ช่วงนี้ผมพอมีเวลาว่างในวันหยุด ก็เลยไปจัดข้าวของในห้องที่รกๆ ให้มันเข้าที่เข้าทาง จัดไปจัดมา ก็ไปเจอแผ่น CD รวมรูปภาพเก่าๆ สมัยที่ไปเที่ยว "เนปาล" เมื่อซัก 5 ปีที่แล้ว ซึ่งเป็นรูปที่ scan จากฟิล์มมาอีกทีในช่วงที่เอารูปไปล้างอัดเพราะสมัยนั้นยังใช้กล้องฟิล์มอยู่เลย ลองเอามาเปิดดูปรากฏว่าแผ่นยังไม่เสียแฮะ เพียงแต่ว่ารูปไม่ค่อยแจ่มเหมือนถ่ายด้วยกล้องดิจิตอลโดยตรงเท่านั้นเอง ดูไปดูมาก็ชักคิดถึงวันก่อนๆ ตอนที่ไปเที่ยวเนปาลขึ้นมา ก็เลยเอามาเขียน blog แก้คิดถึงซะหน่อย ใครที่เพิ่งไปเนปาลกลับมา ก็ลองช่วยดูหน่อยแล้วกันนะครับว่าเนปาลเมื่อสมัย 5 ปีก่อน กับสมัยนี้มันเปลี่ยนไปบ้างไหม blog นี้รูปอาจจะติดคนมาด้วยเยอะหน่อย เพราะสมัยนั้นถ่ายด้วยฟิล์ม จะถ่ายอะไรต้องคิดดีๆ ไม่งั้นค่าฟิล์มค่าล้างอัดรูปจะบานปลาย ไม่ได้กดๆๆกันอย่างสะดวกสบายเหมือนกล้องดิจิตอลสมัยนี้หรอกครับมารำลึกถึงเนปาลไปด้วยกันนะครับ ทริปนี้เป็นการเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศเป็นครั้งแรกของผม เป็นการไปเที่ยวฉลองแต่งงาน การเลือกไปเนปาลอาจดูไม่ค่อยโรแมนติกเท่าไหร่สำหรับการไปฮันนีมูน แต่ตอนนั้นเราอยากไปประเทศที่มีผู้คนและวัฒนธรรมแตกต่างจากบ้านเรามากหน่อย อยากให้มีภูเขาหิมะให้ดูด้วยและที่สำคัญต้องราคาไม่แพงเกินไป คิดไปคิดมาก็มาลงที่เนปาลนี่แหละครับ เนื่องจากไม่เคยไปต่างประเทศมาก่อนเลย เพื่อความสะดวกสบายเราเลยเลือกซื้อทัวร์ไป เป็นทัวร์ 6 วัน 5 คืน ตอนนั้นราคาไม่แพงเท่าไหร่ อยู่ที่ 28,500 บาทต่อคนวันแรก : จากเมืองไทย ตามกลิ่นหิมาลัยไปเนปาล แล้ววันเดินทางก็มาถึง เรามีนัดหมายกับคณะทัวร์ที่สนามบินดอนเมืองขาออกในเวลาเที่ยงวัน ไปถึงก็ไม่ต้องทำอะไรมากเพราะทางบริษัททัวร์ได้จัดเตรียมเอกสารต่างๆ ในการเดินทางให้หมดแล้วรวมทั้งเรื่องการ load กระเป๋าขึ้นเครื่องด้วย ไปกับทัวร์ก็สะดวกอย่างนี้ล่ะครับ แต่กว่าจะได้ออกเดินทางจริงก็บ่ายสามโมงกว่า เพราะเครื่องดีเลย์ไปนาน เราบินไปกับสายการบิน Royal Nepal ใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมง ก็มาถึงสนามบินตรีภูวัน ซึ่งเป็นสนามบินแห่งชาติของเนปาลโดยสวัสดิภาพ ทันทีที่ลงจากเครื่องเราก็สัมผัสได้ถึงอากาศเย็นสบาย ลมอ่อนๆ พัดมาราวกับจะเตือนให้เราได้รับรู้ว่าเราได้มาถึงดินแดนแห่งเทือกเขาหิมาลัยอันยิ่งใหญ่กันแล้ว รอขึ้นเครื่องที่ดอนเมืองจนเบื่อ เพราะเครื่องดีเลย์ไปนานถึงเนปาลเรียบร้อยแล้ว โดย Royal Nepal Airline เราเข้าพักที่โรงแรม "Yak & Yeti" ซึ่งทางหัวหน้าทัวร์บอกเราว่าเป็นโรงแรมระดับสี่ดาว ดูๆ ไปก็หรูหราใช้ได้ หลังจากเข้าที่พักแล้วเราก็ไปพักผ่อนให้หายเหนื่อยจากการเดินทางกันก่อน ก่อนที่จะไปทานอาหารค่ำกันที่ภัตตาคาร Wunjala Moskua ซึ่งเป็นภัตตาคารที่มีอาหารพิ้นเมืองเนปาลและมีการแสดงโชว์ศิลปวัฒนธรรมพื้นบ้านเนปาล ซึ่งเป็นการเต้นรำหลายๆ แบบให้ชมกันด้วย แต่อาหารเนปาลที่เราได้ทานนั้นช่างไม่ถูกปากเอาซะเลย เพราะส่วนใหญ่รสจะจืดชืดและมีกลิ่นเครื่องเทศฉุนแทบทุกอย่าง แต่ก็ถือเป็นธรรมเนียมว่ามาเที่ยวที่ไหนก็น่าจะได้ชิมอาหารพื้นบ้านของที่นั่นไว้เป็นประสบการณ์หน้าที่พักของเรา โรงแรม Yak & Yetiตึกสวยข้างโรงแรมที่เราพัก เขาว่าเป็นวังเก่า แต่ปัจจุบันเป็นคาสิโนเก็บภาพกับดอกไม้สวยๆ ที่โรงแรมวันที่สอง : กาฐมาณฑุ - ภัคตาปูร์ - นากาก๊อต วันนี้เราใช้สูตร 6-7-8 ใครที่เคยไปเที่ยวกับทัวร์คงจะทราบกันดี สูตรที่ว่าก็คือ ตื่นอาบน้ำแต่งตัว 6 โมงเช้า ทานอาหาร 7 โมงเช้าและออกเดินทาง 8 โมงเช้า วันที่สองในเนปาลเรามีโปรแกรมไปเที่ยวชมวัดสำคัญ 3 วัดในเมืองกาฐมาณฑุ โดยวัดแรกที่เราได้ไปชมก็คือ "วัดสวยมภูนาท (Syambunath)" หรือวัดลิง เพราะวัดนี้มีลิงอยู่เป็นจำนวนมาก ตัววัดตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ ทางทิศตะวันตกของเมืองกาฐมาณฑุ สามารถมองเห็นตัวเมืองกาฐมาณฑุได้จากบนยอดเขา วัดนี้มีจุดเด่นสำคัญคือสถูปเก่าแก่ อายุกว่า 2500 ปี ซึ่งพุทธศาสนิกชนชาวเนปาลให้ความเคารพศรัทธาเป็นอย่างมากสถูปสวยมภูนาถ ดูสวยงามยิ่งใหญ่มากWisdom eyes of Bhudda ดวงตาเห็นธรรมมุมมองจากบนเนินเขาที่ตั้งสถูป เห็นตัวเมืองอยู่ลิบๆ ด้านล่างธงมนตราหลากสีที่วัดสวยมภูนาถร้านขายหัตถกรรมพื้นบ้านมีอยู่หลายร้านบริเวณทางเข้าวัด ออกจากวัดสวยมภูนาถ เราก็เดินทางต่อไปสักการะสถูปสำคัญอีกแห่งของชาวพุทธและเป็นสถูปที่ใหญ่ที่สุดในเนปาลนั่นก็คือ "มหาสถูปพุทธนาถ (Bhaudhanath)" ซึ่งตั้งอยู่บนที่ราบทางตะวันออกของหุบเขา มีอาคารบ้านเรือนสีสันสดใสตั้งอยู่ล้อมรอบองค์สถูป เป็นที่ตั้งของชุมชนชาวทิเบตที่ใหญ่ที่สุดในเนปาล องค์พระมหาสถูป มีลักษณะเป็นทรงกลมสีขาวขนาดใหญ่ มีภาพดวงตาเห็นธรรมสีแดง เหลืองและน้ำเงิน รอบฐานของสถูปจะมีพระพุทธรูป 108 องค์ และซุ้มคูหา 140 คูหา ซึ่งภายในคูหานั้นเป็นที่ตั้งของ "กงล้อภาวนา" ซึ่งชาวทิเบตที่ศรัทธาในพุทธศาสนามักมาหมุนกงล้อและสวดภาวนากันอยู่เป็นประจำ มหาสถูปพุทธนาถ (Bhaudhanath) มหาสถูปแห่งศรัทธาของชาวทิเบตในเนปาลกงล้อภาวนา มีให้หมุนเพื่อสวดภาวนาอยู่โดยรอบสถูป ที่มหาสถูปแห่งนี้เราได้เห็นพระลามะชาวทิเบต