ชอบในสิ่งที่เลือก กับเลือกในสิ่งที่ชอบ อยู่ที่คุณตัดสินใจ ชีวิตของคุณ คุณคือผู้ลิขิต
Group Blog
 
<<
มกราคม 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
13 มกราคม 2551
 
All Blogs
 

กระดาษใบเก่า กับมุมเหงาๆ

หลังจากที่ปล่อยให้มุมหนังสือรกรุงรังมานาน หนังสือบนชั้นวางไม่เป็นระเบียบ หนังสืบนโต๊ะอยู่ในสภาพคว่ำหน้าลงบนโต๊ะ เปิดหน้าที่ฉันอ่านค้างไว้ ช่วงหยุดหลายวันที่ผ่านมาฉันได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการจัดหนังสือเหล่านี้ให้เข้าที่ แยกหนังสือเรียน หนังสือคู่มือเตรียมสอบ ออกไว้เป็นวิชาๆ แยกหนังสืออ่านเล่นไว้อีกชั้นหนึ่ง หนังสือการ์ตูนของน้องชายเก็บใส่กล่อง

กว่าจะจัดเสร็จก็ใช้เวลาเกือบครึ่งวัน แต่เมื่อจัดมันเสร็จแล้วก็ทำให้ห้องนอนของฉันดูดีขึ้นเยอะ ต่างจากสภาพก่อนที่จะจัด มีทั้งกระดาษเศษที่ผ่านการใช้วางทับซ้อนกับไม่เป็นระเบียบ สมุดเรียนเก่าวางระเกะระกะบริเวรใกล้โต๊ะทำการบ้าน หนังสือคู่มือต่างๆวางไม่เป็นระเบียบ ผสมปนเปกันไปหมด เมื่อก่อนถ้าแม่เห็นห้องฉันอยู่ในสภาพนี้ แม่มักจะบ่นฉันบ่อยๆว่าทำไมไม่เก็บห้องให้เรียบร้อย อ่านหนังสือทำไมไม่เก็บให้เข้าที่ เวลาอ่านหนังสือทำไมชอบพับมุมหนังสือ หรือไม่ก็ชอบกางหนังสือคว้ำหน้าที่อ่านค้างไว้กับโต๊ะ ไม่สงสารหนังสือบ้างหรือ วางหนังสือระเกะ ระกะ เวลาจะเดินก็ลำบาก ลูกกำลังเรียนหนังสือ เดินเหยียบเดินข้ามหนังสือมันไม่ดีนะลูก........ฯลฯ

ฉันรู้สึกว่าแม่ไม่เคยขี้เกียจที่จะบ่นว่าลูกสาวคนนี้ของแม่เลย แต่ฉันก็มักจะมีข้อแก้ตัวเสมอ ฉันชอบแก้ตัวว่า ฉันเก็บเอาไว้แบบนี้มันหาง่ายดี จะหาอะไรก็รื้อๆค้นๆเอา ฉันหาเจอง่ายดี ฉันเป็นคนเก็บเวลาจะหาก็หาง่าย ความจริงไม่ได้ตั้งใจเก็บอย่างที่พูดหรอก เพียงแค่ความเคยชินว่าเอาอะไรกองไว้ตรงไหนเลยจำได้เวลาค้นหา เพราะถ้าวันไหนแม่ทนเห็นความรุงรังของห้องนอนของฉันไม่ไหว แม่ก็จะมาจัดการเก็บให้ฉัน และถ้าหากเมื่อไหร่แม่มาจัดการเก็บของในห้องของฉัน แล้วฉันมาค้นหาของที่ฉันต้องการมักจะไม่เจอเสมอ

“แม่ๆๆๆหนังสือพี่อยู่ไหน” ฉันตะโกนมาจากห้องนอน
“แม่เก็บไว้บนชั้นลูก” แม่ตะโกนมาจากห้องครัว
“ชั้นไหนละแม่ หนังสือที่พี่กางเอาไว้บนต๊ะนี้นะแม่”
“อื้อ หนังสือที่อยู่บนโต๊ะ แม่เก็บเอาไว้ชั้นแรกนะ” ทุกๆครั้งที่แม่มาจัดห้องให้ฉัน แม่มักจะต้องคอยตอบคำถามฉันเสมอว่าอะไรอยู่ที่ไหน แต่ก็ดูเหมือนแม่ไม่เคยเบื่อ
.............................................................................................................................................................

