ดอกไม้ในฤดูใจของชายพเนจร
ดอกซอมพอสองต้น
เราสองคนช่วยกันปลูกคนละต้น
ผ่านสองฤดูฝน ย่างเข้าต้นฤดูร้อน
ดอกซอมพอแสดออน บานเฉิดฉาย
น้องชายฉันปั่นรถถีบมาเก็บใส่ตะกร้า
ไปให้แม่ใส่ขันบูชาพระ
ดอกซอมพอสวยสะ แม่ฉันชื่นชม
ล่วงอีกปีเธอจากไป
ฝนเหมือนจงใจตกหนัก
ขังเป็นแอ่งท่วมต้นไม้คนรักของฉัน
หลังจากนั้นไม่นาน
ฤดูดอกไม้บานแสนเศร้า
ต้นไม้ต้นหนึ่งรากเน่า อีกต้นเฉารอวันตาย
รอหา...รอหาย....เจ้าของต้นไม้ไม่กลับมา
เจ้าของต้นไม้ไม่กลับมา
๒๐ พฤศจิกายน ๔๗
๑.
วันหนึ่งขณะขับรถบนถนนชานเมืองใหญ่ ผมเห็นตาเบบูญาที่สะพรั่งบานสว่างไสวอยู่เต็มต้น ถูกสายลมหนาวรานร่วงหล่นลงพราวพร่างบนทางเท้าสองฟากถนนและปะปนลงไปในคูน้ำครำสีดำปี๋ บทกวีสีชมพูแห่งกลีบดอกไม้ที่แว่วหวานบานขึ้นในใจก็พลันสั่นไหวว้าเหว่ขึ้นมาวิบ-วิบ
โอ้.. วันเวลาแห่งดอกไม้บานช่างแสนสั้น
แค่สายลมเหมันต์กระพริบตา
ก็ร่วงลาลงรอน-รอน...
ปีกนกฝันก็พลันอาวรณ์ถวิล คิดถึงเทือกถิ่นและรวงรัง กระทั่งแสงแดดอุ่นกรุ่นหอม แวมวอมแห่งแสงใจและฟุ้งกระไอหมอกที่บ้านนอกคอกนา
คิดถึงลอมฟางซังหญ้ากลางทุ่งกว้าง ฟูกฟางกลางลานนวดหลังเก็บเกี่ยวและเขียวแดงของใบไม้ที่ว่อนไหวคว้างในสายลมหนาว ขณะวัวสีขาว-น้ำตาลผูกแร้ว เคี้ยวเอื้องอย่างเชื่องช้า เช่นเดียวกับสายธารสีทองที่ล่องเอื่อยไหล ในอ้อมกอดสีน้ำเงินของเทือกสันผีปันน้ำ เบื้องล่าง...บึงสีครามกลางหุบเขากระจ่างเงาเมฆขาวราวยวงฝ้าย....
ล่วงเข้าปีใหม่คือห้วงเวลาแห่งดอกไม้บานและเทศกาลเพลงของหมู่วิหค ห้วงเวลาของการผกผินบินเริงของหมู่มวลภมร เหนือดงดาวกระจายสีเหลือง ดาวเรือง-คำปู้จู้ในหมู่บ้าน ดอกกระดาษ แคแสด อโศก สีตรัง กัลปพฤกษ์ ผีเสื้อ ทองหลางกระทั่ง ดอกแปบม่วง-ขาว และราวริ้วหมอกที่ลอยพาดลาดเชิงเขา
บัวตองเหลืองพราวเต็มหุบเขาลำเนาเนิน ชงโค เสลา ลดาวัลย์ ชมพูภูพิงค์(ซากุระแห่งดงดอย)และเสี้ยวขาวดอกน้อยแต้มราวป่า หากดอกปีบต่างหากคือนางพญา เนื่องด้วย ดอกปีบหอมนวลยวนเย้า ทำให้สายลมเช้าเดือนหนาวสดชื่น
หมู่มวลดอกไม้มาร่ายมนต์สะกดคนผู้ผ่านทางสัญจรเมื่อหนาวรอนและร้อนเริงถลามา ราวกับรู้ว่า ผืนป่าคงจะเศร้าเหงาหงอย ดงดอยหม่นไหม้ด้วยไฟป่า ใบไม้ทิ้งใบลากิ่งก้านร่วงโกร๋น และแดดแล้งจะโชนประกายไหม้แผด