ตลอดจนชาวทิเบตมาสักการะมหาสถูปกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งชาวทิเบตเหล่านี้ก็คือผู้พลัดถิ่น ลี้ภัยทางการเมืองจากทิเบตซึ่งตกอยู่ภายใต้การปกครองของจีน มาพร้อมกับองค์ดาไลลามะนั่นเอง ที่นี่เราได้เห็นการกราบภาวนาแบบอัษฎางคประดิษฐ์เป็นครั้งแรก ซึ่งการกราบแบบนี้ เป็นการแสดงความเคารพด้วยวิธีนอนพังพาบเหยียดมือเหยียดเท้าออกไปเต็มเหยียด ให้อวัยวะแปดแห่ง คือ หน้าผาก ๑ ฝ่ามือทั้ง ๒ หน้าอก ๑ เข่าทั้ง ๒ และปลายเท้าทั้ง ๒ จดพื้น เห็นแล้วน่าตื่นตาตื่นใจกับความศรัทธาของชาวพุทธทิเบตเป็นอย่างมากพระลามะชาวทิเบตแม่ลูกชาวทิเบตในชุดพื้นเมืองแม่ชีชาวทิเบต ในชุดเตรียมพร้อมสำหรับการกราบภาวนาแบบอัษฎางคประดิษฐ์พระลามะทิเบต บริเวณกงล้อภาวนาพระศรีอาริย์ในวัดทิเบต ซึ่งอยู่โดยรอบองค์สถูปมหาพุทธนาถครับ หลังจากสักการะมหาสถูปพุทธนาถแล้ว เราก็ออกเดินทางต่อไปชมวัดสำคัญแห่งที่สามของเมืองกาฐมาณฑุ ซึ่งวัดนี้เป็นวัดสำคัญของชาวฮินดู ชื่อว่า "วัดปศุปาตินาถ (Pashupatinath)" หรือ วัดหลังคาทองคำ เป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญที่สุดของชาวเนปาล จุดเด่นของที่นี่จะมีพิธีเผาศพตามลัทธิฮินดูเกิดขึ้นทุกวันริมแม่น้ำบักมาตี (Bagmati) ซึ่งถือเป็นแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของชาวชมพูทวีป เถ้ากระดูกจากพิธีเผาถูกโปรยลงสู่แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งไหลไปบรรจบกับแม่น้ำคงคา พิธีนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากยูเนสโก ที่วัดนี้จะห้ามมิให้คนศาสนาอื่นเข้าเป็นอันขาด เข้าได้เฉพาะผู้นับถือศาสนาฮินดู เราจึงได้แต่เที่ยวชมอยู่ภายนอกวัดเท่านั้น เราใช้เวลาที่วัดนี้ไม่นานนักเพราะใกล้เที่ยง ได้เวลาไปทานอาหารกลางวันกันแล้ว มื้อนี้เป็นอาหารจีน รสชาติแค่พอใช้ได้ แต่ไม่ดีเท่าอาหารจีนในบ้านเราด้านหน้าวัดปศุปาตินาถรูปสลักสีสดๆ บริเวณใกล้ๆ วัดปศุปาตินาถโยคีชาวเนปาล พบเห็นอยู่ทั่วไปบริเวณด้านทางเข้าวัด หลังทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยัง "เมืองภัคตาปูร์ (Bhaktapur)" ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันออกประมาณ 16 กิโลเมตร เมืองนี้ถูกเรียกว่า City of Devotees เป็นเมืองหลวงเก่าในสมัยราชวงศ์มัลละ ที่ยังคงความงดงามมาถึงปัจจุบัน เป็นที่ตั้งของหมู่พระราชวัง วิหาร ฝีมือในสกุลช่างเนวารีแท้ ในยุคที่มีความรุ่งเรืองทางการค้า จึงมีพระราชวังที่งดงามอย่าง Palace of 55 Windows สร้างในปี พ.