่ยวชมและหวนรำลึกถึงอดีตกาลของเมืองลาวใต้อีกด้วย ซึ่งแหล่งโบราณคดีที่ดูจะโดดเด่นที่สุดและไม่ควรพลาดเป็นอันขาดหากมาเที่ยวลาวใต้ก็คือ "ปราสาทหินวัดพู" ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น "มรดกโลก" ทางวัฒนธรรมแห่งที่สองของลาวต่อจากเมืองหลวงพระบางนั่นเอง ..... วันนี้เป็น วันสุดท้าย ที่เราจะอยู่เที่ยวในลาวใต้กันแล้ว โปรแกรมวันนี้ก่อนกลับเมืองไทยเราจะแวะไปเที่ยวชม "ปราสาทหินวัดพู" กันครับ เรานัดรถมารับตอนแปดโมงเช้าเหมือนเดิม วันนี้เราแวะทานอาหารเช้ากันที่ร้านเฝอชื่อดังในเมืองปากเซ ชื่อ "ร้านเฝอลานคำ" อยู่ใต้โรงแรมลานคำ ฝั่งตรงข้ามถนนเยื้องกับโรงแรมแสงอรุณ ร้านนี้ขายแต่เฝอเนื้อเท่านั้นไม่มีเฝอหมู และยังมีอาหารเช้าอื่นๆ เช่นกาแฟ หรือข้าวจี่อีกด้วย เช้าๆ แบบนี้มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยจีนฝรั่ง จับจองที่นั่งทานอาหารกันแน่นเต็มร้าน เฝอร้านนี้รสชาติอร่อยสมกับที่ได้ยินมา เนื้อเปื่อยมีมันแทรกนุ่มกำลังดี แต่ราคาก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ชามใหญ่ 17,000 กีบ (68 บาท) ชามเล็ก 15,000 กีบ (60 บาท) ถ้าไม่หิวจัดเกินไปแนะนำชามเล็กก็พอ เพราะชามเล็กของที่นี่ก็ใหญ่มากพอๆ กับก๋วยเตี๋ยวชามพิเศษของบ้านเราแล้วล่ะครับ .....แวะทานเฝอรสชาติดีที่ "ร้านเฝอลานคำ" กันก่อนร้านเฝอลานคำอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมแสงอรุณแห่งนี้"เฝอเนื้อขาลาย" หรือ "เฝอเนื้อเปื่อย"ชามใหญ่สะใจมาก ออกจากตัวเมืองปากเซ เราต้องเดินทางต่อไปยังเมืองจำปาสัก ออกจากเมืองไปตามถนนหมายเลข 13 ไปทางทิศใต้ ถึงหลักกิโลเมตรที่ 30 เลี้ยวขวาประมาณ 3 กิโลเมตรเข้าไปบริเวณริมแม่น้ำโขงที่บ้านม่วง เพื่อข้ามฟากไปยังฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำโขงซึ่งเป็นเขตเมืองจำปาสักนั่นเอง เราสามารถนำรถข้ามฟากไปได้โดยใช้แพขนานยนต์ ..... ลักษณะจะเป็นเรือเหล็กสามลำต่อกัน แล้วมีกระดานไม้เนื้อแข็งพาดอยู่ด้านบนของเรือ ทำเป็นพื้นสำหรับรองรับรถที่จะข้ามฝั่ง ลำหนึ่งก็รับรถได้ประมาณ 9 คันเป็นอย่างต่ำ แพจะออกเมื่อรถเต็มลำแล้ว โชคดีวันที่เราไปนั้นมีรถรอข้ามฟากตลอดเวลา ไปถึงรอคิวขึ้นแพซักพักก็ได้ไปแล้ว ที่จุดนี้จะมีร้านขายของพื้นเมืองวางขายอยู่เต็มไปหมด ระหว่างรถจอดรอข้ามฟากหากเบื่อๆ สามารถไปเดินเลือกซื้อของแก้เบื่อกันได้ เราใช้เวลาประมาณ 20 นาที ก็ข้ามมาถึงเขต "เมืองจำปาสัก" ซึ่งอยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำโขงแล้วครับ .....