18 เมย 53 เที่ยวเนปาล ตอนที่ 1
ไปเที่ยวเนปาล มีเรื่องราวมากมาย ที่อยากเขียนเล่าในบันทึก เนปาลให้อารมณ์ความรู้สึกแก่ฉันแตกต่างกว่าทุกที่ๆฉันเคยไปมา จนถึงวันนี้ กลับถึงเมืองไทยแล้ว แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าจิตใจภายในของฉันคงยังเดินท่องเที่ยวอยู่ที่นั่น
น่าแปลก ที่การไปเที่ยวครั้งนี้กระทบกระเทือนใจฉันอย่างมาก แม้แต่สรรพนามที่เคยเขียนว่า เรา เพื่อเขียนเล่าแทนตัวให้คนอื่นอ่านด้วย คราวนี้ก็ต้องเปลี่ยนเป็นฉัน เพื่อเอาไว้กลับมาอ่านเองวันหลัง เป็นการรำพึงกับตัวเอง ฉันพบเรื่องประหลาดใจอยู่หลายอย่าง -เด็กหนุ่มที่มาพาไปเดินดูเล่าเรื่องวัด ปศุปตินาถ -ความรู้สึกคุ้นเคยเมื่อเดินวนรอบเจดีย์สวยมภูวนาท -และความฝันเมื่อสักครู่ซึ่งปกติฉันแทบจะไม่เคยฝัน แม้บางครั้งอยากรู้อยากทราบบางเรื่องราวไม่ว่าจะหลับหรือตื่น
สายวันนี้ฉันนอนหลับไปด้วยความอ่อนเพลีย จากการเดินทาง และ อาการถ่ายท้อง (แม้จะพยายามระมัดระวังการทานอาหารและน้ำเฉพาะที่จัดให้ แล้วก็ตาม )คงรับเชื้อโรคที่รุนแรงมาจากเนปาล ก่อนกลับในหนังสือพิมพ์ที่เนปาลลงข่าวการระบาดของอหิวาต์มีคนเสียชีวิตแล้วหนึ่งคน ฉันถ่ายติดต่อกันมาสามวัน แม้ทานยาปฏิชีวนะอาการได้แต่ทุเลาแต่ก็ยังไม่หายขาด
ฉันฝันเห็นตัวเองเป็นเด็กชายวัยรุ่น เดินเที่ยวอยู่ตามหมู่บ้านในเนปาล มีชายสูงอายุคนหนึ่งพาเดินเที่ยว แกดีกับฉันมากจนรู้สึกรักและผูกพัน แกพาไปดูเจดีย์แบบระฆังคว่ำที่สวยงามอีกหลายแห่ง ในฝันฉันยังสงสัยว่าทำไมไกด์ ถึงไม่พาไปดูเจดีย์เหล่านี้ ทั้งที่สวยและยังมีอยู่อีกมากมาย ระหว่างที่เดินไป เที่ยวกับลุง อย่างเพลิดเพลิน มีชาวบ้านทะเลาะกัน ลุงถูกลูกหลงปืนยิงเข้าที่บริเวณท้อง ฉันเห็นลุงทรุดลงไปมีเลือดไหล มีคนเข้ามาช่วยพาลุงลงนอนกับเสื่อสีแดงดำ ฉันสงสัยทำไมเขาไม่พาลุงไปหาหมอที่รพ. แต่ฉันยังไม่โตมากฉันได้แต่ดู เห็นลุงลงนอนสบายขึ้น ฉันลงนอนเป็นเพื่อนกับลุงและหลับไป เมื่อตื่นฉันพบว่าตัวเองนอนอยู่คนเดียวบนเสื่อสีแดงดำนั้น ไม่พบลุงในฝันฉันเสียใจมากและเข้าใจแล้วว่าอารมณ์ที่ได้รับจากการตายของคนที่เรารักและผูกพันเป็นยังไง แล้วตัวจริงของฉันก็ตกใจตื่น ฉันทบทวนเรื่องราวการปฏิบัติธรรมของฉัน ฉันเคยพิจารณา มรณานุสติ
