042. พระมหามัยมุนี (Mahamuni Buddha) พระพุทธรูปคู่บ้านคู่บ้านของพม่า
พระมหามัยมุนี (Mahamuni Buddha)
พระมหาเมียะมุนี
พระมหามัยมุนี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระมหามัยมุนี (Mahamuni Buddha) พระพุทธรูปคู่บ้านคู่บ้านของพม่า เปรียบได้กับพระแก้วมรกตซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย และเป็นหนึ่งในห้าศาสนวัตถุที่ศักดิ์สิทธิ์ของพม่า
คำว่า มหามัยมุนี แปลว่า "ผู้รู้อันประเสริฐ" (The Great Sage) ชาวพม่าจะเรียกว่า มหาเมียะมุนี เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องกษัตริย์ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่เมืองมัณฑะเลย์ อดีตราชธานีของพม่าในยุคราชวงศ์คองบอง เดิมทีเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของยะไข่ มีตำนานเล่าว่า สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาล โดยกษัตริย์แห่งเมืองยะไข่ องค์พระทำจากทองสัมฤทธิ์ สูง 12 ฟุต 7 นิ้ว หนัก 6.5 ตัน ก่อนสร้าง กษัตริย์ผู้สร้างทรงพระสุบินว่า พระพุทธเจ้าเสด็จมาประทานพรให้พระพุทธปฏิมาองค์นี้ เป็นตัวแทนของพระองค์ เพื่อเป็นเครื่องสืบพระศาสนาไปในภายหน้า โดยในอดีต แม้เมืองยะไข่จะถูกโจมตีโดยกษัตริย์เมืองอื่นที่ทรงแสนยานุภาพอย่างไร ก็ไม่อาจที่จะเคลื่อนย้ายองค์พระมหามัยมุนีนี้ออกจากเมืองได้ ต้องมีเหตุให้ขัดข้องทุกครั้งไป
จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระเจ้าปดุง แห่งราชวงศ์คองบองสามารถตียะไข่ได้ และได้อัญเชิญพระมหามัยมุนีออกจากยะไข่ได้ ในปี พ.ศ. 2327 (ภายหลังการสถาปนากรุงเทพมหานครและการปราบดาภิเษกขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช 2 ปี) โดยล่องมาตามแม่น้ำอิระวดีมายังเมืองมัณฑเลย์ได้สำเร็จ พระมหามัยมุนีจึงได้ย้ายมาอยู่ที่เมืองมัณฑเลย์เป็นการถาวรนับแต่นั้นเป็นต้นมา
และด้วยความเชื่อว่า พระพุทธมหามัยมุนี นี้เป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต เพราะด้วยเหตุที่ได้รับประทานพร (บางตำนานก็เล่าว่าได้รับประทานลมหายใจจากพระพุทธเจ้า) จึงมีประเพณีล้างพระพักตร์ถวาย โดยทุกเช้า เวลาประมาณ 04.00 น. (ตี 4) พระมหาเถระและสาธุชนทั่วไปที่ศรัทธาจะมาทำพิธีล้างพระพักตร์ด้วยน้ำอบน้ำหอมผสมทานาคาอย่างดีพร้อมกับใช้แปรงทองแปรงที่พระโอษฐ์เสมือนหนึ่งแปรงพระทนต์ถวายพระพุทธเจ้า ก่อนใช้ผ้าจากศรัทธาสาธุชนถวายมาเช็ดจนแห้งสนิท พร้อมใช้พัดทองโบกถวายเป็นอันดีเสมือนหนึ่งได้อุปัฏฐากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ยังทรงพระชนมชีพอยู่จริง ๆ
อนึ่ง องค์พระมหามัยมุนีมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนเป็นรอยย่นตะปุ่มตะป่ำไปทั้งพระองค์ ซึ่งหากเอานิ้วกดลงไป ก็จะรู้สึกได้ถึงความอ่อนนิ่มของทองคำเปลวที่ปิดทับซ้อนกันนับเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ชั้น ตลอดระยะเวลาเนิ่นนานกว่าศตวรรษ ทำให้พระมหามัยมุนีมีอีกพระนามหนึ่งว่า พระเนื้อนิ่ม แต่น่าแปลกที่ว่า แม้จะมีการปิดทองซ้ำแล้วซ้ำอีกจนองค์พระใหญ่ขึ้นเพียงใดก็ตาม แต่พระพักตร์ขององค์พระมหามัยมุนีก็ยังแลดูใหญ่ตามองค์พระอย่างน่าอัศจรรย์ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้มีการปิดทองที่องค์พระเลยแม้แต่น้อย
สำหรับในประเทศไทย ที่วัดหัวเวียง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ก็ได้มีองค์พระจำลองของพระมหามัยมุนีนี้เป็นพระประธานของวัดด้วย
Source://th.wikipedia.org/wiki
------------------------------------------------
ภาพจาก //www.
