ช่วงวันหยุดปีใหม่ที่ผ่านมา ผมก็มีโอกาสได้หยุดยาวกับเค้าด้วยเหมือนกัน โอกาสดีๆ อย่างนี้ก็ต้องหาเรื่องเที่ยวอีกตามเคย แต่วันหยุดยาวแบบนี้สถานที่ท่องเที่ยวดังๆ ในบ้านเราก็คงจะเต็มไปด้วยคลื่นมหาชนที่แห่กันไปเที่ยว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมไม่อยากเจอเอามากๆ เพราะเข็ดกับการต้องไปแย่งกันกินแย่งกันเที่ยวเหมือนที่เคยเจอในปีก่อนๆ ด้วยเหตุนี้ ผมก็เลยหาทางเลี่ยงด้วยการไปเที่ยวที่ต่างแดนซะเลย ปีนี้ผมตัดสินใจไปเที่ยวที่ "ลาวใต้" โดยเน้นที่ "แขวงจำปาสัก" ซึ่งเดี๋ยวนี้สามารถเดินทางไปจากเมืองไทยทางรถยนต์ได้ไม่ยาก และทราบมาว่าประเทศลาวยังไม่มีวันหยุดฉลองปีใหม่แบบสากล ดังนั้นคนคงจะน้อยกว่าที่เที่ยวดังๆ ในบ้านเราแน่ๆ .....ปีนี้เราไปตะลุยลาวใต้รับปีใหม่ 2010 กันครับ ทริปนี้ผมไปแบบครอบครัวใหญ่ และไม่ลืมที่จะกระเตงสองเด็กดื้อของผมไปเที่ยวเปิดหูเปิดตาเป็นประสบการณ์ชีวิตด้วย เราออกเดินทางตั้งแต่บ่ายวันที่ 30 ธันวาคม 2552 เพื่อหลีกเลี่ยงรถติดในช่วงปีใหม่ จากปราจีนบุรีบ้านผม ขับรถยาวมุ่งหน้าไปจังหวัดอุบลราชธานี เพราะเราวางแผนไว้ว่าจะข้ามไปลาวใต้ผ่านทาง "ด่านชายแดนช่องเม็ก" ..... โชคดีที่ยวดยานบนถนนในบ่ายวันนั้นยังไม่มากนัก การจราจรยังคล่องตัวดี เราใช้เวลาเดินทางราว 7 ชั่วโมงเศษๆ ก็มาถึงตัวเมืองอุบลตอนพลบค่ำพอดี วันนี้เราจะพักที่ตัวเมืองอุบลหนึ่งคืน แล้ววันรุ่งขึ้นจึงจะเดินทางต่อไปที่ด่านชายแดนช่องเม็กแต่เช้าเพื่อทำเรื่องผ่านแดนไปประเทศลาว .....ที่เที่ยวเป้าหมายของเราในครั้งนี้ อยู่ที่แขวงจำปาสักของลาวใต้ เช้าวันรุ่งขึ้น หลังทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกเดินทางไป "ด่านชายแดนช่องเม็ก" ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอสิรินธร ห่างจากตัวเมืองอุบลประมาณ 90 กิโลเมตร ในวันนี้มีนักท่องเที่ยวจากเมืองไทยข้ามไปเที่ยวลาวกันเยอะทีเดียว ทั้งรถทัวร์ท่องเที่ยวและรถตู้อีกหลายคันรถ สมกับเป็นช่วงหยุดยาวจริงๆ การทำเรื่องผ่านแดนสามารถใช้ได้ทั้ง Bording Pass หรือใช้ Passport ก็ได้ ..... แต่เราเลือกใช้ Passport เพราะอยู่ในลาวได้นานกว่าและสะดวกถ้าต้องเดินทางไปแขวงอื่นๆ ในลาว เราต้องเสียค่าเหยียบแผ่นดินลาวอีกคนละ 50 บาท ครั้งนี้เราไม่ได้แลกเงินกีบไป เพราะในลาวสามารถใช้เงินบาทไทยได้ แต่อาจจะขาดทุนกว่าใช้เงินกีบอยู่เล็กน้อย อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ประมาณ 250 กีบต่อ 1 บาท .....