เมื่อสองวันก่อนฉันไปดูการเผาศพที่วัดปศุปตินาถ ฉันเห็นญาติผู้เสียชีวิตหลายคนปิดหน้าร้องไห้อยู่โดยรอบ ( ที่นั่นต้องทำพิธีให้เสร็จภายใน 24 ชม.หลังเสียชีวิต ) ตอนนั้นฉันพยายามจินตนาการและเข้าใจมันให้ลึกซึ้งว่า ความทุกข์จากการตายของคนที่รักผูกพันเป็นยังไง แต่จินตนาการไปไม่ถึงเพราะไม่เคยมีประสบการณ์ ได้แต่เข้าใจโดยหลักการ ทั้งอวิชชาเป็นต้นเหตุทั้งหมด ในการเกิดรูปนาม มีอุปาทานให้เป็นอะไรต่างๆ เป็นเราเป็นของเรา แต่คงยังไม่เข้าถึงตัวตนจิตใจที่แท้จริง วันนี้จากความฝันทำให้ฉันรับทราบอารมณ์ความทุกข์จากการตายของบุคคลอันเป็นที่รักได้อย่างถ่องแท้ รวมทั้งความเปล่าเปลี่ยว วังเวง ซึ่งฉันคงนำมาเป็นแง่มุมให้พิจารณาละถอนสิ่งที่ยังค้างคาต่อไปได้
บันทึกวันนี้เขียนในส่วนที่กระทบกระเทือนและประทับใจในเนปาลก่อน เรื่องธรรมชาติอันสวยงามหรือสิ่งที่เป็นศิลปวัฒนธรรม น่าสนใจ จะค่อยลงบันทึกภายหลังเมื่อมีเวลา
ก่อนไปฉันศึกษาจากหนังสือหลายเล่ม มีข้อมูลว่าประเทศเนปาลเป็นประเทศที่ยากจนที่สุดอันดับ 7 ของโลก แต่นั่นก็ไม่ซาบซึ้งเท่ากับที่ไปสัมผัส
สนามบิน ตรีภูวัน ชื่อเพราะจัง ตั้งชื่อตามกษัตริย์ที่สร้างสนามบิน เป็นสนามบินที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเพราะอยู่ที่เมืองกาฐมาณฑุซึ่งเป็นเมืองหลวง
เมื่อเครื่องถึงพื้น เราลงบันไดเครื่องบิน เดินมาตามพื้นของสนามบินจนถึงอาคาร ภายในอาคารค่อนข้างร้อนเพราะไม่มีเครื่องปรับอากาศ มีเครื่องบินขึ้นลงน้อยมาก
เดินออกมาขึ้นรถ สภาพบรรยากาศภายนอก มีรถรับจ้างจอดรอผู้โดยสาร เป็นรถขนาดเล็กและค่อนข้างเก่า ไม่มีเครื่องปรับอากาศ รถบัสของฉันสภาพดีมากอยู่ด้านซ้ายของภาพ เขียนว่า tourist แต่ฉันก็ยังไม่ชอบใจเพราะมีการแบ่งกั้นส่วนคนขับออกจากส่วนผู้โดยสารด้วยผนังและกระจก ซึ่งไม่เคยเห็นมีทำกันในรถบัสท่องเที่ยวของประเทศอื่นๆ ในขณะที่เราคอยขอให้คนขับเร่งแอร์ให้เย็นมากขึ้น ส่วนคนขับและเด็กรถกลับไม่ได้รับความเย็น และต้องเปิดกระจกเพื่อระบายอากาศร้อน ไกด์เล่าว่าคนที่นี่แบ่งชั้นกันค่อนข้างมาก คนขับและเด็กรถจะไม่สามารถเข้าไปในบริเวณโรงแรมได้เลย ไม่ว่าโรงแรมที่ใด ก็คงทำนองเดียวกับที่ฉันเห็นภาพว่าแม้แต่อากาศก็ไม่สามารถมาใช้อากาศเย็นร่วมกับผู้โดยสารได้ น่าเศร้าจริงๆ