ข้อมูลท่องเที่ยวประเทศพม่า เที่ยวพม่า...วัดพระมหามัยมุนี จาก //www.oceansmile.com/Phama/Pramahamunee.htm
368. พระมหามัยมุนี ซึ่งแปลว่า มหาปราชญ์
369. พระมหามัยมุนี ซึ่งแปลว่า มหาปราชญ์
374. พระมหามัยมุนี ซึ่งแปลว่า มหาปราชญ์
พระมหามัยมุนี 1 ใน 5 มหาบูชาสถานสูงสุดของประเทศพม่า
ตามตำนานเล่าว่า พระเจ้าจันทสุริยะ กษัตริย์ของชาวยะไข่แห่งเมืองธัญญวดี (ปัจจุบันอยู่ในรัฐยะไข่ ทางด้านตะวันตกของพม่าติดกับบังคลาเทศ) โปรดฯให้สร้างพระมหามัยมุนี ซึ่งแปลว่า มหาปราชญ์ ขึ้นในปี พ.ศ.689 หรือเกือบสองพันปีมาแล้ว เหตุเพราะพระพุทธเจ้าเสด็จมาเข้าพระสุบินประทานพรแก่พระเจ้าจันทสุริยะ ให้สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นเพื่อเชิดชูพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง แต่เนื่องจากว่ามีขนาดใหญ่จึงต้องหล่อแยกเป็นชิ้นแล้วจึงนำมาประสานกันได้สนิทจนไม่เห็นรอยต่อเป็นที่น่าอัศจรรย์ เชื่อกันว่าเป็นด้วยพรของพระศาสดาประทานไว้
ความงดงามและความศักดิ์สิทธิ์ของพระมหามุนีเลื่องลือไปไกล จึงเป็นที่หมายปองของกษัตริย์พม่านับตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโนรธาแห่งอาณาจักรพุกาม บุเรงนองมหาราชแห่งหงสาวดี และอลองพญามหาราชแห่งรัตนปุระอังวะ ล้วนเพียรพยายามยกทัพไปชะลอพระพุทธรูปองค์นี้มาประดิษฐานเพื่อเป็นศิริมงคลแห่งดินแดนพม่าทุกยุคทุกสมัย แต่ต้องล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะความทุรกันดารของเส้นทางที่เต็มไปด้วยแม่น้ำและภูเขาสูง จนกระทั่งประสบความสำเร็จในสมัยพระเจ้าปดุง ก็สามารถนำเอาพระมหามุนีมาไว้ที่กรุงมัณฑะเลย์เมื่อปี พ.ศ.2327 ในปัจจุบันชาวพม่ายังเรียกพระมหามุนีอีกชื่อหนึ่งว่า พระยะไข่
วัดมหามัยมุนีมีธรรมเนียมปฎิบัติเช่นเดียวกับปูชนียสถานทุกแห่งในพม่าคือไม่อนุญาตให้สุภาพสตรีเข้าใกล้องค์พระได้เท่าสุภาพบุรุษ ซึ่งสามารถขึ้นไปปิดทองที่องค์พระได้เลย โดยทางวัดกำหนดให้เขตสตรีกราบสักการะองค์พระได้ระยะใกล้สุดราว 10 เมตร แต่สามารถซื้อแผ่นทองฝากผู้ชายขึ้นไปปิดทองแทนได้
อย่างไรก็ตาม มีกิจกรรมหนึ่งที่จะทำให้สตรีสามารถสัมผัสองค์พระได้ โดยผ่านแป้งตะนะคาที่ใช้ล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนี โดยทุกๆเช้า ทางวัดจึงจัดพื้นที่บริเวณลานด้านหน้าองค์พระ ให้พุทธศาสนิกชนทั้งชายและหญิงช่วยกันฝนท่อนไม้ตะนะคา เพื่อให้ได้แป้งหอมจากเปลือกไม้ แล้วเอามาใส่ผอบรวมกันไว้มากๆ สำหรับนำไปผสมน้ำประพรมพระพักตร์องค์พระในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น