แวะทานไข่กระทะ อาหารเช้าขึ้นชื่อของแดนอีสานใต้กันก่อนออกเดินทางถึงด่านชายแดนช่องเม็กแล้ว ไปทำเรื่องผ่านเข้าลาวกันที่นี่ หลังทำเรื่องผ่านแดนเสร็จ เราก็ไปที่ "ตลาดวังเต่า" ชายแดนลาว ติดต่อเหมารถเพื่อพาเที่ยวลาวใต้ในช่วงวันหยุดสามวันนี้ จริงๆ มีรถโดยสารไปปากเซอยู่เหมือนกันซึ่งค่าใช้จ่ายจะถูกกว่าเหมารถแน่ๆ แต่คงไม่สะดวกสำหรับครอบครัวที่มีเด็กเล็กๆ มาด้วยอย่างผม รถเช่าที่นี่นิยมใช้เป็นรถคล้ายรถมินิแวนกึ่งๆ รถตู้ยี่ห้อฮุนได นั่งได้เต็มที่ 12 คนรวมคนขับ รถคันที่เราไปติดต่อคิดค่าเหมารถรวมค่าน้ำมันวันละ 3000 บาท แต่เราต่อรองจนเหลือ 8000 บาทต่อสามวัน ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแพงไปหรือเปล่า แต่คนขับบอกว่าช่วงวันหยุดยาวแบบนี้รถเช่าค่อนข้างจะหายาก เราไม่อยากเสี่ยงไปหารถเช่าเอาดาบหน้าก็เลยตกลงไปในราคานี้ .....พาหนะที่พาเราเที่ยวลาวตลอดสามวันข้างหน้าก็คือเจ้ารถจากแดนกิมจิคันนี้ตกลงราคาเหมารถกันได้แล้ว ก็ออกเดินทางมุ่งไปเมืองปากเซทันที ออกจากชายแดนวังเต่าเราบอกคนขับให้เดินทางเข้า "เมืองปากเซ" กันก่อน เพื่อหาที่พักสำหรับสองคืนที่เราจะพักอยู่ในลาว เมืองปากเซเป็นเมืองหลักของแขวงจำปาสัก ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเซโดนบรรจบกับแม่น้ำโขงพอดี อยู่ห่างจากชายแดนไปประมาณ 42 กิโลเมตร ถนนหนทางเป็นทางลาดยางตลอดสาย เดินทางสะดวก ใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมง นั่งรถผ่าน "สะพานมิตรภาพลาว-ญี่ปุ่น" ความยาว 1380 เมตร ข้ามแม่น้ำโขงมา ก็จะถึงตัวเมืองปากเซแล้ว ..... ข้ามสะพานมาปุ๊บก็จะเห็นโรงแรมจำปาสักแกรนด์โฮเต็ลอยู่เชิงสะพาน เราแวะลงไปติดต่อสอบถามเรื่องที่พักปรากฎว่าทัวร์ลงเต็มไม่มีห้องว่างเลย คนขับรถของเราบอกว่าโรงแรมอื่นๆ ในเมืองก็เต็มหมดแล้ว และแนะนำให้เราไปพักที่เรือนพักของญาติๆ เขา เราลองให้คนขับพาเราไปดูที่พักชื่อ "เรือนพักแก้วสะหวัน" สภาพก็พอรับได้ ไม่สบายแบบโรงแรมแต่ก็พออยู่ได้ถ้าไม่ติดหรู ราคาคืนละ 400 บาท ไม่มีอาหารเช้า ข้อเสียคือที่พักจะอยู่นอกเมืองออกมาค่อนข้างมาก จะลำบากเวลาหารถเข้าตัวเมือง .....ข้ามสะพานลาว-ญี่ปุ่นนี้ไป ก็จะเข้าสู่ตัวเมืองปากเซกันแล้วโรงแรมจำปาสักแกรนด์ ในวันสิ้นปีแบบนี้ กรุ๊ปทัวร์จองกันเต็มหมดแล้วโรงแรมปากเซ ที่อยู่ใจกลางเมืองก็เต็มเช่นกันสุดท้าย เราก็ได้มาเข้าพักที่ "เรือนพักแก้วสะหวัน"อีกมุมของเรือนพักแก้วสะหวัน ที่พักของเราตลอดเวลาที่อยูในปากเซ หลังได้ที่พักแล้ว เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา เราก็ออกเดินทางต่อไปยังแหล่งท่องเที่ยวของแขวงจำปาสักกันเลย ช่วงบ่ายวันนี้เรามีโปรแกรมไปเที่ยว สามน้ำตกดังของลาวใต้ แห่งแรกที่เราแวะไปก็คือ "น้ำตกตาดผาส้วม" อยู่ห่างจากเมืองปากเซ 38 กิโลเมตร ซึ่งเราจะแวะไปทานอาหารกลางวันกันที่นั่นด้วย .....