ดอกไม้จึงแข่งกันบานแวดท้องทุ่ง คุ้งน้ำ ลาดเชิงเขา และหลืบพงดงป่า เบิกสีสันอันเจิดจ้าสลับสลอน เสมือนหนึ่งบทกลอนแห่งฤดูกาล ประทานพรแด่สรรพชีวิตที่อยู่อาศัยในดินแดนนั้น นั้น
เป็นที่น่าสังเกตว่า ยิ่งเขตร้อนชื้น ดอกไม้ยิ่งมีสีเฉิดฉัน ยิ่งพื้นที่ดอนแห้งแล้ง ยิ่งผลัดใบแทงดอกหมดต้นเต็มเถา ดูแต่ดอกเครือออน และพวงแสดเป็นตัวอย่าง ( ออน ภาษาบ้านผมหมายถึง สีชมพู) ดอกเครือออน ถ้าสีแดง สีขาวเงินคนกรุงเขาเรียกว่าพวงประดิษฐ์ (คงเห็นพวงละเอียด กลีบดอกบานชิดราวประดิดประดอยนั่นกระมัง)
๒.
คุณมีดอกไม้แห่งความรักความหลังบ้างไหม
ผมเคยฝังใจกับประดู่แดงหลังที่ทำการป่าไม้ตาก เสียดมเสียดาย รูปถ่ายที่หายไปกับโน้ตบุ้คตัวเก่า ไม่มีสำเนาเก็บไว้ กุมภาพันธ์ครั้งไรก็เวียนไปแวะหวังจะถ่ายรูปเก็บ แต่ก็ไม่ได้จังหวะ ดอกไม้ใช่จะบานทุกปี แต่พระเจ้าก็มีของขวัญชดเชยให้ด้วยดอกประดู่สีน้ำนมที่ร่วงห่มถนนละแวกที่ทำการเทศบาล งามจับจิตจับใจ และเหลืองสว่างไสวของชัยพฤกษ์ในเวลาถัดมา
มีดอกไม้น้อยสีฟ้าชนิดหนึ่งซึ่งกลีบดอกหมุนคว้างอยู่กลางใจผมเสมอ ๆ ผมพยายามปลูกแต่ไม่เคยประสบผล ประหนึ่งเธอเกรงว่าจะทำลายภาพฝันของผมเสียหายอย่างนั้นแหละ
ชื่อของเธอที่แสนหวงห่วงคือ พวงคราม
จนป่านฉะนี้ผมก็ยังตามหาเธอไม่พบ
เช่นเดียวกับดอกแคป่าที่หัวนาหัวไร่ไม่ไกลจากบ้านเก่า (เหย้าริมยม อำเภอชุมแสง เวียงชอนตาวัน)ของผม ชาวบ้านเขาเรียกดอกแคขาว หรือลั่นทมขาว หากชาวกรุงเขาเรียกกาญจนิการ์(ผมมารู้ทีหลัง) เป็นไม้ต้นขนาดไม่ใหญ่เท่าไหร่ แต่บันบานกระจ่างเร้าใจ โดยเฉพาะตอนร่วงพรูลงสู่ผืนดิน ผมถึงขนาดไปปูเสื่อรอรับ
ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกว่าดอกอะไร ดอกสีขาวเป็นรูปแตร กลางดอกมีสีเหลือง ขอบกลีบบิดย้วยระทวยระทดบอบบางอย่างหญิงสาวสูงศักดิ์ผู้น่าทนุถนอม เสียดายที่ไม่หอม แต่ถึงกระนั้นผมก็ชอบที่จะเก็บมาห่มห้อมดอมดม ด้วยใจที่ง่ายและโง่งมงาย
หนสุดท้าย ใครคนหนึ่งทำหัวใจผมสลาย เขาบอกว่า แคขาวลวกกินกับน้ำพริกได้ ก่อนจะหย่อนร่างสาวขาวใสของเธอลงในน้ำที่กำลังเดือดพลั่ก...
๓.