ด้วยเหตุแห่งความศรัทธาว่าเป็นพระพุทธรูปที่มีชีวิต จึงเป็นที่มาของธรรมเนียมการล้างพระพักตร์ให้องค์พระทุกๆรุ่งสาง เหมือนดั่งคนที่ต้องล้างหน้าแปรงฟันทุกเช้า โดยมีพระทำหน้าที่ล้างพระพักตร์พระมหามัยมุนีทุกวันตั้งแต่ราวตีสี่ครึ่ง โดยเริ่มจากประพรมพระพักตร์ด้วยน้ำผสมเครื่องหอมทำจากเปลือกไม้ ตะนะคา ซึ่งชาวบ้านนำมาบริจาคให้วัดทุกวัน จากนั้น ก็ใช้แปรงขนาดใหญ่ขัดสีบริเวณพระโอษฐ์ดั่งการแปรงฟันแล้วใช้ผ้าเปียกลูบไล้เครื่องหอมดั่งการฟอกสบู่จนทั่วทั้งพระพักตร์ จึงมาถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุด คือการใช้ผ้าขนหนูเช็ดพระพักตร์ให้แห้งและขัดสีให้เนื้อทองสัมฤทธิ์ที่พระพัตร์นั้นสุกปลั่งเป็นเงางามอยู่เสมอ จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่า เหตุใดพระมหามัยมุนีจึงเป็นพระพุทธรูปที่มีพระพักตร์อิ่มเอิบเป็นประกายวาววามอย่างที่สุดองค์
362. พระมหามัยมุนี มัณฑะเลย์
372. พระมหามัยมุนี มัณฑะเลย์
387. เครื่องสัมฤทธิ์ เขมร
388. เครื่องสัมฤทธิ์ เขมร
391. เครื่องสัมฤทธิ์ เขมร
389. เครื่องสัมฤทธิ์ เขมร
หุ่นยนต์ศิลปะเขมร
อาคารด้านหลังของมณฑปครอบองค์พระมหามัยมุนี มีห้องจัดแสดงศิลปวัตถุประเภทเครื่องสัมฤทธิ์ 6 ชิ้น ซึ่งนักประวัติศาสตร์ลงความเห็นว่าเป็นเครื่องสัมฤทธิ์ศิลปะเขมรแบบ บายน หล่อขึ้นในแผ่นดินพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (อาณาจักรเขมรสมัยเมืองพระนคร)ประกอบด้วยรูปช้างเอราวัณ 1 ชิ้น รูปสิงห์ 3 ชิ้น รูปพระอิศวร 2 ชิ้น ซึ่งชาวพม่านิยมมาสักการะโดยใช้มือลูบคลำ ด้วยเชื่อว่าจะเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต บางคนลูบเฉพาะท้องของพระอิศวรเพื่อขอลูก บางคนลูบหัวสิงห์ด้วยเชื่อว่าจะได้รับพรให้มีสติปัญญาเฉียบแหลม บางคนลูบเฉพาะจุดที่ตนเองเจ็บไข้ได้ป่วย เช่น ปวดหัวเรื้อรังก็ลูบเศียรพระศิวะหรือเศียรช้างเอราวัณ