ป้ายโฆษณาระบบโทรศัพท์มือถือ พบเห็นได้ระหว่างเดินทางน้ำตกตาดผาส้วม อุทยานบาเจียง "น้ำตกตาดผาส้วม" เป็นน้ำตกที่มีน้ำไหลตลอดปี ฟังชื่อแล้วอาจทำให้คิดไปถึงห้องส้วมสำหรับขับถ่าย แต่จริงๆ แล้วในภาษาลาว คำว่า "ตาด" แปลว่า น้ำตก "ส้วม" แปลว่า ห้องหอ ของเจ้าบ่าว เจ้าสาว น้ำตกแห่งนี้อยู่ในอุทยานบาเจียง เสียค่าเข้าชมคนละ 5000 กีบ ที่นี่มีรีสอร์ทและร้านอาหารซึ่งมีผู้ได้รับสัมปทานเป็นคนไทยชื่อ "คุณวิมล กิจบำรุง" โดยมีรัฐบาลร่วมหุ้นอยู่จำนวน 20 % ซึ่งคุณวิมลต้องใช้เวลากว่า 7 ปี ในการพลิกฟื้นธรรมชาติ และใส่จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ลงไป ..... บริเวณน้ำตกทั้งสองแห่งที่มีอยู่เดิมถูกแต่งเติมจากเดิมที่เป็นร่องน้ำเล็กๆ กลางแผ่นหิน ทางน้ำถูกบังคับขยายให้มาตกทั่วๆ ไปตามหน้าผา มีการแต่งเติมก้อนหิน เพื่อให้น้ำตกกระทบให้งดงาม ต้นไม้กว่า 5,000 ต้น ทั้งใหญ่ เล็ก ถูกขุดล้อมเข้ามาปลูกในโครงการ ซึ่งการมาบุกเบิกสร้างสรรค์น้ำตกแห่งนี้ เขาต้องแลกกับการสูญเสียการมองเห็น ภายหลังจากการเปิดอุทยานบาเจียงอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2546 เพียงแค่ 10 วันเท่านั้น ซึ่งนับได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ ด้วยเหตุเพราะมีเชื้อมาลาเรียในกระแสเลือด หมดสติไป 8 วัน อันเนื่องมาจากการทำงานอยู่ในป่าเป็นเวลานาน จนกระทั่งบัดนี้ดวงตาของเขาก็ยังคงมองไม่เห็น กว่าจะมาเป็นรีสอร์ทแบบทุกวันนี้ได้ก็เรียกว่าต้องผ่านความยากลำบากมามาก .....วันนี้เราพาสองเด็กดื้อมาเยือนน้ำตกผาส้วมกันครับสะพานข้ามลำธารที่ทำด้วยไม้ไผ่ขัดกัน สวยแต่ดูไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่น้ำตกผาส้วม ในช่วงวันสิ้นปีแบบนี้ก็ยังมีน้ำเยอะอยู่น้ำตกนี้ห้ามลงเล่นน้ำนะครับ มีป้ายห้ามถึงสี่ภาษาเลยล่ะครับ เราทานอาหารกลางวันกันที่ร้านอาหารของคุณวิมลเพราะที่นี่มีร้านอาหารอยู่เพียงร้านเดียว ขอแนะนำให้สั่งเป็นอาหารชุดเพราะราคาจะไม่สูงมากนักและได้เร็ว มีหลายชุดหลายราคาให้เลือก เช่น ชุดอาหารสำหรับ 5 คน ราคา 900 บาท ถ้าสั่งแยกเป็นอย่างๆ ราคาจะแพงมาก สำหรับรสชาดอาหารสำหรับผมถือว่ากลางๆ ไม่ถึงกับอร่อยติดใจแต่ก็ไม่ถึงกับแย่ ยกเว้นแต่ส้มตำซึ่งรสชาดไม่ค่อยถูกลิ้นคนไทยอย่างผมเท่าไหร่ ร้านอาหารที่นี่จะทำเป็นพื้นลึกลงไปให้นั่งห้อยเท้าได้ คล้ายๆ ร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาของบ้านเรา ภายในร้านประดับตกแต่งด้วยหัตถกรรมพื้นบ้านของลาว ที่มุมหนึ่งของร้านมีเก้าอี้ที่ประทับของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เมื่อครั้งที่พระองค์เสด็จฯ มาที่น้ำตกผาส้วมแห่งนี้เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2548 ตั้งบูชาอยู่ด้วย .....ภาพถ่ายเมื่อครั้ง สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ เสด็จฯ มาที่น้ำตกนี้เก้าอี้ที่ประทับของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯบรรยากาศภายในร้านอาหารที่น้ำตกผาส้วมมีร้านขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยวได้เลือกซื้อกันด้วย จากบริเวณลานจอดรถหน้าน้ำตกตาดผาส้วม เดินไปอีก 100 เมตร จะเป็น "ศูนย์วัฒนธรรมหมู่บ้านชนเผ่า" ในอุทยานแห่งชาติบาเจียงแห่งนี้ได้จำลองบ้านชนเผ่าต่างๆ ที่ดำรงชีวิตอยู่ในลาวใต้ เช่น เผ่าละเวน เผ่าอาลัก เผ่ากระตู้ และเผ่าตะโอ้ย โดยการนำครอบครัวชนเผ่าต่างๆอย่างละ 1-2 ครอบครัวมาดำรงชีวิตอย่างธรรมชาติ โดยการทอผ้า ปลูกพืชผัก ตำข้าว ตลอดจนเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ นักท่องเที่ยวจะได้ศึกษาและสัมผัสวิถีชีวิตตลอดความเป็นอยู่จริงๆ ตามธรรมชาติของชนเผ่าต่างๆ ได้ภายในศูนย์วัฒนธรรมแห่งนี้ .....บ้านชนเผ่า ภายในอุทยานบาเจียงศาลาบริเวณกลางหมู่บ้าน ที่นี่จะมีการแสดงของเด็กๆ ชาวเผ่าด้วยดื้อเล็กกำลังเพลินกับการเดินเล่นในหมู่บ้านชนเผ่าหนูน้อยชาวเผ่าคนนี้ ผมเห็นแอบดูดื้อเล็กอยู่ไกลๆ เลยแอบเก็บภาพมาเด็กน้อยชาวเผ่าอีกคนหนึ่ง มอมแมมตามประสาเด็กแต่ก็น่ารักดีคุณตาเผ่ากระตู้ กำลังโชว์การเล่นกะจับปี่อย่างสบายอารมณ์ผู้เฒ่าชาวเผ่าท่านนี้ ก็มีเครื่องดนตรีแบบดีด มาแสดงให้ชมเช่นกันขออนุญาตเก็บภาพเป็นที่ระลึกกับผู้เฒ่าผู้แก่หน่อยครับผ้าทอมือสวยๆ ของเผ่าละเวน มีให้ชมกันที่หมู่บ้านชนเผ่าน้ำตกตาดเยือง หลังออกจากอุทยานบาเจียง เราก็เดินทางต่อไปชมน้ำตกถัดไป คือ "น้ำตกตาดเยือง" ซึ่งในภาษาลาว คำว่า "เยือง" หมายถึง "เลียงผา" ที่นี่ต้องเสียค่าเข้าชมคนละ 5000 กีบเช่นเคย บริเวณลานจอดรถจะมีร้านอาหาร ร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึกอยู่เรียงรายตลอดแนว จากลานจอดรถต้องเดินต่อไปอีกประมาณ 100 เมตร จะมีทางเดินลงไปชมน้ำตกตาดเยืองแบบใกล้ชิด ทางลงนี้ค่อนข้างชัน บางช่วงเกือบเป็นแนวตั้งฉาก เวลาเดินลงต้องระวังให้ดีไม่อย่างนั้นอาจกลิ้งตกเขาได้ แต่ลงไปแล้วก็นับว่าคุ้มมาก เพราะน้ำตกนี้สวยงามมากจริงๆ ดูๆ ไปก็คล้ายๆ กับน้ำตกเหวนรกบ้านเราอยู่เหมือนกัน ช่วงน้ำแรงๆ จะมีละอองน้ำกระจายไปทั่วบริเวณเลยล่ะครับ .....