รถจอดรอคิวขึ้นแพขนานยนต์ข้ามแม่น้ำโขงตำรวจลาวหนึ่งนาย คอยดูแลความเรียบร้อยที่ท่าแพข้ามฟากพ่อค้าตัวน้อย หาบข้าวเกรียบว่าวมาเร่ขายแม่ค้าขายข้าวปุ้น ติดตามขึ้นมาขายบนแพด้วยใกล้ถึงอีกฝั่งแล้วครับ ใช้เวลาข้ามโขงประมาณ 20 นาที หลังจากขึ้นฝั่งที่ "เมืองจำปาสัก" รถเราวิ่งผ่านตัวเมืองเก่าซึ่งยังมีตึกโบราณเก่าแก่เหลือให้เห็นอยู่ทั่วไป บางแห่งก็ถูกดัดแปลงเป็นเรือนพัก หลังที่สำคัญและน่าสนใจก็เห็นจะเป็นวังเก่าของเจ้าบุญอุ้ม เจ้าผู้ครองนครองค์สุดท้ายก่อนที่จะเกิดการปลดปล่อยหรือเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศเป็นระบอบสังคมนิยมในปี พ.ศ. 2518 รถวิ่งต่อไปตามถนนลาดยางขรุขระประมาณ 10 กิโลเมตร ก็มาถึงเขตมรดกโลก "ปราสาทหินวัดพู" กันแล้วครับ ..... ที่นี่เราต้องเสียค่าเข้าชมในราคาสูงกว่าที่เที่ยวที่ผ่านๆ มา คือคนละ 30,000 กีบ (120 บาท) อาจเพราะว่าที่นี่เป็นมรดกโลกค่าตั๋วเลยแพงกว่าที่อื่น ก่อนไปชมองค์ปราสาท เราแวะเข้าชม "พิพิธภัณฑ์วัดพู" กันก่อน ภายในจัดเก็บโบราณวัตถุที่น่าสนใจมากมายเช่น ศิวลึงค์ฐานโยนีขนาดเล็กที่ส่วนหัวเป็นแก้ว และวัตถุโบราณที่ค้นพบในบริเวณวัดพู บริเวณจัดแสดงใช้ภาษาลาวและภาษาอังกฤษคู่กันเลือกอ่านได้ตามอัธยาศัย แต่น่าเสียดายที่ภายในพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปจึงไม่มีรูปมาฝากกันครับ ก่อนไปชมปราสาทก็แวะเข้าห้องน้ำกันเสียให้เรียบร้อยที่นี่เลยนะครับ เพราะตัวปราสาทอยู่อีกไกล เสียค่าห้องน้ำคนละ 5 บาท ที่ลาวนี่แทบจะไม่เจอห้องน้ำฟรีเลยครับ เรียกว่าเก็บค่าเข้าห้องน้ำทุกที่แม้แต่ในพิพิธภัณฑ์ .....ด้านหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์วัดพู เสียดายภายในห้ามถ่ายรูป "ปราสาทหินวัดพู" เป็นสถาปัตยกรรมโบราณอันยิ่งใหญ่สมัยขอมโบราณอายุก่อนนครวัด เป็นศิลปะแบบบาปวน ตั้งอยู่ห่างจากตัวเมืองจำปาสักมาทางทิศใต้ประมาณ 10 กิโลเมตร ปราสาทวัดพู หรือ วัดพู นครจำำปาสักได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี พ.ศ. 2544 ในอดีตที่ตั้งของวัดพู เคยเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และแหล่งอารยธรรมโบราณถึง 3 สมัยด้วยกัน คือ อาณาจักรเจนละ, อาณาจักรขอมสมัยก่อนเมืองพระนคร ที่เลือกบริเวณนี้เป็นที่สร้างปราสาทหินในราวศตวรรษที่ 9 และสุดท้ายอาณาจักรล้านช้างได้เปลี่ยนเทวาลัยในศาสนาฮินดูให้เป็นวัดในพุทธศาสนา .....ปราสาทหินวัดพู มรดกโลกแห่งที่สองของลาว ออกจากพิพิธภัณฑ์ รถมาจอดส่งเราที่ลานจอดรถข้าง "บาราย" หรืออ่างเก็บน้ำใหญ่ ซึ่งในอดีตตามความเชื่อของศาสนาฮินดู หมายถึง มหาสมุทรที่ล้อมรอบโลก ปัจจุบันเป็นสถานที่พักเก็บน้ำเพื่อการชลประทาน ขอบสระก่อด้วยศิลาทราย กว้าง 200 เมตร ยาว 600 เมตร วางตัวในแนวยาว ตามทิศตะวันออก-ตะวันตก คะเนดูด้วยสายตาก็เห็นว่ากว้างใหญ่มากจริงๆ เลยล่ะครับ ....."