ศ.2243 โดย King Ranjit Malla บานหน้าต่างไม้แกะสลักลวดลายงดงาม ด้วยความที่ Bhaktapur เป็นเมืองเก่า นอกจากพระราชวัง ภายในมีสิ่งปลูกสร้างต่างๆ มากมาย รวมถึงเป็นที่อยู่ที่พักอาศัยของผู้คนจนถึงปัจจุบัน ตรอกซอกซอยเล็กๆ จึงเป็นชุมชน มีร้านค้า ตลาด และแหล่งผลิตเครื่องปั้นดินเผาในแบบดั้งเดิมสถาปัตยกรรมเก่าแก่ที่งดงาม บริเวณ Bhaktapur Durbar SqareNyatapola Temple มณฑปที่สูงที่สุดอันเป็นสัญลักษณ์ของเมืองภัคตาปูร์หน้าประตูทองคำของพระราชวังหน้าต่าง 55 บานร้านขายของที่ระลึกมีอยู่ทั่วไปตามจุดท่องเที่ยวเด็กๆ ชาวเนปาล น่ารักและเป็นกันเองดีครับ เราเที่ยวชมเมืองภัคตาปูร์กันจนถึงเวลาประมาณ 15.30 น. ก็ต้องออกเดินทางไปยัง "ยอดเขานากาก๊อต (Nagarkot)" ซึ่งเป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ทั้งนี้เนื่องจากสามารถชมความงามของแนวเทือกเขาหิมาลัยได้ตลอดแนว อีกทั้งถ้าในวันที่อากาศดี จะสามารถมองเห็นยอดเขาเอเวอร์เรสได้อีกด้วย เราต้องนั่งรถจากเมืองภัคตาปูร์ ขึ้นเขาไปอีกประมาณ 40 นาที ทางขึ้นเขาแคบและคดเคี้ยว คล้ายๆ ถนนช่วงจากปายไปแม่ฮ่องสอน และมีบรรยากาศคล้ายๆ กันอีกด้วย เพราะมีต้นสนสามใบขึ้นอยู่เป็นระยะ กว่าเราจะไปถึงยอดเขาก็เกือบ 16:45 น.แล้ว เราเข้าพักกันที่โรงแรม The Fort Resort อากาศบนยอดเขานากาก๊อตวันนี้หนาวเย็นและลมแรงมาก เย็นพอๆ กับบนยอดดอยอินทนนท์ของไทยเราเลยทีเดียว น่าเสียดายในวันที่เราไป มีหมอกมากท้องฟ้าไม่เปิดทำให้เราไม่ได้เห็นเทือกเขาหิมาลัยอย่างที่ตั้งใจไว้ว่าจะมาชม เย็นนั้นเราจึงทำได้เพียงแค่เที่ยวชมเก็บเกี่ยวบรรยากาศบริเวณโดยรอบโรงแรมเท่านั้นเองนั่งกินลมชมวิวหน้าโรงแรม The Fort บนยอดเขานากาก๊อตวิวสวยๆ จากจุดชมวิวบนยอดเขาบรรยากาศภายในห้องพักของโรงแรมวันที่สาม : นากาก๊อต - โภคครา วันนี้เราต้องตื่นนอนตั้งแต่ตีสี่กว่า เพื่อจะอาบน้ำแต่งตัว เตรียมทานอาหารเช้าเวลา 5:30 น. นับว่าเป็นการทานอาหารเช้าที่เช้าที่สุดเท่าที่เคยทานมา เรียกว่าพยาธิในท้องยังไม่ทันตื่นนอนเลยด้วยซ้ำ ทั้งนี้ก็เพื่อให้ทันกับการชมพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นบนยอดเขา กว่าพระอาทิตย์จะปรากฎให้เราเห็นก็เกือบ 6:30 น. เมื่อแสงทองทาบทาขอบฟ้า ก็เริ่มมองเห็นยอดเขาเอเวอร์เรสและเทือกเขาหิมาลัยต้องแสงอาทิตย์แรกแห่งวัน ปรากฎอยู่ลิบๆ ที่เส้นขอบฟ้า น่าเสียดายที่เช้านี้ทัศนวิสัยไม่ค่อยดีมีเมฆมาก ทำให้เราได้เห็นยอดเขาเอเวอร์เรสได้เพียงแค่เลือนราง ก็อย่างว่าแหละครับ จะไปคาดเดาอะไรได้กับสภาพอากาศ วันนี้ก็ถือซะว่าเราโชคไม่ดีก็แล้วกันแสงแรกของวันบนยอดเขานากาก๊อต หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นแล้ว