ร้านค้าบริเวณลานจอดรถน้ำตกตาดเยืองเนื้อเก้งแดดเดียว แขวนขายอยู่แทบทุกร้านป้ายแผนผังของน้ำตกบริเวณลำธารเหนือน้ำตก จัดไว้สวยงามทีเดียวดิ้อใหญ่ขอนั่งแช่น้ำเล่นที่ลำธารเหนือน้ำตกความงามของน้ำตกตาดเยือง สวยจริงๆ ครับต้องขอเก็บภาพกับน้ำตกกันหน่อยทางเดินชมน้ำตก ค่อนข้างแคบและชันดอกไม้บนเนินด้านหลังกำลังบานแซมในดงหญ้า สวยทีเดียวเชียวครับน้ำตกตาดฟาน น้ำตกสุดท้ายที่เราแวะไปชมกันวันนี้ก็คือ "น้ำตกตาดฟาน" เสียค่าเข้าชมอีกคนละ 5000 กีบเหมือนเดิม คำว่า "ฟาน" ในภาษาลาว แปลว่า "เก้ง" น้ำตกตาดฟานแห่งนี้ เป็นน้ำตกที่สูงที่สุดในแขวงจำปาสัก เรียกอีกชื่อว่า น้ำตกดงหัวสาว จุดเด่นอยู่ตรงสายน้ำ 2 สายที่ไหลลงจากหน้าผาสูงราว 200 เมตร โดยสายน้ำทางซ้ายมือไหลมาจากห้วยผักกูด และทางขวามือเป็นสายน้ำที่ไหลมาจากอุทยานแห่งชาติดงหัวสาว มีจุดชมวิวที่ตั้งอยู่คนละฟากเขากับตัวน้ำตก ในระดับความสูงเท่าๆกัน ..... จากตรงนี้สามารถชมวิวตัวน้ำตกในมุมสูงได้อย่างชัดเจน และในยามเช้ายังเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามอีกด้วย แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของน้ำตกแห่งนี้สามารถเดินลงไปชมตัวน้ำตกบริเวณด้านล่างได้ ระยะทางประมาณ 5 กิโลเมตรจากจุดชมวิวด้านบน ใช้เวลาเดินเท้าค่อนข้างนาน ต้องเตรียมอาหารและอุปกรณ์กางเต็นท์ไปเองเพื่อพักแรมบริเวณด้านล่าง 1 คืน และเดินกลับขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น เพราะความยากลำบากในการเดินทางไปสัมผัสน้ำตกแบบนี้เอง จึงมีคนแอบตั้งชื่อให้เสียใหม่ว่า "น้ำตกน้องเมีย" เพราะเป็นน้ำตกที่สวย แต่ไม่อาจแตะต้องได้ ทำได้เพียงเป็นเจ้าของทางสายตาเท่านั้น ..... บริเวณน้ำตกมีรีสอร์ทแห่งหนึ่งชื่อว่า "ดาดฟานรีสอร์ท" เจ้าของเป็นคนไทยได้รับสัมปทาน ชื่อ คุณกฤษณา หาระสา ท่านผู้อ่านที่เป็นหนอนหนังสือในอดีตเมื่อ 20 ปีที่แล้วคงคุ้นเคยกับนามปากกา กระดาษแก้วของเธอดี ตาดฟานรีสอร์ทเป็นรีสอร์ทเล็กๆ น่ารักสไตล์ใกล้เคียงธรรมชาติ จำนวนห้องพักทั้งหมด 13 ห้องราคาตั้งแต่ 800-1,300 บาท .....