แหงนมองเมฆบนท้องฟ้า เมฆที่กาฐมาณฑุอยู่บนท้องฟ้าเดียวกับเมืองไทย หน้าตาก็เหมือนเมฆที่เมืองไทย
เนปาลขาดแคลนน้ำ ไม่มีทางออกติดทะเล ชาวบ้านใช้น้ำบาดาล แต่ละหมู่บ้านขุดบ่อบาดาลใช้ร่วมกัน ตามถนนที่ผ่านไปมักพบเป็นบ่อและมีคันโยก แต่ที่น่าเศร้าใจมากคือ ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในบริเวณ เมืองโบราณ บักตะปูร์ และปาทัน ซึ่งอยู่ห่างจากกาฐมาณฑุไม่กี่กิโลเมตรนั่น ยังมีวิถีชีวิตแบบดั้งเดิม เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิตจริงๆ
ได้เห็นผู้หญิงยืนรายรอบบ่อดาล ฉันชะโงกลงไปมอง ไม่สามารถถ่ายรูปภายในบ่อได้ เพราะกลัวว่าไม่ฉันก็กล้องถ่ายรูปอาจตกลงไป บ่อน้ำลึกมาก ประมาณ 15 เมตรน่าจะได้ ภายในมีกระป๋องน้ำมันเครื่องนอนตะแคงอยู่เต็มพื้นบริเวณก้นบ่อ ด้านบนของกระป๋องพลาสติกนั้นถูกตัดให้เป็นช่องและผูกเชือกปอสีน้ำตาลไว้กับหูกระป๋อง เพื่อรอน้ำที่ซึมออกมาที่ก้นบ่อ ฉันมองไปมองเห็นน้ำมีน้อยมาก แต่ละกระป๋องไม่มีน้ำ มีแต่การยืนรอคอยโดยไม่มีกำหนด นานๆทีจะเห็นผู้โชคดีได้สาวเชือกขึ้นมามีน้ำติดก้นกระป๋องมาเพียงเล็กน้อยเพื่อเทเก็บใส่ถังที่บนดิน
ที่เมืองโบราณปาทัน ไม่ต้องสาวน้ำจากบ่อลึก แต่มีบ่อน้ำสาธารณะมีท่อต่อออกมา น้ำสายเล็กไหลอย่างช้าๆลงในภาชนะที่รออยู่ฉันเก็บภาพชาวบ้านต่อคิวรอน้ำโดยการเอากระป๋องมารอกันยาวเหยียด
วันที่ไปเห็นภาพนี้ฉันกำลังมีอาการท้องเสียค่อนข้างรุนแรง ไกด์บอกมีห้องน้ำที่ใน Patan museum ถามคนที่เข้าไปก่อนหน้าบอกว่า เป็นห้องสุขา มีที่รองรับแต่ไม่มีน้ำทำความสะอาด ฉันถามคนดูแลmuseum ขอห้องน้ำที่มีน้ำ เขาบอกเป็นปกติ ไม่มีน้ำหรอก อารมณ์นั้น ใจฉันอุทาน โอ้ว จอร์จ สิ่งที่ฉันกังวลมันก็เป็นจริง วันนั้นฉันได้ฝึกความอดทนต่อสู้สงครามกับข้าศึกภายในที่พยายามจู่โจมอย่างมาก ถึงมากที่สุด เพราะไม่ได้ไปเข้าสุขา ไม่กล้าเผชิญกลิ่นและไม่กล้าทิ้งร่องรอย เกรงใจคนอื่น เมื่อมาใช้น้ำที่โรงแรม ฉันพยายามใช้น้ำให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็นเพราะภาพชาวบ้านที่ขาดแคลนน้ำทำให้ฉันอยากแบ่งปันน้ำที่ฉันมีโอกาสจะใช้ให้พวกเขาบ้าง