“แม่ๆๆๆ รายงานพี่อยู่ไหน” ฉันตะโกนจากห้องนอน
“รายงานอะไรลูก” แม่ตะโกนมาจากห้องครัว
“ก็กระดาษที่พี่เอาวางกองๆกันไว้ข้างล่างโต๊ะเขียนหนังสือ”
“ที่วางข้างโต๊ะหนังสือเหรอ”
“ฮือ มันมีประมาณ 20 กว่าแผ่น พี่นังเขียนเมื่อคืนที่แล้ว เขียนเสร็จก็วางไว้ข้างโต๊ะ ไม่ได้รวมเล่ม จะส่งพรุ่งนี้นะแม่”
“ใช่กระดาษพวกนี้หรือเปล่า” แม่ถือกระดาษอยู่ในมือ
“ไหนแม่ ใช่แล้วแม่ แม่เอามันไว้ไหน พี่หาตั้งนาน”
“แม่เก็บมันมาจากถังขยะ บางส่วนน้องขอไปพับกระดาษ แม่ก็ยกให้ไป”
“..........”

เหตุการณ์ในเย็นวันหนึ่งหลังจากที่เมื่อคือวานฉันนั่งเขียนรายงาน ด้วยความเคยชิน ที่เวลาเขียนเสร็จมักจะโยนมันลงไว้ข้างโต๊ะเขียนหนังสือ ลองเดาสิค่ะว่าในวันนั้นใครโกรธใคร ความจริงฉันน่าจะต้องเป็นฝ่ายโกรธ แต่ฉันยังไม่ทันได้โกรธ แม่ก็ชิ่งดุฉันเสียก่อน ก่อนที่ฉันจะได้งอนแม่ เป็นอันว่าฉันผิดที่ไม่รู้จักเก็บข้าวของให้เรียบร้อย ความจริงฉันก็ผิดจริงๆ เพราะถ้าเชื่อแม่ตั้งแต่แรก เหตุการณ์เช่นนี้คงไม่เกิดขึ้น บทเรียนครั้งนี้คือฉันต้องนั่งเขียนรางงานใหม่ เพื่อที่จะส่งให้ทันในวันพรุ่งนี้

แต่คราวนี้แปลก โต๊ะหนังสือของฉันยังคงดูอยู่ในสภาพเดิม เหมือนกับว่าทุกๆวันฉันยังใช้มันอยู่ แม่ไม่เข้ามาเก็บมันให้เรียบร้อยเหมือนก่อน จะรู้แต่เพียงว่าแม่เข้ามาทำความสะอาดมันก็เพราะว่าไม่มีฝุ่นเกาะตามชั้นหนังสือหรือบนโต๊ะ เพราะมันยังมีเศษกระดาษที่เหลือจากการกระทำของฉันอยู่ บางแผ่นถูกขย่ำยู่ยี้ นั้นแสดงว่าเวลานั้นฉันคงจะอยู่ในอารมณ์ที่ไม่ชอบใจในผลงานของตัวเองนัก บางแผ่นวางสอดในสมุด บางแผ่นวางกองรวมกันอยู่บนโต๊ะ และบางแผ่นถูกขย่ำใสลงในถังขยะ