บาราย" หรืออ่างเก็บน้ำโบราณขนาดใหญ่ มีมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรขอมจากตรงนี้จะห้ามรถเข้า ต้องอาศัยสองเท้าของตัวเองแล้วล่ะครับ สิ่งที่โดดเด่นสะดุดตาแก่ผู้พบเห็นทันทีที่มาถึงเขตปราสาทวัดพู ก็คือภูเขาด้านหลังปราสาทที่ตั้งเด่นตระหง่านมองเห็นแต่ไกล รูปร่างคล้ายนมของผู้หญิงและคนเกล้ามวยผม ซึ่งเป็นที่มาของชื่อภูผาแห่งนี้ว่าเขานมสาว แต่ชาวบ้านนิยมเรียก "ภูเกล้า" มากกว่า แต่ในสมัยขอมโบราณจะเรียกว่า "ลึงคบรรพต" .....จากจุดนี้มองเห็น "ภูเกล้า"หรือ "ลึงคบรรพต" อยู่ตรงหน้า อาณาเขตของปราสาทวัดภู เริ่มต้นจากริมฝั่งสระน้ำ โดยมีบันไดทางขึ้นลดหลั่นกันขึ้นมา 3 ชั้น จนถึงองค์ประธานของปราสาทซึ่งอยู่ชั้นบนสุด จากลานจอดรถเราต้องเดินต่อไปไปตามชาลา(ทางเดินเท้า) ระยะทาง 280 เมตร ปูพื้นด้วยศิลาทราย ขอบทางเดินตั้งเสานางเรียง 2 ฟาก เป็นเสาหิน มีสระน้ำขนาดเล็กแทบไม่มีน้ำขังขนาบข้าง ทางเดินโบราณนี้ เชื่อกันว่าสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 2 นับว่าเก่าแก่มากๆ เลยล่ะครับ .....ทางเดินไปปราสาท มีเสานางเรียงขนาบอยู่สองข้าง แวะพักระหว่างทาง ระหว่างทางขึ้นมีชั้นพักซึ่งมีบรรณาลัยสองแห่งตั้งอยู่คู่กันทางทิศเหนือและใต้ มีผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ก่อด้วยหินทราย มีการแกะสลักที่หน้าบัน และลวดลายตามเปลือกผิวหิน มีบริเวณว่างใช้สอยด้านใน ยังไม่ประจักษ์ว่า อาคารทั้งสองหลัง ใช้สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา หรือเป็นที่พักของกษัตริย์หรือประชาชน แต่ชาวบ้านพากัน เรียกว่า "โรงท้าวกับโรงนาง" อันหมายความถึง ที่ประทับของพระอิศวรสำหรับโรงท้าว กับที่ประทับของมเหสีพระอิศวรสำหรับโรงนาง ปัจจุบันบรรณาลัยทั้งสองนี้มีสภาพทรุดโทรมอย่างมาก ทางราชการลาวและองค์การยูเนสโกกำลังบูรณะอยู่ทำให้ไม่สามารถเข้าชมภายในได้ ที่จุดนี้จะมีร่มเงาจากต้นตาลคู่ให้นั่งพักหลบร้อนกันก่อนจะต้องเดินต่อไปอีกไกล .....ปราสาทที่พบแรกสุดบริเวณที่พักชั้นหนึ่ง ชาวลาวเรียกว่า "โรงท้าวโรงนาง"หน้าบันด้านข้างองค์ปราสาทขอเก็บภาพเป็นหลักฐานซะหน่อย เดี๋ยวเขาว่ามาไม่ถึงถึงวัดพูดื้อเล็กรูปนี้ ถ่ายบริเวณด้านหลังปราสาทโรงท้าวโรงนางแวะพักหายเหนื่อยแล้วก็ไปต่อกันเลยครับต้นจำปาลาว(ลีลาวดี) ดอกไม้ประจำชาติลาว มีปลูกเรียงรายอยู่ตลอดสองข้างทางเดินขึ้นปราสาททางเดินขึ้นปราสาท เป็นบันไดสูงชันอยู่เป็นช่วงๆ ทางเดินก่อนขึ้นไปถึง "ปราสาทองค์ประธาน" บางช่วงจะเป็นบันไดหินที่สูงชันและแคบมากครับ เรียกว่าต้องใช้ความระมัดระวังเป็นอย่างมากเพราะถ้าพลัดตกลงมาก็อาจได้รับบาดเจ็บรุนแรงได้ เราต้องเดินขึ้นกันจนเหนื่อยเลยครับกว่าจะถึงด้านบนปราสาทองค์ประธาน แต่อย่าเผลอบ่นออกมาว่าเหนื่อยนะครับ เพราะชาวลาวเขามีความเชื่อกันว่า ถ้าบ่นแล้วจะไม่ได้บุญ .....