ประวัติศาสตร์เครื่องสัมฤทธิ์ชุดนี้ พระเจ้าหงสาวดีบุเรงนองทรงนำมาจากกรุงศรีอยุธยาเมื่อคราวยกทัพไปตีเมื่อ พ.ศ. 2112 หรือคราวเสียกรุงครั้งที่ 1 นำมาตั้งไว้ที่พระราชวังหงสาวดีเป็นเวลา 30 ปี ครั้นเมื่อยะไข่ตีกรุงหงสาวดีในสมัยพระเจ้าทันทบุเรงในปี พ.ศ. ก็นำเอาเครื่องสัมฤทธิ์ชุดนี้ไปไว้ที่วัดมหามัยมุนีที่เมืองยะไข่ นานถึง 180 ปี จนกระทั่งพระเจ้าปดุงยกทัพไปแย่งพระมหามัยมุนีมาจากชาวยะไข่ ก็ได้นำเอาเครื่องสัมฤทธิ์ชุดนี้พร้อมกับพระมหามัยมุนีมาไว้ที่ราชธานีอมรปุระ จากนั้นก็ย้ายพระราชวังมาที่เมืองมัณฑะเลย์
ศิลปวัตถุเครื่องสัมฤทธิ์ชุดนี้ พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาระบุว่า เครื่องสัมฤทธิ์ชุดนี้ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา) ได้มาจากเขมรเมื่อครั้งยกทัพไปตียโศธรปุระ(นครธม) พ.ศ. 1966 จึงเท่ากับมาตั้งอยู่ที่กรุงศรีอยุธยา 146 ปีแล้วจึงไปอยู่ที่กรุงหงสาวดี องค์จำลองของพระมหามัยมุนี
ความงามที่เป็นชื่อเลื่องลือของพระมหามัยมุนีทำให้มีพระพุทธรูปหล่อขึ้นโดยเลียนแบบปางมารวิชัยทรงเครื่องกษัตริย์องค์นี้มากมาย ในเมืองไทยคือพระเจ้าพาราละเข่ง ประดิษฐานที่วัดหัวเวียง อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตามประวัติเล่าว่า เมื่อตอนหล่อพระพุทธรูปองค์นี้แยกหล่อเป็น 9 ส่วนแล้วนำลงเรืองล่องมาตามแม่น้ำสาละวินมาประกอบที่เมืองแม่ฮ่องสอน และ อีกองค์หนึ่งคือพระพุทธมหามัย ประดิษฐานที่วัดไทยวัฒนาราม อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก จำลองแบบมาจากพระมหามัยมุนีเมืองมัณฑะเลย์ โดยฝีมือช่างชาวไทใหญ่
393. เครื่องสัมฤทธิ์ เขมร
397. วัดพระมหามุนี มัณฑะเลย์
410.วัดพระมหามุนี มัณฑะเลย์
404. วัดพระมหามุนี มัณฑะเลย์
ที่มา: บริษัท โอเชี่ยนสไมล์ จำกัด โทร 0-2969 3684-5, 0-2969 3664-5 แฟ็กซ์ 0-2944 0825, 0-2969 3680 เลขที่ 23/15 ซอยนวมินทร์ 161 ถนนนวมินทร์ แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ 10230
เจาะลึก...ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมและธรรมชาติ...กับโอเชี่ยนสไมล์ทัวร์
Source://www.oceansmile.com/Phama/Pramahamunee.htm
--------------------------------------------------------
การเดินทางเป็นมากกว่าการไปเยี่ยมชมสถานที่ตางๆ มันคือการเปลี่ยนแปลงที่ดำเนินไปอย่างลึกซึ้งและยั่งยืนในแนวคิดเรื่องการใช้ชีวิต
มิเรียม เบียร์ด
จากหนังสือ พลังแห่งชีวิต ฉบับ นักเดินทาง
Create Date : 06 สิงหาคม 2553 |
|
2 comments |
Last Update : 6 สิงหาคม 2553 14:54:01 น. |
Counter : 4331 Pageviews. |
|
|
|