ฉันคลี่ออกมาดูทีละแผ่นทีละแผ่น กระดาษบางแผ่นเป็นฝีมือการวาดรูปของน้องชายฉันที่เขาวาดให้ฉันบ้าง เขาวาดเล่นเวลามาเฝ้าฉันทำการงานศิลปะส่งอาจารย์บ้าง แต่มีภาพหมาที่เขาวาดให้ฉัน และฉันก็เก็บมันติดตัวเอาไว้ในแฟ้มเอกสารของฉันตลอด บางแผ่นเป็นเพียงกระดาษเขียนรายงานส่งอาจารย์ ที่ไม่ได้รับการคัดเลือกให้นำเสนอในเล่มรายงาน บางแผ่นเป็นภาพวาดของฉัน ที่บางอารมณ์นึกอยากวาดภาพขึ้นมา จานสียังมีร่องรอยผ่านการใช้วางอยู่ใต้โต๊ะ

มีข้อความหนึ่งบนกระดาษที่วาดภาพยังไม่เสร็จ เป็นเพียงภาพที่ถูกร่างด้วยสีน้ำจางๆ ไม่ได้เก็บรายละเอียดใดๆ มันเป็นภาพทุ่งนาสีเหลืองและภูเขาสีเขียวหลังบ้านบ้านของฉัน จุดเด่นตรงกลางกระดาษเป็นกระต็อบกลางทุ่งนาอยู่ใต้ต้นทองกวาวออกดอกสีแสดตัดกับทุ่งนาสีเหลืองและภูเขาสีเขียว บนหลังคากระตอบมีจุดสีแสด แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะวาดภาพดอกร่วงลงมาที่หลังคา
มีชื่อเรื่องด้วย ความเหงากับการรอ

“บางครั้งความเหงา
ก็ทำให้เรารู้สึกเศร้า
แต่บางครั้ง......
ความเหงา
ก็ทำให้เราคิดอะไรดีๆได้
เช่นเดียวกับการรอ
ที่ทำให้เราหงุดหงิดบ้างในบางครั้ง
แต่ในบางครั้งมันก็ทำให้ใจเราสงบ
ที่สำคัญมันทำให้เราเห็นค่าของเวลา
เวลาสำหรับการรออาจน่าเบื่อ
ผ่านไปอย่างช้าๆน่ารำคาญ
แต่...คุณค่าของการรอ
อยู่ที่ว่า..
มันทำให้เราได้อยู่กับตัวเอง”

7 พฤษภาคม 2549



ข้อความนี้เป็นข้อความที่ฉันเขียนขึ้นมาเอง มันเป็นความรู้สึกในช่วงเวลาหลังจบมัธยมศึกษาตอนปลายแล้ว และฉันกำลังรอผลการสอบเข้าเรียนต่อ จึงพอมีเวลาว่างให่คิดฟุ่งซ่าน และวาดภาพตามใจชอบ แต่ภาพส่วนใหญ่ก็อยู่ในสภาพที่วาดไม่เสร็จ กระดาษร้อยปอนด์แบ่งสี่ หลายแผ่นเป็นภาพวาดรูปทุ่งนาภูเขาหลังบ้านฉัน เวลาที่ฉันเดินมาหลั่งบ้าน เอาเท้าแช่น้ำมองดูภูเขาทุ่งนาหลังบ้าน มักจะทำให้ฉันนึกอยากได้ภาพวาดเก็บไว้สักใบหนึ่ง ฉันจึงมักจะกลับขึ้นไปบนบ้าน ไปหยิบสีนานาชนิดที่มี มาลงมือวาด แต่ก็มักจะประสบความล้มเหลวเสมอ

มีกระดาษอีก 3 แผ่นที่ทำให้ฉันสดุจตา เขียนด้วยตัวบรรจง แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจของคนเขียน ลายมือนั้นไม่ใช่ลายมือของใคร เป็นรายมือของฉันเอง