ทางเดินขึ้นบางช่วงเป็นแผ่นหินวางเรียงกันคล้ายเกล็ดพญานาค "ปราสาทองค์ประธาน" จะหันหน้าไปทางทิศตะวันออกสู่แม่น้ำโขง สร้างด้วยหินทรายมีขนาดไม่ใหญ่นัก มีทางเข้าสามประตูด้านหน้า และอีกสองประตูด้านข้างซ้ายและขวา ตัวปราสาทสร้างขึ้นริมหน้าผาสูงชันของเขาเก่าใกล้กับแหล่งน้ำซับซึ่งมีน้ำไหลอยู่ตลอดปี เชื่อกันว่าน้ำซับนี้ไหลมาจากยอดซึ่งเป็นเสมือนศิวลึงค์อันศักดิ์สิทธิ์ พบร่องรอยของท่อโสมสูตรเพื่อชะลอน้ำศักดิ์สิทธิ์จากแหล่งน้ำซับนี้ไหลผ่านศิวลึงค์ซึ่งประดิษฐาน ณ ตัวปราสาทและปล่อยให้ไหลสู่บารายเบื้องล่างต่อไป .....ถึงปราสาทองค์ประธานแล้วทับหลังรูปพระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ อยู่ที่หน้าบันตรงกลางปราสาททับหลังรูปพระวิษณุทรงครุฑอยู่ที่หน้าบันด้านขวามือ รูปสลักนางอัปสร อยู่ข้างประตูด้านซ้ายมือรูปสลักทวารบารคอยอารักขาองค์ปราสาทสองเด็กดื้อมาถึงปราสาทวัดพูกันแล้วครับรูปสลักนางอัปสรอีกด้านหนึ่งของประตูกลาง ปราสาทหินวัดพูนี้ ต่อมาภายหลังที่อิทธิพลของขอมสิ้นสุดลงและพุทธศาสนาเข้ามามีอิทธิพล บริเวณนี้จึงกลายเป็นวัดทางพุทธศาสนา มีการชะลอพระพุทธรูปมาประดิษฐานแทนศิวลึงค์ในปราสาทประธาน ชาวบ้านนิยมนำดอกไม้ธูปเทียนมาบูชา และเรียกปราสาทองค์ประธานแห่งนี้ว่า "หอไหว้" และทุกปีในเดือนกุมภาพันธ์ ช่วงวันเพ็ญเดือนสามเป็นเวลารวม 3 วัน จะมีการจัดงานบุญประเพณีวัดพูอย่างยิ่งใหญ่ ชาวลาวนิยมนำดอกไม้ธูปเทียนมากราบไหว้บูชาตามจุดต่างๆ ภายในงานยังมีการออกร้านขายอาหาร การละเล่น และการแข่งขันอื่นๆ ตามความนิยมของชาวลาว จนถึงวันสุดท้ายของงานจะมีพระสงฆ์ออกมาบิณฑบาตรับข้าวปลาอาหาร และสิ่งของที่ชาวบ้านนำมาทำบุญ .....พระพุทธรูปภายในปราสาทองค์ประธานดอกไม้บายศรีที่ชาวบ้านนำมาบูชาพระองค์พระพุทธรูปอีกมุมหนึ่ง ส่วนทางด้านหลังซ้ายมือของปราสาทองค์ประธานมีแผ่นหินขนาดใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีภาพแกะสลักรูป "ตรีมูรติ" ขนาดเกือบเท่าคนจริง ซึ่งหมายถึงเทพเจ้าทั้ง 3 องค์ ผู้เป็นใหญ่ในศาสนาฮินดูได้แก่ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ..... แผ่นหิน มีภาพแกะสลักเทพเจ้าทั้ง 3 องค์ ส่วนที่ด้านข้างๆ ของปราสาทองค์ประธานก็มีพระพุทธรูปขนาดเท่าคนประดิษฐานไว้ให้สักการบูชาอีกหนึ่งจุด และสิ่งที่น่าสนใจอีกจุดหนึ่งซึ่งนักท่องเที่ยวหลายๆ คนมักจะมองข้ามไป ก็คือที่เชิงเขาด้านหลังทางฝั่งซ้ายของปราสาท จะมีซอกหินที่มีน้ำธรรมชาติหยดลงมาจากยอดภูเกล้า ชาวลาวเขาถือกันว่านี่คือน้ำศักดิ์สิทธิ์ ที่ใครได้ดื่มกินล้างหน้าล้างตา ก็จะเสริมสิริมงคลให้กับชีวิต