ในปี 1920 รอสโค บัตทอนได้บุตรชายคนแรก ทว่าระหว่างงานฉลองรื่นเริงนั้น ไม่มีใครสักคนที่คิดว่ามีความ ‘จำเป็น’ จะต้องกล่าวถึงว่า เด็กชายมอมแมมซึ่งดูท่าทางคงมีอายุประมาณสิบปี ที่เล่นตุ๊กตาทหารตะกั่วและคณะละครสัตว์จำลองตัวจิ๋วอยู่รอบ ๆ บ้านนั้นเป็นคุณปู่ของเด็กทารกเกิดใหม่
ไม่มีใครเกลียดเด็กชายผู้มีใบหน้าสดชื่น ร่าเริง แต่แฝงร่องรอยแห่งความเศร้าไว้นิดๆ คนนี้ แต่สำหรับรอสโค บัตทอนแล้ว การปรากฏตัวของเด็กคนนี้เป็นดั่งเครื่องทรมาน ตามสำนวนภาษาในยุคสมัยของเขา รอสโคไม่คิดว่าเรื่องนี้ ‘มีประสิทธิผล’ เขารู้สึกว่าการที่บิดาไม่ยอมทำตัวให้เหมือนคนอายุหกสิบ ถ้าว่ากันตามสำนวนติดปากของรอสโค ก็คือการปฏิเสธวิถีความประพฤติเยี่ยง ‘มนุษย์มนา’ แต่กลับทำตัววิปริตผิดเพี้ยนไม่เหมือนชาวบ้าน เพียงแค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ครึ่งชั่วโมงก็แทบจะทำให้เขาเสียสติแล้ว รอสโคนั้นเห็นด้วยว่า ‘จะมีชีวิตที่เข้มแข็งยืนยง’ นั้น สมควรดูแลตนเองให้เป็นหนุ่มสาวอยู่เสมอ แต่ครั้นจะรักษาความเป็นหนุ่มเป็นสาวถึงขนาดนี้มันก็…ก็...ไม่มีประสิทธิผล เอาเสียเลย มาถึงตรงนี้รอสโคก็เลิกคิด
ห้าปีต่อมา เด็กน้อยบุตรชายของรอสโค ก็โตพอที่จะเล่นเกมเด็ก ๆ กับเบนจามินน้อยภายใต้การดูแลของพี่เลี้ยงคนเดียว รอสโคพาทั้งสองไปโรงเรียนอนุบาลในวันเดียวกัน และเบนจามินพบว่าการเล่นต่อกระดาษสีชิ้นยาว ถักเป็นเสื่อและลูกโซ่ ทำเป็นรูปแบบแปลก ๆ สวยงามนั้น เป็นเกมที่สนุกน่าหลงใหลที่สุดในโลก มีครั้งหนึ่งเขาร้องไห้ เนื่องจากประพฤติตัวไม่ดีและถูกทำโทษให้ยืนที่มุมห้อง แต่โดยรวมแล้วชั่วโมงเรียนนั้นเป็นห้วงเวลาที่เบิกบานสนุกสนาน แสงแดดสาดส่องเข้ามาทางหน้าต่าง สักพักหนึ่งคุณครูไบเล่ย์ก็จะลูบผมกระเซิงของเขาอย่างอ่อนโยน
หลังจากหนึ่งปีผ่านไป บุตรชายของรอสโคเลื่อนชั้นไปอยู่เกรดหนึ่ง แต่เบนจามินยังคงอยู่ชั้นอนุบาลต่อไป เขามีความสุขมาก บางครั้งเมื่อเด็กคนอื่น ๆ พูดคุยว่าพวกเขาจะทำอะไรเมื่อโตขึ้น รอยหมองคล้ำจะปรากฏวาบขึ้นบนใบหน้าเล็ก ๆ ของเบนจามิน ราวกับว่าสัญชาตญาณเด็กของเขาหยั่งรู้ได้แบบเลือนรางว่า เขาจะไม่มีโอกาสได้ทำสิ่งที่เด็กเหล่านั้นพูดคุยกัน
วันเวลาดำเนินไป แบบซ้ำเดิมวันแล้ววันเล่า เบนจามินยังคงเรียนชั้นอนุบาลเป็นปีที่สาม แต่ตอนนี้เขาเด็กเกินกว่าจะเข้าใจได้ว่า กระดาษชิ้นยาวสะท้อนแสงสีสดใสนั้นมีไว้ทำอะไร เขาร้องไห้เพราะเด็กชายคนอื่น ๆ ตัวโตกว่าเขา และเขาหวาดกลัวเด็กพวกนั้น คุณครูมาคุยปลอบเขา ถึงแม้เขาจะพยายามทำความเข้าใจ แต่กลับไม่สามารถเข้าใจอะไรที่ครูพูดได้เลย