อาวรณ์ถวิล...ติดปีกโบยบินไปไกลแสนไกล
คุณอยู่ที่ไหนนะตอนนี้ คิดถึงวันที่ไปกรำแดดเที่ยวขุดหาต้นกล้าทองกวาวมาปลูกกัน ชาวบ้านเห็นเข้าก็ขบขันหัวเราะร่วน ว่าดอกกว๋าวเป็นไม้ดอยไม้ป่า ขึ้นเองถมไปไม่มีใครเขาให้ค่านำมาปลูกหรอก แต่คุณก็ไม่เคยย่อท้อ นั่นเป็นเพราะเห็นว่าผมชอบ เราถือจอบเสียมเตรียบพร้อม ผูกไว้บนอานจักรยาน ปั่นไปทั่วถิ่นท้องทุ่งทองกวาว ขุดกันเหงื่อไหลไคลย้อย แต่ช่างเป็นริ้วรอยเวลานาทีที่แสนอุ่น คุณขอร้องให้ผมร้องเพลงกระท่อมทองกวาวให้ฟัง ผมก็ร้องถูกบ้างผิดบ้าง กระทั่งกลายเป็นเพลงรังรักในจินตนาการไปไม่รู้ตัว...
แล้วยังดอกซอมพอ เฟื่องฝันของสองเราอีกล่ะ
ตรงเส้นขอบฟ้าของความอ่อนไหว ผมเห็นใบหน้ามอมแมมของคุณในเรือนเพาะชำ ในหลุมย่ำดินขมีขมันเพื่อรังสรรค์กระท่อมดิน แปลกที่ แปลกถิ่น ต่างเชื้อชาติต่างภาษา กว่าที่คุณจะรู้ว่าซอมพอต้นเล็กกว่าดอกหางนกยูงและมักจะมีสีเหลืองละมุนอ่อนโยน....และรู้ว่าเกสรดอกงิ้วนั้นคนบ้านผมเขานำมาทำเป็นอาหาร(และคุณก็รับประทานมันลงไปโดยไม่รู้ว่าเป็นอะไร)
พอคุณรู้ คุณก็ฝึกผิวปากเป็นการใหญ่ เพื่อไปแหงนหน้าอยู่ใต้ต้นงิ้วกับหมู่เด็ก ช่วยกันผิวปากเรียกสายลมให้ช่วยปลิดดอกงิ้วลื่วลงมาใส่ตะกร้า ไม่น่าเชื่อ..คุณว่า ช่อเกสรสีสวยลออตาคืออาหารแสนอร่อย เมื่อนำมันไปตากแดดให้แห้ง เตรียมไว้ใส่ แกงแค แกงโฮะ และที่ขึ้นชื่อว่าเป็นชู้กัน ก็คือ ขนมเส้นน้ำเงี้ยว ถ้าขาดดอกงิ้วโรยในน้ำแกงก็คงไม่ใช่น้ำเงี้ยวที่สมบูรณ์แบบ ( คนเงี้ยว หรือคนไทยใหญ่เป็นเจ้าตำรับ คนเหนือจึงเรียกสูตรขนมจีนชนิดนี้ว่าน้ำเงี้ยว)
น้ำเงี้ยว ต้องใส่ดอกงิ้ว เช่นเดียวกันเครื่องแนมจะขาดไม่ได้คือ ผักกาดดอง ถั่วงอก หนังปอง(ของโปรดของคุณ) แค็บหมู พริกคั่วและ พริกทอด(ที่เพิ่งทอดใหม่ ๆ) กระเทียมเจียว ผักชีต้นหอมหั่นหยาบและมะนาวปรุงรส..
๔.