เราเห็นมีบางคนวักน้ำมาดื่ม บ้างก็ใส่ขวดกลับบ้านด้วย ..... ส่วนฝั่งขวามือของปราสาท เดินต่อไปอีกนิดก็จะพบกับ "ภาพสลักหินรูปจระเข้" เป็นการสลักหินแบบร่องลึก ที่สามารถจับจระเข้ตัวจริง ไปอัดขังอยู่ในร่องรอยรูปนั้น และฆ่าเพื่อบวงสรวงพิธีกรรมได้ บางคนสันนิษฐานว่า ร่องลึกรูปจระเข้ยังสามารถบังคับคนเข้าไปอยู่ในร่องนั้น ก่อนจะถูกฆ่าสังเวยอะไรบางอย่าง นอกจากนั้นยังมีภาพสลักรูปหัวช้าง และรูปสลักบันไดนาคให้เดินชมกันอีกด้วย .....ภาพสลักหินรูปจระเข้ เชื่อกันว่าในอดีตเคยใช้เป็นแท่นบูชายัญภาพสลักบันไดนาค อยู่ตรงข้ามกับหินสลักรูปจระเข้ นอกจากนี้ที่บนยอดเขาปราสาทองค์ประธานก็ถือเป็นจุดชมวิวชั้นดี คือเมื่อมองย้อนทางเดินขึ้นลงไปก็จะเห็นบารายขนาดใหญ่ เห็นท้องทุ่งกว้าง เห็นคนเดินขึ้นเขา เห็นต้นจำปาที่ขึ้นเป็นซุ้มสวยงาม รวมถึงเห็นทิวทัศน์ส่วนหนึ่งของแขวงจำปาสักด้วย .....วิวมุมสูงมองจากยอดเขาองค์ปราสาทดื้อใหญ่ขอผูกข้อมือสู่ขวัญจากแม่ใหญ่ชาวลาว ดื้อเล็กไม่ยอมน้อยหน้า ขอผูกข้อมือบ้าง เราใช้เวลาเที่ยวชม "ปราสาทหินวัดพู" กันเกือบสองชั่วโมง หลังจากนั้นจึงออกเดินทางมุ่งสู่ "ด่านชายแดนช่องเม็ก" เพื่อทำเรื่องผ่านแดนกลับสู่ประเทศไทยบ้านเรา ถึงด่านประมาณบ่ายสามโมง แวะช้อปปิ้งเลือกซื้อสินค้าที่ร้านค้าปลอดภาษีฝั่งลาวอยู่พักนึง หลังจากนั้นก็ต้องไปติดต่อทำเรื่องผ่านแดนที่ด่านฝั่งลาว ขาออกต้องเสียเงินอีกคนละ 50 บาท ส่วนด่านฝั่งไทยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ..... ออกจากด่านก็เย็นมากแล้ว เราแวะพักในตัวเมืองอุบลราชธานีอีก 1 คืน และเดินทางกลับปราจีนบุรีในเช้าวันรุ่งขึ้น ขากลับรถบนท้องถนนหนาแน่นมากเพราะเป็นวันหยุดปีใหม่วันสุดท้าย ทุกคนก็เริ่มทยอยกันเดินทางกลับไปทำงานต่อ แต่ถึงกระนั้นรถก็ยังพอไหลไปได้เรื่อยๆ โชคดีที่เราออกเดินทางค่อนข้างเช้า เพราะหลังจากกลับมาถึงบ้านก็ได้ยินข่าวว่ามีอุบัติเหตุใหญ่บนเส้นทางที่เราใช้เดินทางกลับ จนทำให้การจราจรติดขัดนานกว่าสิบชั่วโมงเลยล่ะครับ .....มาเที่ยวครั้งนี้ ดื้อใหญ่ได้ของฝากจากลาวกลับไปด้วยครับดื้อเล็กอยากลองเป่าแคนดูบ้างลาก่อนประเทศลาว แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้ากลับเมืองไทยกันเสียที ไม่มีแผ่นดินไหนน่าอยู่เท่าบ้านเราเอง ทริปลาวใต้ของเราในครั้งนี้ นับเป็นการเดินทางที่น่าประทับใจอีกครั้งหนึ่ง ถือเป็นการเปิดประตูสู่โลกกว้างของเรา แม้จะเป็นแค่ประตูบานเล็กๆ แต่ก็ให้ประสบการณ์ใหม่ๆ มากมาย นับเป็นกำไรชีวิตที่ควรค่าแก่การเสาะแสวงหา และเราหวังไว้ว่าคงจะได้มีโอกาสกลับมาเยือนเมืองลาวอีกครั้ง ไม่วันใดก็วันหนึ่งข้างหน้า ลาก่อนจำปาสัก ลาก่อนประเทศลาว แล้วเราคงได้เจอกันอีก "สะบายดี" ครับ .....