แผ่นที่ 1

“พ่อ.
แก่มากแล้วนะ
พระคุณและเกียรติของพ่อ
ยังไม่ถูกแทะทิ้งโดยมดปลวกตัวใด
เกียรติภูมิของพ่อ
ไม่ได้ถูกลบหลู่
ยังยืนตระหง่านอยู่
เหนือความภูมิใจของลูกลูก

แต่พ่อ.......
น้ำร้อนหลายหม้อ
ชึ่งพ่อเคยอาบมาก่อนนั้น
บัดนี้หม้อใบนั้นอยู่ที่ไหน
และเรื่องราวที่พ่อเคยเล่า
วิธีต้อนฝูงสัตว์ออกไปเลี้ยง
การล่ากวางในป่าทึบ
การหนีเสือในป่าเปลี่ยว
การเดินป่ายามค่ำคืน
ตลอดจนการเผชิญหน้ากับผีดุ
เรื่องราวที่พ่อสุดแสนภูมิใจ
ได้ตายไปแล้ว
ในวันเวลาของลูก

แต่เกียรติภูมิของพ่อยังเหมือนเดิม
เพียงแต่พ่อไม่ต้องอ้างถึงหม้อน้ำร้อนใบนั้น
ยินดีที่จะรับฟังคำพูดที่แตกต่างของลูกๆ
(ไม่ใช่โตเถียง)
อย่าตัดสินเรื่องราวที่พ่อไม่ได้รู้เห็น
อย่าเอาเส้นผมสีขาว
มายืนยันความถูกต้อง
และอ้างฟันชี่ที่หักไปแล้วเป็นพยาน

ขอยืนยัน
เกียรติภูมิของพ่อยังเหมือนเดิม
เพียงแต่พ่อชื่นชมกับความแตกต่าง
และเล่านิทานเก่าๆของพ่อ
อย่างภาคภูมิใจ
โดยไม่คิดว่า
เรื่องราวกำลังเกิดขึ้น
ในวันเวลาของลูก

เกียริติภูมิของพ่อนั้น
ยังตระหง่านอยู่เหนือความภูมิใจ
บทเรียนใดๆของพ่อ
ยังเปี่ยมคุณค่า
ขอยืนยัน
เกีนรติภูมิของพ่อยังเหมือเดิม
เพียงแต่........เมือวานนี้
ไม่ใช่วันพรุ่งนี้เท่านั้นเอง”


นำมาจาก หนังสือของขวัญจากวันเวลา
เขียนโดย มุฮัมหมัด ส่าเหล็ม



แผ่นที่ 2

“ปล่อยให้กระทิงป่า
ลิงโลดไปในโลกของมันเกิดแม่
อย่าหวั่นว่า...
อันตรายใดๆจะพรากชีวิตไป
เรื่องราวที่เกิดขึ้น
ไม่ว่าดำหรือขาว
รื่นเริงหรือเจ็บปวด
จะเติมเต็มให้กับชีวิต
และทำให้การกำเนิดสมบูรณ์

แม่ให้กำเนดิและเลี้ยงดูเรือนร่าง
แต่แม่ไม่มีสิทธิ์กักขัง
ชีวิตของมันจะบกพร่อง
ถ้าแม่ไม่ยินดีให้กระโจนไปสู่ป่า
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมัน

แวววิตกในดวงตาของแม่
หวาดหวั่นกับการพรากจาก
กลัวว่าอุปสรรคจะสกัดกั้นการกลับมา
แต่แม่รู้ไหมว่า
การอารักขาไม่ใช่หน้าที่ของแม่

ตราบเท่าที่มีชีวิตอยู่
มันจะต้องกลับคืนมาสู่สายธารของแม่
สายธารซึ่งมันเคยดื่มกินและแหวกว่าย
หากแม้ความจำเป็นใดๆห้ามการหวนคืน
แม่รู้ไว้เถิดว่า
สายธารของแม่
ยังไหลเยมอยู่ในดวงใจกตัญญูของมัน”