เขาต้องออกจากโรงเรียนอนุบาล นานา พี่เลี้ยงสวมกระโปรงชุดลายตาหมากรุกลงแป้งแข็ง กลายเป็นจุดศูนย์กลางในโลกใบเล็กของเขา ทั้งสองจะเดินเล่นในสวนสาธารณะในวันอากาศสดใส นานาจะชี้ที่สัตว์ตัวใหญ่สีเทาและพูดว่า “ช้าง” และเบนจามินจะพูดตามหล่อน และเมื่อนานาถอดชุดเขาออกก่อนเข้านอนคืนนั้น เขาพูดกับหล่อนเสียงดังซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า “ช้าง ๆ ๆ” บางครั้งนานาปล่อยให้เขากระโดดเล่นบนเตียง ซึ่งเป็นเรื่องสนุก เพราะว่าถ้าคุณนั่งให้ลงที่เดิมพอดี เตียงก็จะเด้งให้คุณกระดอนขึ้นยืนใหม่ และถ้าคุณพูดว่า “อา” ค้างไว้พร้อมกับโดดขึ้นโดดลง เสียงคุณก็จะขาดเป็นช่วง ๆ สนุกมากทีเดียว
เขาชอบหยิบไม้เท้าอันใหญ่จากที่แขวนหมวก เดินฟาดตีโต๊ะเก้าอี้ไปทั่วบ้าน พูดว่า “สู้ ๆ ๆ” หากในห้องมีแขกอยู่ บรรดาสุภาพสตรีชราจะดุใส่เขาเหมือนเสียงแม่ไก่ร้องเรียกลูก ซึ่งเขาจะหันไปดู ส่วนสุภาพสตรีสาวจะพยายามหอมแก้มเขา เขาก็จะยอมให้หอมอย่างเบื่อ ๆ และเมื่อวันยาวนานนั้นหมดไปตอนห้าโมงเย็น เขาจะขึ้นชั้นบนกับนานา และนานาจะป้อนข้าวโอ๊ตกับกับอาหารบดเละๆ แสนอร่อยให้เขา
เขาจะหลับปุ๋ยโดยไม่มีความทรงจำที่น่าเศร้าผุดขึ้น มารบกวน ไม่มีสิ่งใดเตือนใจให้เขานึกถึงวันวารแห่งความกล้าหาญที่มหาวิทยาลัย เดือนปีอันรุ่งโรจน์ที่เขาทำให้หัวใจของหญิงสาวหลายคนวูบวาบไม่เป็นส่ำด้วย ความตื่นเต้น มีเพียงข้างเปลสีขาวที่โอบรอบตัวเขาให้ปลอดภัย กับนานา และชายคนหนึ่งซึ่งมาดูเขาเป็นบางครั้ง และลูกบอลโตสีส้มที่นานาชี้ให้เขาดูก่อนเข้านอนตอนเย็น โดยเรียกลูกบอลนั้นว่า ‘ดวงอาทิตย์’ ครั้นเมื่อดวงอาทิตย์ลับหาย เขาก็หลับตาลงด้วยความง่วง ไม่มีความฝัน... ความฝันที่จะมาหลอกหลอนเขา
เรื่องราวในอดีต ศัตรูบุกโจมตีตัดหัวทหารใต้บังคับบัญชาของเขาอย่างป่าเถื่อนที่ซาน ฮวน ฮิลล์ ช่วงปีแรกๆ ของการแต่งงานที่เขาทำงานจนถึงมืดค่ำกลางฤดูร้อนในเมืองอันวุ่นวายเพื่อฮิ ลดีการ์ดสาวน้อยที่เขาหลงรัก ย้อนไปก่อนหน้านั้นเขานั่งสูบซิการ์ในแสงสลัวยามดึกกับคุณปู่ที่บ้านบัตทอน หลังเก่าบนถนนมอนโร สตรีท เรื่องเหล่านี้เลือนหายไปจากจิตใจเขาเหมือนดั่งความฝันที่จับต้องไม่ได้ ราวกับมันไม่เคยเกิดขึ้นเลย
เขาจำไม่ได้
เขาจำไม่ค่อยได้ว่า นมที่ดื่มครั้งสุดท้ายอุ่นหรือเย็น หรือว่าวันนั้นผ่านไปอย่างไรบ้าง มีแต่เปลของเขากับนานาที่อยู่ข้างตัวจนเขาคุ้นเคย นอกจากนั้นเขาจำอะไรไม่ได้อีกเลย เมื่อเขาหิว เขาจะร้องไห้ ก็เท่านั้นเอง ตลอดกลางวันและกลางคืนเขาเอาแต่นอนหายใจ เหนือร่างเขามีเสียงพูดอู้อี้และเสียงพึมพำอ่อนโยนซึ่งเขาแทบจะไม่ได้ยิน เขารับรู้ความแตกต่างของกลิ่น แสง และความมืดได้อย่างเลือนรางเต็มที
หลังจากนั้นทุกอย่างก็มืดมิด เปลสีขาว และใบหน้าเลือนรางที่เคลื่อนไหวไปมาอยู่เหนือเขา และกลิ่นนมหอมหวาน ๆ อบอุ่น จางหายไปพร้อมกันจากสำนึกของเขา
อ่านจนจบเลย