ชมน้ำตกกันที่ตาดฟานรีสอร์ทน้ำตกตาดฟาน มองจากจุดชมวิวที่ตาดฟานรีสอร์ทร้านอาหารที่ตาดฟานรีสอร์ทบ้านพักสวยๆ ในรีสอร์ทเที่ยวชมเมืองปากเซ ออกจากน้ำตกตาดฟานฟ้าเริ่มมืดครึ้ม ระหว่างเดินทางกลับปากเซก็มีละอองฝนโปรยปรายเบาๆ กลับมาถึงเมืองปากเซตอนเย็น ทีแรกกะว่าจะแวะไปตลาดดาวเรืองแต่ปรากฏว่าตลาดวายไปซะแล้ว เราจึงไปแวะไปเที่ยวชม "ตลาดตั้งแฟร์ลาวซุปเปอร์มาร์ต" แทน ซึ่งสินค้าที่ขายที่นั่นหลายๆ อย่างก็นำเข้ามาจากเมืองไทยบ้านเรานี่เอง แถมราคายังแพงกว่าซื้อที่เมืองไทยเสียอีก เราเลยไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลย ระหว่างที่แม่บ้านผมยังเดินช้อปปิ้งอยู่ในตลาด ผมก็ถือโอกาสแว๊บออกมาเดินเที่ยวชมเมืองปากเซซะหน่อย เพราะที่นี่ยังมีตึกเก่าๆ สมัยยังเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศสให้ได้ชมกันอยู่บ้าง .....สภาพในเมืองปากเซ คล้ายๆ อำเภอเมืองในต่างจังหวัดของบ้านเราตลาดตั้งแฟร์ลาวซุปเปอร์มาร์ตตึกเก่าๆ แบบนี้มีให้ชมอยู่หลายแห่งตึกใหม่ๆ สีสันสดใสเหล่านี้กำลังผุดขึ้นมาแทนที่ตึกเก่าๆหลังนี้สีสวยดีนะครับ เป็นตึกตัวแทนจำหน่ายเบียร์ลาวตึกนี้ก็สีสวยสดสะดุดตามากๆอีกไม่กี่ปีข้างหน้าเราอาจไม่ได้เห็นภาพตึกเก่าๆ แบบนี้ในปากเซแล้วก็เป็นได้ มื้อเย็นเราฝากท้องไว้กับ "ร้านทัวร์ลาว" ร้านอาหารริมทางกลางเมืองปากเซ ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นร้านอาหารที่ปรุงรสชาติได้ถูกปากคนไทยสุดๆ การันตีได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวไทยแทบทุกกรุ๊ปทัวร์ที่มักจะมาทานอาหารที่ร้านนี้จนโต๊ะเต็มเกือบหมด ขอแนะนำให้เลือกนั่งที่ลานด้านหน้าร้าน เพราะจะได้นั่งทานอาหารไปพร้อมกับชมบรรยากาศเมืองปากเซยามค่ำคืน และยังได้ฟังดนตรีเพราะๆ แนวอคูสติก ที่มีนักร้องนักดนตรีเล่นให้ฟังกันสดๆ ที่สำคัญจะเป็นเพลงไทยเป็นส่วนใหญ่ซะด้วย ขอบอกว่าเพลงเพราะมากๆ อาหารก็รสชาติดี และราคาไม่แพงจนเกินไปด้วย .....ร้านอาหารทัวร์ลาว ร้านแนะนำในเมืองปากเซบรรยากาศที่ร้านทัวร์ลาว ยามค่ำคืน หลังทานอาหารเสร็จเราต้องเรียกรถสามล้อเครื่องกลับเรือนพัก โดนฟันค่ารถไปอีกคนละ 40 บาท คิดแล้วเสียดายจริงๆ ที่หาที่พักในตัวเมืองไม่ได้ เรียกรถกลับเรือนพักทีไร โดนฟันหัวแบะทุกที สำหรับโปรแกรมเที่ยวลาวใต้วันแรกของเราก็หมดลงเพียงเท่านี้ ไว้บล็อกหน้าจะพาไปเที่ยว "น้ำตกคอนพะเพ็ง" ซึ่งได้ชื่อว่า "ไนแองการาแห่งเอเชีย" กันนะครับ วันนี้ต้องขอตัวไปพักผ่อนก่อน สวัสดีครับ .....
ต้องขอบอกว่า ดีใจจัง ที่บ้านนี้ไปเที่ยวทริปลาวใต้ เพราะกำลังหาข้อมูลอยู่เลยค่ะ อิอิ
ยังงัยขอเกาะล้อ ไปเที่ยวต่อนะค่ะ ... เด็กดื้อน่ารักอีกแล้ว