เราก็ต้องออกเดินทางกันต่อ เพราะวันนี้เรามีโปรแกรมไปเที่ยวที่ "เมืองโภคครา (Pokhara)" ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองกาฐมาณฑุไปทางทิศตะวันตกประมาณ 200 กิโลเมตร ต้องใช้เวลาเดินทางเกือบ 9 ชั่วโมง การเดินทางไปยังเมืองโภครา ต้องผ่านเส้นทางที่คดเคี้ยวซึ่งตัดผ่านภูเขาเกือบตลอดช่วง ถนนจะค่อนข้างแคบและขรุขระ ทำให้การเดินทางไม่สะดวกนัก ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมใช้เวลาเดินทางถึง 9 ชั่วโมง ยังดีที่ยังมีทิวทัศน์อันสวยงามสองข้างทางให้ดูแก้เบื่อ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นวิวหุบเขาสูงและนาขั้นบันไดคล้ายแถวแม่ฮ่องสอนบ้านเรา ทิวทัศน์ระหว่างเดินทางไปเมืองโภคคราจุดที่รถแวะจอดพักระหว่างการเดินทาง ในที่สุดหลังจากผ่านเส้นทางอันยาวไกล เราก็มาถึง "เมืองโภคครา (Pokhara)" จนได้ เมื่อเวลาประมาณ 15:30 น. เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งของเนปาล เพราะเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับเตรียมการ Trekking เดินเขาหิมาลัย ตัวเมืองโภคราตั้งอยู่ใกล้ "ทะเลสาปเฟวา (Fewa Lake)" อันงดงามและใหญ่ที่สุดของเนปาล ไกด์พาเรามาที่ทะเลสาปเป็นแห่งแรก น่าเสียดายที่ท้องฟ้ามีเมฆมาก เราจึงพลาดโอกาสที่จะได้เห็นเทือกเขาที่สำคัญอีกแห่งของเนปาล ซึ่งก็คือเทือกเขาอันนาปูร์ณา (Annapurana) ที่มียอดเขามัจฉาปูชเร (Machhapuchhre) หรือยอดหางปลาที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศเป็นจุดเด่นไปอย่างน่าเสียดายเรือสีสันสดใสที่ทะเลสาปเฟวาเก็บภาพที่ระลึกริมทะเลสาป ที่ทะเลสาปเฟวานี้ ไกด์ได้พาเรานั่งเรือไปวัดฮินดูบนเกาะกลางทะเลสาป ชื่อ"วัดบาฮาลี" วัดนี้เป็นวัดฮินดูที่ไม่ห้ามคนต่างศาสนาเข้าไปชม แต่เนื่องจากเป็นวัดขนาดเล็ก เราใช้เวลาไม่นานก็เที่ยวชมจนทั่วแล้ว และต้องออกเดินทางต่อไปเที่ยวชมน้ำตกเดวี่กันต่อนักท่องเที่ยวล่องเรือชมทะเลสาปเฟวาวัดบาฮารี บนเกาะกลางทะเลสาป "น้ำตกเดวี่ (Devi's Fall)" เป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงของเมืองโภคครา ตั้งชื่อตามฝรั่งชื่อเดวีที่ตกลงไปเสียชีวิต ณ ที่น้ำตกแห่งนี้ มีอยู่ช่วงหนึ่งของน้ำตกที่จะลอดใต้แผ่นผาผ่านทะลุออกมาทางรูเล็กๆ แล้วตกลงไปตามหน้าผาสูง ดูแปลกตาดีเหมือนกันหน้าทางเข้าน้ำตกเดวี่จุดที่น้ำตกลอดออกมาทางช่องหิน ออกจากน้ำตกเดวี่ เราเดินทางต่อไปยัง "ศูนย์อพยพชาวทิเบต (Tibetan Refugee camps)" ซึ่งศูนย์แห่งนี้ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจาก UNESCO