นำมาจาก หนังสือของขวัญจากวันเวลา
เขียนโดย มุฮัมหมัด ส่าเหล็ม



และแผ่นที่ 3

“บุตรและธิดาของข้า
ด้วยความรัก
ข้าได้กล่อมเกลี้ยงทะนุถนอมเจ้า
เรือนร่างและผิวพรรณของเจ้าเอิบอิ่ม
มีดวงตาอันร่าเริง
ริมฝีปากระเรื่อแย้มยิ้ม
สองแก้มอันเปล่งปลั่ง
ชวนจุมพิต
เรือนผมเผยิบสยายต้องลม
ชวนลูบไล้
น้ำเสียงอันเจื้อยแจ้วของเจ้า
ทำให้ข้าต้องรีบกลับเคหา
น้ำตาของเจ้า
ทำให้หัวใจข้าสั่นไหว
เสียงร้องไห้ของเจ้า
ทำให้ดวงตาของข้าตระหนก
เสียงหัวเราะของเจ้า
ทำให้หัวใจของข้าร่าเริง
ข้าได้เสียสละแก่เจ้า
เพื่อประดับประดาให้แก่ชีวิตข้า
เพื่อเจ้าจะได้อยู่ในอ้อมกอดของข้า
และได้โอ้อวดแก่สาธารณชนว่า
ความสวยงามเป็นโลกของข้า
ปัจจัยอันเลอเลิศ
อยู่ในกรรมสิทธิ์ของข้า
ข้าเป็นผู้ให้เพื่อตัวข้าเอง
แล้วข้าก็เรียกสิ่งนั้นว่า
ความรักและการเสียสละ
ชีวิตของเจ้า
เป็นส่วนประกอบหนึ่งของชีวิตข้า
ข้าหวังให้เจ้าอยู่
ตราบนิรันดร์

บุตรและธิดาของข้า
ขณะที่ข้าก้มจุมพิตเจ้า
ข้าต้องตื่นตระหนก
เมื่อได้เห็นดวงตาอันดุร้ายของเจ้า
มองผู้เป็นบิดาอย่างเคือดแคนชินชัง
จับจ้องข้าประหนึ่งดังเป็นอาชญากร
ข้าหวาดกลัวและรู้สึกสยดสยอง
หลังจากนั้น
ดวงตาของเจ้า
ได้ติดตามข้าไปทุกหนทุกแห่ง
จนหมดทางจะหลบหนี

บุตรและธิดาของข้า
ข้าตื่นขึ้นแล้ว
มองเห็นคุกอันเข้มแข็งของข้า
ได้กักขังวิญญาณของเจ้าเอาไว้
เจ้าถูกคุกคามจนอ่อนเปลี้ย
นับต่อแต่นี้
เจ้าจงออกไปจากคุกของข้า
รื่นเริงไปตามวิถีชีวิตของเจ้า
ออกไปเถิด!
ประตูได้ถูกเปิดออกแล้ว
อย่าปล่อยให้ผู้ที่เรียกตัวเองว่าพ่อ
ตกเป็นอาชญากรอีกเลย
บุตรและธิดาของข้า
โลกใบนี้เป็นอานาจักรของเจ้า
ไม่ใช่เพียงอ้อมกอดของข้า
สัญจรไปเถิด
เจ้าจะให้ข้าจุมพิตหรือไม่ก็ได้
ข้าไม่มีสิทธ์”


นำมาจาก หนังสือของขวัญจากวันเวลา
เขียนโดย มุฮัมหมัด ส่าเหล็ม



กระดาษสามแผ่นนี้ปกติฉันจะติดมันไว้หน้าห้องนอนของพ่อกับแม่ เป็นบทกลอนที่ฉันคัดลอกมาจากหนังสือของขวัญจากวันเวลา โดยคนเขียนที่ชื่อว่ามุฮัมมัด ส่าเหล็ม ฉันรู้สึกประทับใจหนังสือเล่มนี้อยู่มิใช่น้อย ทั้งการได้มาโดยบังเอิญจากการไปค้นหาหนังสือเรียนหลักสูตร วิทยาศาสตร์โครงสร้าง 3 จากร้านหนังสือมือสอง และเปิดดูอายุการพิมพ์ของมัน ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกชอบมันมากขึ้น มันมีอายุน้อยกว่าฉันเพียงแค่ปีเดียว