ฉันไม่ได้ใช้ผ้าเช็ดตัวของรร. ใช้จานชามและส้อมให้น้อยที่สุด อาบน้ำให้น้อยลงเท่าที่จำเป็นโดยใช้สบู่และน้ำให้น้อยเท่าที่ทำได้ รับประทานอาหารแค่พอระงับความหิว แม้ว่าพืชผักที่นี่จะอุดมสมบูรณ์มีปลูกกันทั่วไป แต่ขั้นตอนกว่าจะนำมารับประทานได้ต้องผ่านการทำความสะอาดอย่างมาก เพราะใช้มูลสัตว์และคนด้วยมั้งเป็นปุ๋ย (ไม่มีการใช้สารเคมีเพราะราคาแพง ประชาชนไม่มีกำลังซื้อ ทุกอย่างได้จากธรรมชาติ ) เพื่อลดภาระการใช้น้ำทำความสะอาดแก่ของเหล่านั้น ซึ่งทั้งหมดนี้ถ้าฉันไม่เคยมาพบเห็นความขาดแคลนน้ำจนทราบซึ้งขนาดนี้ ฉันก็ไม่เคยมีนิสัยที่จะจัดทำหรือประหยัดน้ำมากขนาดนี้มาก่อน เพราะพวกเราคนไทยไม่ขาดแคลนเท่าใดนัก มีแม่น้ำที่สะอาดหลายสาย
ฉันเก็บภาพแม่น้ำบักมาติ ระหว่างที่รถแล่นผ่านจึงไม่ค่อยชัดนัก แม่น้ำนี้เป็นแม่น้ำสำคัญใจกลางเมืองกาฐมาณฑุ เหมือนแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ภาพที่เห็นมันเป็นน้ำเน่าแท้ๆสีดำทั้งสาย มีแต่ขยะเต็มแม่น้ำ มองหาสายน้ำแทบไม่เห็น เมื่อรถแล่นผ่านมีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งติดจมูกเข้ามาภายในรถที่ปิดหน้าต่างไว้ แสดงว่าถ้าเปิดหน้าต่างมันต้องเหม็นมากๆ แต่ถึงฉันจะเห็นว่ามันเป็นน้ำเน่าแท้ๆ ประชาชนที่นี่ก็ยังให้ความสำคัญเหมือนแม่น้ำคงคาของอินเดีย พิธีการสำคัญล้วนมาทำที่ริมแม่น้ำนี้ ไกด์เล่าว่า ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปีจะเป็นฤดูกาลแต่งงานของคนที่นี่ จะมีพิธีหมู่ของสตรี เพื่อทำความสะอาดอวัยวะของสตรีหลังการแต่งงาน แม่หรือพี่สาวจะพาเจ้าสาวลงไปในแม่น้ำนี้และวักน้ำในแม่น้ำนี้ล้างอวัยวะให้ครบ 365 ครั้ง และทำกันที่บริเวณวัดปศุปตินาถ ซึ่งเป็นบริเวณที่เผาศพของทุกคนที่นี่นั่นเอง
วัดปศุปตินาถ หรือวัดหลังคาทอง เป็นวัดสำคัญของคนทุกชนชั้นในการทำพิธีศพ เมื่อไกด์หญิงเดินไปถึงเธอคงเครียดมาก เงียบและน้ำตาไหล ปล่อยให้พวกเราเดินชม การเดินชมนั้นมีนักท่องเที่ยวและชาวบ้านมากมายเดินไปอีกฝั่งแม่น้ำตรงข้ามวัด ( แม่น้ำกว้างประมาณ 20 เมตร) เรามองไปฝั่งตรงข้ามเพือดูพิธีการจัดการศพตั้งแต่เริ่มต้น เห็นมีแท่นสี่เหลี่ยมริมแม่น้ำ หลายแท่น แต่ละแท่นมีศพวางอยู่บนฆาต และไฟกำลังลุกบ้างหรือมอดแล้วก็มี ฝั่งแม่น้ำนี้มีคนมากมายมาชมกันเหมือนเป็นเรื่องปกติ รวมทั้งนักท่องเที่ยวชาติต่างๆ แต่ไม่ได้เดินข้ามฟากแม่น้ำไปเพื่อให้เกียรติแก่ญาติ