ที่นี่นอกจากเราจะได้สัมผัสความเป็นอยู่ของชาวทิเบตพลัดถิ่นแล้ว ยังได้มีโอกาสอุดหนุนของฝากที่ระลึกแบบทิเบตอีกด้วย ออกจากศูนย์อพยพ ก็เป็นอันว่าหมดโปรแกรมเที่ยวของวันนี้แล้ว เราเข้าพักกันที่โรงแรม Blue Bird ก็เป็นโรงแรมที่สวยงามน่าพักมากเลยทีเดียวที่ศูนย์อพยพชาวทิเบต เมืองโภคคราวันที่สี่ : โภคครา - กาฐมาณฑุ วันนี้เราต้องตื่นแต่เช้าอีกเช่นเคยเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้น บนดาดฟ้าโรงแรม แปลกนะอยู่บ้านก็ไม่เคยได้ตื่นมาดูเลย แต่เวลามาเที่ยวนี่ไม่รู้เป็นไงนิยมดูพระอาทิตย์ขึ้นกันจังเลย แอบบ่นไปงั้นเอง แต่ยังไงเราก็ไม่พลาดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่อยู่ดีแหละครับพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้าที่เมืองโภคครายามเช้าหน้าโรงแรม Blue Bird ที่เราพักที่โภคครา หลังทานอาหารเช้าเสร็จ เราก็ต้องเดินทางไปยังสนามบินโภคครา เพราะวันนี้เราจะโดยสารเครื่องบินในประเทศกลับเมืองกาฐมาณฑุ แต่ก่อนจะออกเดินทางก็มีปัญหาขลุกขลักบางอย่างทำให้การเดินทางล่าช้ากว่ากำหนดไปกว่าสองชั่วโมง ระหว่างที่รอขึ้นเครื่อง ไกด์ท้องถิ่นก็เรียกพวกเราขึ้นไปบนดาดฟ้าห้องอาหารของสนามบิน เพื่อชมทิวทัศน์เทือกเขาอันนาปูร์ณะ เพราะอากาศเริ่มเปิด ในที่สุดเราก็มาไม่เสียเที่ยวแล้วครับ ได้เห็นเทือกเขาอันโด่งดังของเมืองโภคคราด้วยตาตัวเองเสียทีหน้าสนามบินโภคคราวิวจากดาดฟ้าสนามบิน เห็นยอดหนึ่งของอันนาปูร์ณะอยู่ลิบๆ หลังจากได้ชื่นชมกับเทือกเขาอันนาปูร์ณะสมใจแล้ว ก็ได้เวลาขึ้นเครื่องกันเสียที เครื่องบินโดยสารในประเทศที่เราขึ้นเป็นเครื่องบินขนาดเล็ก มีเพียง 18 ที่นั่ง และบินในระดับต่ำ ทำให้ค่อนข้างสั่นสะเทือนมากกว่าเครื่องบินขนาดใหญ่ ทำให้คณะทัวร์ของเราหลายคนเกิดอาการเมาเครื่องกันเป็นแถว แต่ว่าทิวทัศน์เทือกเขาอันนาปูร์ณะที่ปรากฎตรงหน้าต่างเครื่องบิน ก็ทำให้หลายคนตะลึงจนแทบลืมอาการเมาเครื่องไปเลยทีเดียวเดินทางกลับกาฐมาณฑุกันด้วยเครื่องบินลำนี้เทือกเขาอันนาปูร์ณะ เมื่อมองจากหน้าต่างเครื่องบินตัวเมืองกาฐมาณฑุ มองจากบนเครื่องบิน เราใช้เวลาบินประมาณ 30 นาที เครื่องก็มาถึงเมืองกาฐมาณฑุโดยสวัสดิภาพ เรามาถึงตอนเกือบเที่ยงแล้ว มื้อนี้ได้ทานอาหารไทยเป็นมื้อแรกที่เนปาล รสชาติพอใช้ได้แต่ไม่จัดจ้านเท่าบ้านเรา หลังอาหารเที่ยงช่วงบ่าย ตามโปรแกรมแล้วเราจะได้ไปช้อปปิ้งกันที่ย่านทาเมล (Thamel) ซึ่งเป็นย่านที่มีเกสต์เฮ้าส์ราคาถูก และของที่ระลึกขายมากมายคล้ายๆ กับถนนข้าวสารบ้านเรา แต่น่าเสียดายที่วันนั้นมีการชุมนุมประท้วงของชาวเนปาล