ในเวลาที่ฉันอยากทำอะไรตามใจตนเอง โดยเฉพาะอยากไปเที่ยวกับเพื่อนๆ แล้วพ่อกับแม่ไม่อนุญาต ฉันจะมายืนตรงหน้าห้องของพ่อกับแม่ แล้วตระโกนอ่านมันจนสุดเสียงที่มี เอาแบบว่าแน่ใจว่าพ่อกับแม่จะต้องได้ยินเสียงของฉันชัดเจน ฉันจะเริ่มอ่านจากแผ่นที่ 1 มาเป็นลำดับจนถึงแผ่นที่ 3 หากบางครั้งวิธีนี้ก็ได้ผล เพราะพ่อกับแม่เกรงใจคนข้างบ้านที่ต้องทนฟังฉันอ่านบทกลอนพวกนี้ พ่อกับแม่อนุญาติ แต่บางครั้งการใช้วิธีนี้ก็ไม่ได้ผลเสมอไป ทางออกคือเราเจอกันคนละครึ่งทาง ฉันได้ไปแต่จะมีพ่อหรือแม่ตามไปด้วยเสมอ โดยคอยดูฉันอยู่ห่างๆ

ไม่ใช่แต่พ่อกับแม่ที่คอยดูฉันอยู่ห่างๆ ฉันเองก็พยายามสังเกตุพ่อกับแม่ว่ามีปฎิกริยาเช่นใดเหมือนกัน ฉันก็เข้าใจว่าท่านพยายามที่จะเข้ากับความคิดของฉัน พยายามทำตัวให้กลมกลืน แม่จะไม่ตักเตือนทันทีที่ฉันทำไม่ถูกใจแม่ แต่เมื่อกลับมาที่บ้านแล้ว แม่จะบอกว่าการแสดงออกเช่นนั้น ในสายตาคนอื่นเขาคิดเช่นใด ควรหรือไม่ควรทำแม่ว่าลูกคิดเองได้

บัดนี้มุมอ่านหนังสือทำการบ้านของฉัน ได้รับการเก็บกวาดเสร็จแล้ว ด้วยฝีมือของฉัน คนที่เคยแต่ทำให้มันรกรุงรังมาตลอด คงถึงเวลาที่ฉันจะทำอะไรเพื่อขอบใจมันบ้าง ในความเป็นมิตรภาพที่มันมีให้ฉันตลอดมา ไม่ว่าในวันที่เหงา เศร้า สุข ทุกข์ใจ ฉันไม่ลืมที่จะกระซิบขอบคุณมันก่อนออกจากบ้าน บอกมันว่าเธอเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต ที่ทำให้ฉันมีวันนี้ ขอบใจ และต่อไปนี้เธอจะไม่เหงาอีกต่อไปเมื่อไม่มีฉันอยู่ที่บ้าน เพราะทุกๆวันเธอจะมีน้องชายของฉันอยู่เป็นเพื่อนเธอ





 

Create Date : 13 มกราคม 2551
13 comments
Last Update : 5 มีนาคม 2551 18:36:30 น.
Counter : 523 Pageviews.