ฉันเดินเลาะริมแม่น้ำจากถนนใหญ่เข้าไปด้านในเรื่อยๆ มีเด็กเนปาลหนุ่มคนหนึ่ง เดินเข้ามาหาและชี้ชวนให้ดูวิธีการทำศพ ฉันควรเรียกว่าเขาสอนฉันมากกว่าการเล่า เพราะเขาเล่าไปและถามฉันไปด้วยราวกับฉันเป็นเด็กนักเรียนที่เขาต้องสอนให้ฉันเข้าใจ ระหว่างการสอนเขาจ้องเข้ามาในดวงตาเหมือนอยากให้ฉันรับรู้รับทราบเข้าไปถึงจิตใจ เขาชี้ให้ฉันดูแท่นอันแรกที่ทุกศพจะต้องนำมาทำความสะอาดที่นี่ เพราะตำแหน่งนี้มีท่อน้ำต่อมาจากน้ำที่ทำความสะอาดศิวลึงค์ซึ่งถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์อยู่ใจกลางเจดีย์ทองคำ แต่ละเช้าคนจะนำน้ำนมมาสักการะ และน้ำนี่เองที่ต่อท่อมาลงตรงตำแหน่งที่ทำความสะอาดศพได้พอดี เท่ากับว่าศพได้รับการชะล้างด้วยน้ำศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์หรือใครก็จะมาชะล้างที่จุดนี้ทุกคน ที่ต้องมาทำพิธีกรรมริมแม่น้ำเพราะแต่ละคนประกอบด้วยธาตุ 5 อย่าง เพิ่มท้องฟ้า ทั้งหมดจะกลับคืนสู่สภาพเดิม น้ำก็ลงแม่น้ำ ดิน ลมไฟ ท้องฟ้าทั้งหมดอยู่ที่นี่ เขาให้ฉันดูที่เผาศพของกษัตริย์ซึ่งก็คือแท่นสี่เหลี่ยมอันแรก ไม่ว่าฐานันดรใดก็เอาอะไรไปไม่ได้แยกออกเป็น5 ธาตุเหมือนกันที่บริเวณนี้ ที่พักของคนก่อนตายที่วัดนี้ ที่อยู่ของ holyman ในถ้ำข้างๆวัด ดูฤาษีอายุ 103 ปี ดูศาลาอวัยวะชายหญิง 11 ศาลาเท่าจำนวนมเหสีของกษัตริย์ที่สร้าง อธิบายหลักการของธงและมนตราของชาวทิเบต ภายในธงเขียนมนตราไว้ทำให้เมื่อลมพัดบริเวณโดยรอบจะได้รับความศักดิ์สิทธิ์จากมนตรานั้นไปด้วย วันนี้ฉันรู้สึกดีที่ได้ให้เงินเพื่อตอบแทนคำบรรยาย ให้เขาได้นำไปใช้ในสิ่งที่จำเป็นและเพื่อการสละออกของตัวฉันเอง
Create Date : 18 เมษายน 2553 |
|
3 comments |
Last Update : 19 เมษายน 2553 20:05:27 น. |
Counter : 2951 Pageviews. |
|
|
|
ทำให้นึกถึงว่าครั้งหนึ่งเคยไปแวะเนปาลและขึ้นเครื่องบินเล็ก
ผ่านภูเขาหิมาลัยมาลงที่อินเดีย
เลยนำรูปเพื่อนๆในกรุ๊ปที่เคยไปมาอวดซะเลย