ก็คล้ายๆ กับการประท้วงของพวกเสื้อแดงเสื้อเหลืองบ้านเราในตอนนี้แหละครับ ร้านค้าภายในเมืองพากันปิดร้านเงียบหมด ไกด์จึงของดโปรแกรมช้อปปิ้งของวันนี้และให้กลับไปพักผ่อนที่โรงแรม แต่เราทำใจกล้า ลองเดินออกมาดูภายในเมือง เห็นทหารถือปืนเดินตรวจตราอยู่เต็มไปหมด ดูน่ากลัวเหมือนกัน เราจึงต้องยอมถอยทัพกลับโรงแรม เย็นนั้นก็เลยไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย ต้องอยู่โยงในโรงแรมตลอดคืนวันที่ห้า : ปาตัน - กาฐมาณฑุ เช้าวันนี้เรามีโปรแกรมเดินทางไปชมศูนย์ศิลปหัตถกรรมของชาวทิเบตที่เมืองปาตัน ซึ่งเป็นชุมชนชาวทิเบตอพยพ มีการสาธิตการทอผ้าและพรม และมีสินค้าหัตถกรรมทิเบตขายด้วย แต่ราคาค่อนข้างจะแพงทีเดียว อย่างพรมผืนใหญ่ก็ราคาหลายหมื่นบาทไทยเลยล่ะครัย ชาวทิเบตสาธิตการทอผ้าครับ หลังจากเที่ยวชมหัตถกรรมทิเบตแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยัง "เมืองปาตัน (Patan)" ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า "ละลิตปูร์ (Lalitpur)" ซึ่งแปลว่า เมืองที่งดงามด้วยศิลปะ เมืองละลิตปูร์แห่งนี้ เป็นเมืองพุทธศาสนาในอดีต และเชื่อกันว่าสร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราช ในสมัยศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล มีที่ท่องเที่ยวสำคัญคือ เจดีย์มหาโพธิ์ (Jagannarayan Temple) ซึ่งจำลองการสร้างมาจากทางพุทธคยา ในประเทศอินเดีย และวัดทอง (Golden Temple) เป็นวัดในพุทธศาสนา หลังคาทำด้วยแผ่นทองเป็นเส้นยาวลงมาจรดพื้นดิน เจดีย์เก่าสวยๆ ที่เมืองโบราณปาตันศิลปะโบราณอายุนับพันปี หลังเที่ยวเมืองปาตันแล้วช่วงบ่ายเราเดินทางไปชม "Kumari House" หรือที่ประทับของกุมารี เทพธิดาที่มีชีวิตจริงของชาวเนปาล ที่เชื่อว่าเป็นเทวีทาเลจูมาจุติเกิด มาจากการสรรหาจากเด็กหญิงจากวรรณะล่าง และเป็นที่เคารพของผู้นับถือศาสนาฮินดู จนกระทั่งเทวีทาเลจูมาออกจากร่าง ซึ่งจะนับเมื่อเด็กหญิงผู้นั้นมีประจำเดือน หรือได้รับบาดแผลจนมีเลือดออกจากร่างกายเป็นจำนวนมาก แต่วันที่เราไปไม่ได้มีโอกาสเห็นกุมารีหรอกนะครับ ได้แต่เที่ยวชมบริเวณที่ประทับเท่านั้นเองKumari House ที่ประทับของเทพธิดาของชาวเนปาล ใกล้ๆ กับ Kumari House เราเดินต่อไปไม่ไกลก็มาถึง "จตุรัสเดอร์บา (Kathmandu Durbur Square)" และ "พระราชวังหนุมานโดก้า (Hanuman Dhoka Durbar)" ซึ่งเป็นอาคารแบบยุโรปสีขาว มีหอสูง 9 ชั้นเรียกว่าหอพสันตปุระ พระราชวังแห่งนี้ ใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรม อันสำคัญในราชวงศ์ และเมื่อเวลาที่พระมหากษัตริย์ เสด็จออกชม การสวนสนาม พระราชวังบริเวณจตุรัสเดอร์บาตลาดขายของที่ระลึกบริเวณจตุรัสเดอร์บาร้านนี้ขายธงชาติเนปาลด้วยเด็กนักเรียนชาวเนปาลที่มาเที่ยวบริเวณนั้น ใกล้ๆ กันนั้นก็มีจุดที่ต้องแวะชมอีกที่หนึ่งคือ "รูปปั้นกาฬไภราพ (Kala Bhairab)" รูปสลักขนาดใหญ่ของพระอิศวรปางดุร้าย เดิมทีพบที่ทุ่งนาตอนเหนือ ของตัวเมืองในศตวรรษที่ 18 เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์ ส่วนมากจะใช้ในการตัดสินคดีความ โดยจะนำคนที่พูดเท็จมาสาบานต่อหน้ารูปสลักแห่งนี้ ว่ากันว่าถ้าใครโกหกจะถึงขั้นกระอักเป็นเลือดเลยทีเดียวครับ แถวๆ นั้นเรายังได้พบกับ Holy Man หรือข้ารับใช้พระศิวะ แต่งตัวแบบโยคี แต่พวกนี้ไม่ใช่ตัวจริงนะครับ เป็นพวกแต่งตัวเลียนแบบไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป เรากดถ่ายไป 3 ครั้ง ให้ไปแค่คนละ 20 รูปีรูปปั้นกาฬไภราพโยคี (ปลอม) แต่งโชว์นักท่องเที่ยว ถ่ายรูปเขาต้องเสียเงินค่าถ่ายด้วยอีกหนึ่งโยคี (ปลอม) หลังจากแวะเที่ยวชมและเก็บภาพสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณจตุรัสเดอร์บาแล้ว เราก็เดินทางต่อไปยัง "ย่านทาเมล (Thamel)" เพื่อช้อปปิ้งซื้อของฝากของที่ระลึก ซึ่งมีขายมากมายทั้งอัญมณี หินสีต่างๆ เครื่องทองเหลือง ศิลปะหัตถกรรมพื้นบ้าน ผ้าสวยๆ รวมทั้งเสื้อผ้าเครื่องประดับมากมายให้เลือกซื้อครับ หลังเลือกซื้อของฝากจนพอใจแล้วก็ได้เวลากลับที่พัก เก็บของเตรียมเดินทางกลับเมืองไทยในวันพรุ่งนี้เลือกซื้อของฝากที่ย่านทาเมลร้านนี้ขายหน้ากากแปลกตาเยอะเลย แต่บางอันก็ดูน่ากลัวนะวันที่หก : งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา กลับเมืองไทยแล้วครับ วันสุดท้ายที่เราจะอยู่ในเนปาล ไม่ได้ทำอะไร เช้าตื่นขึ้นมาก็ต้องรีบเก็บของแต่งตัว เพื่อให้ทันเครื่องบินเที่ยว 8:30 น. ขากลับเราก็กลับกับสายการบิน Royal Nepal เช่นเดิม และก็มีดีเลย์เหมือนเดิม กว่าเครื่องจะออกก็ดีเลย์ไป 40 นาที ใช้เวลาบินราว 3 ชั่วโมง เราก็กลับถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ แม้ว่าทริปนี้ จะผ่านไปเกือบห้าปีแล้ว แต่ความสุข ความประทับใจที่ได้เที่ยวไปในดินแดนแห่งเทือกเขาหิมาลัยแห่งนี้ ก็ยังคงติดอยู่ในความทรงจำของผมอย่างไม่มีวันจางหาย และเฝ้ารอเวลา ที่จะได้มีโอกาสกลับไปเยือนดินแดนแห่งนี้อีกครั้ง ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ไม่ยุ่งยาก ราคาเป็นกันเอง ติดต่อได้ ที่
//www.thaibagrental.com/ หน้าเวปยังมะได้
อัฟเดตนะครับ
ราคาเช่ากระเป๋าจะถูกกว่านี้