ดอกไม้ที่บานคู่เคียงกันกับดอกงิ้วคือ ทองกวาวที่สะพรั่งพราวแผดราวป่า สีสันเจิดจ้าราวเปลวไฟ นั่นกระมังจึงไม่ยักมีใครนำไปประกอบอาหาร ทองกวาวสวยน่าเอามาชุบแป้งทอด คุณเคยอยากทดลอง แต่ผมห้ามไว้ แสร้งว่า ดอกไม้กลีบหนาไม่น่าอร่อยหรอก... ว่ากันตามจริง ดอกไม้แทบจะทุกชนิดก็กินได้แทบทั้งนั้นแหละนะผมว่า (อร่อยไม่อร่อยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง)
ดอกกุหลาบ ดอกกล้วยไม้ พลิกแพลงทำอาหารได้หลายอย่าง มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาฉลาดหารับประทานดอกไม้ ดอกสะเลียม(สะเดา) ดอกข่า ดอกขิง ดอกกระเจียว ดอกขจร ดอกสลิด ดอกกระเทียม ดอกนางลาว (หน้าตาคล้ายดอกข่า) ดอกแค และอีกหลายชนิด(ที่นึกไม่ออก)บ้านผมน้ำมาผัดต้มลวกแกง และกินสด ๆ แนมน้ำพริก
ดอกข่าถือว่าเป็นอาหารคลาสสิกต้องนำไปดอง กินประคองเคียงกับลาบ-หลู้ เป็นชู้อันดับหนึ่งของยอดชายที่ดิบเถื่อน ด้วยเพื่อนข่ามีคุณสมบัติจัดจ้าน ขับไล่ลมแก้ท้องขึ้นอืดเฟ้อดีนัก
แต่ก็นั่นแหละ ผมไม่เคยประสบผลสำเร็จในการปลูกขิงปลูกข่ารวมทั้งสะระแหน่ นั่นเป็นเพราะดินมากกว่าว่าผมเป็นคนมือร้อน เพราะดอกไม้ดอกไร่นั้นผมก็ปลูกขึ้น สวยงามมากมาย กระทั่งใครต่อใครก็ล้อว่า ปลูกแต่ไม้ดอกไร้ค่า นำมาเป็นอาหารไม่ได้...
ผมก็ไม่อยากจะถกเถียงให้เคืองกันเปล่าปลี้
ไม่มีดอกไม้ชนิดไหนไร้ค่าหรอก แม้ กระทั่งดอกหญ้า อย่างน้อยก็เป็นอาหารตาอาหารใจ ซึ่งว่าไปก็สำคัญกว่าอาหารปากเสียอีก คุณว่าไหม
๕.
ถนนสายดอกไม้ยังไม่สุดสิ้น ขณะขับรถใจผมบินกลับบ้าน
คิดถึงตาเบบูญ่า ที่ปลูกไว้รายรั้ว (รวมถึงลูกวัวที่ฝากเขาเลี้ยงไว้) ลมแล้งคงยังไม่บานหรอกตอนนี้ ตะแบกและเสลาเล่า จะบานหรือยังหนอ... รอเห็นเหลืองตัดกับม่วงของดอกจ้อล่อเมื่อปลายร้อน ตอนนี้หลับตาก็มองเห็นพวงแสดเหลืองทองบานจนรั้วไม้สะลาบรอบเรือนยวบ...
ศรีมาลายังบานค้างร้านไม้เหนือประตูทางเดินเข้ากระท่อมดินหรือเปล่า อยากเห็นเหลืองเริงของลมแล้งบานแฉ่งตัดกับม่วงระบัดของตะแบก อยากเห็นสีแสดส้มเฉิดฉายของทองกวาวตัดกับสีฟ้าของฟ้าและเขียวกระจ่างตาของใบแสงจันทร์หน้ากระท่อม
ป่านฉะนี้แสงจันทร์และสายลมหอมคงตรมตรอมใจ อีกเมื่อไหร่เจ้าของกระท่อมดอกไม้เขาถึงจะกลับ ไปแล้วไปลับ...
ดอกไม้น้อยเจ้าคงเศร้าใจ....ทิ้งกลีบใบร่วงพรูลงผล็อย-ผล็อย..
เหลือไว้แต่รอยอาลัย ในสายลมแห่งกาลเวลา..
กระท่อมดิน- ทุ่งดาว
นิตยสารกุลสตรี ก.พ.2551 ฉ.891 ปักษ์หลัง
พิบูลศักดิ์ ละครพล
โหวตคอลัมน์ คลิก
//www.kullastree.com/site/index.php?option=com_content&task=view&id=664&Itemid=48
เหนื่อยหัวใจ ต้องแชร์ครึ่งหนึ่งของชีวิตให้แมวร่วมใช้ด้วย เฮ้อ...อออ #>__<#