 

แม่ของน้องเบญจ์นี่ สงสัยจะอยู่กับพี่ได้
จะชอบความเป็นระเบียบของตู้โต๊ะหนังสือจะวางไว้อย่างดีเก็บเข้าที่ทุกครั้งที่อ่าน แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เหมือนคือ พี่ไม่ชอบปัดฝุ่น เพราะปัดทีไรแพ้มันทุกที ก็เลยต้องอาศัยให้แม่พี่ทำให้ แหะๆ

บทกลอนที่น้องนำมาวันนี้ชอบทุกบทเลยจ๊ะ

วันนี้น้องเขียนได้น่าอ่านมากๆเลยรู้ไหม

 

โดย: มัยดีนาห์ 13 มกราคม 2551 9:36:11 น.  

 

เอากำลังใจมาฝากคนสอบ
สักสองสามกระสอบ
จะพอไหม อิอิ




โดย: หมี่เกี๊ยว IP: 198.142.231.109 10 มกราคม 2551
20:11:37 น.

สวัสดีค่ะพี่ซิมมี่

ได้รับแล้วค่ะ ขอบคุณค่ะ
หลังจากโดนอัดจนนวมไปหลายวัน
วันนี้ได้พักผ่อนเสียที

หนูจะเล่าให้ฟัง
ตามตารางแล้ววันศุกร์ที่ผ่านมา จะต้องได้สอบเรื่องของระบบต่อมไร้ท่อ (เรียนมาตั้งนานเรียกว่าเรื่องฮอร์โมนมาตลอด)
แต่สวรรค์ท่าจะเข้าข้างคนไม่ได้อ่านหนังสือ เพราะคืนนั้นนอนตั้งแต่ 2 ทุ่มเลย
เพราะรู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้วหลังนอนจนตี 1 ตี 2มา 4-5 คืนติดต่อกัน แล้วต้องมาเรียนอีกวันละอย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง

อาจารย์โหลดข้อสอบที่อาจารย์หมอส่งมาทางเมลไม่ได้
อินเตอร์เน็ตขัดข้อง พวกเราเลยไม่ได้สอบ
หลังจากที่เตรียมใจว่ายังๆก็ตก เพราะไม่ได้อ่านเลย
แต่รู้สึกว่าเช้าที่ตืนมาโดยไม่ได้อ่านหนังสือเป็นเช้าที่สดชื่นที่สุดในรอบสัปดาห์เลยค่ะ

แต่นั้นก็หมายว่าอาทิตย์นี้มีข้อสอบอีก 5 ชุดรออยู่ 555
พร้อมสู้แล้วค่ะ
ก็มีกำลังใจจากพี่ๆคงหายห่วงค่ะ
ถ้าไม่พอก็มาหาเอาแถวๆนี้อีก




..มาส่งใจช่วยสาวน้อยนักเรียนพยาบาลในการสอบค่ะ..



โดย: พี่นก (Nok_Noah ) 11 มกราคม 2551 15:08:53 น.


สวัสดีค่ะพี่นก

นี้เห็นไหมค่ะมีกำลังใจจากพี่นกอีกคน
ขอบคุณค่ะพี่นก
แต่คราวนี้ต้องขอหลายๆกระสอบเลยนะค่ะ






มีคนส่งกำลังใจมาให้เยอะแยะเลย
สวัสดีจ๊ะ พรุ่งนี้น้าไปเดินป่าที่แม่แจ่ม เพื่อว่าหมู่บ้านนี้ชื่อผืนผา ไม่เคยได้ยินชื่อเหมือนกัน

แล้วจะมานำเรื่องมาฝาก



โดย: แพรจารุ IP: 124.157.202.236 12 มกราคม 2551 9:22:03 น.


สวัสดีค่ะน้ายาย

ชื่อหมู่บ้านดูมันคง อบอุ่นดีนะค่ะ หมู่บ้านผืนผา
ค่ะหนูจะรอฟังเรื่องเล่าหมู่บ้านผืนผาจากน้า
หนูมีคนรู้จักเป็นอาจารย์สอนพละอยู่แม่แจ่มด้วย
เป็นพี่ชายของเพื่อน
ตอนที่ไปเชียงใหม่ยังได้เจอกันแถวๆร้านชุมแพหมูกระทะ
พี่เขาก็เล่าให้ฟัง ว่าโรงเรียนที่พี่เขาสอนมีนักเรียนชนเผ่าเยอะ
หนูจำไม่ได้ว่าชื่อโรงเรียนอะไรนะค่ะ
เห็นพี่เขาอวดใหญ่ว่าเด็กที่นั้นเก่ง สอบติดโควต้ามหาลัยดีๆได้หลายคนเลย

ขอให้สนุกกับการเดินป่าค่ะน้ายาย

 

โดย: เบญจวรรณ (lukkongpoka ) 13 มกราคม 2551 9:47:38 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่นา

ส่งสัยเราจะสวนทางกันกลางอากาศแน่ๆเลยค่ะพี่นา
แหะๆๆแต่หนูไม่ชอบทั้งสองอย่างเลย
จึงโดนบ่นอยู่บ่อยๆ

พี่นาเองก็แพ้ฝุ่นหรือค่ะ
อย่างนี้ต้องพูดเหมือนกับหมอเฉพาะทางที่หนูไปปรึกษา
เขาบอกว่า "ยารักษาโรคภูมิแพ้ที่ดีที่สุดคือการเลี่ยงสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการ"
หนูเองก็ชอบแพ้เหมือนกัน แต่แพ้เป็นครั้งคราว
แพ้ฝุ่น แพ้อากาศหนาวๆทางเหนือ จะทำให้เป็นผืนคันตามตัว +ถ้าร่างกายอ่อนแอก็จะเป็นหวัดด้วย
บางทีก็แพ้อาหารบางชนิด โดยเฉพาะปูกินไม่ได้เลยค่ะ
แต่หนูชอบกินปูมากเลย
มีอยู่ครั่งหนึ่งอยากกินปูมากๆ
เลยใช้วิธีกินยาแก้แพ้ก่อน แล้วก็กินปู
ผลลัพท์ก็คือได้ไปนอนพักต่างอากาศ 1 คืนแบบกระทันหัน 555
แต่ตอนนี้เริ่มโตแล้ว ห้ามใจตัวเองพอได้แล้ว ก็พยายามเลี้ยงๆไม่ได้กินปูมานานหลายปีแล้วค่ะ

บทกลอนที่ยกมาเป็นบางส่วนเท่านั้นนะค่ะ
ความจริงหนูชอบแทบจะทั้งเล่มเลยก็ว่าได้
มีความหมายดี และตรงตัวดีด้วยค่ะ
ใช้คำงายๆแต่อ่านแล้วเข้าถึงอารมณ์ค่ะ

ขอบคุณที่ชมว่ามันน่าอ่านค่ะ
ตอนนี้คนอ่านยิ้มแก้มไม่หุบแล้ว

 

โดย: เบญจวรรณ IP: 61.7.231.130 14 มกราคม 2551 13:03:22 น.  

 

คุณแม่น่ารักนะคะ ตะโกนตอบเสียดีเลย
ถ้าเป็นพี่จะโดนด่าซ้ำอีก
แต่มันน่าแปลกมากเลย
อยู่บ้านเราปล่อยให้ห้องรกอย่างไรก็ตาม
แม่จะบ่นว่าอะไรก็ตาม เราก็ไม่เคยสนใจ
พอตอนนี้มาอยู่คนเดียวต่างหาก
ห้องมันกลับไม่รกแฮะ

เฮ้อออออออออออออออออออออ

 

โดย: kuakul 14 มกราคม 2551 18:16:19 น.  

 

สวัสดีครับ เบญจวรรณ

หนังสือน่าอ่านมาก
อ่านแล้วอดที่จะมองย้อนคิดถึงพ่อ-แม่ ไม่ได้
ครอบครัวอบอุ่นแบบนี้คงคิดถึงบ้านคิดถึงความรัก มากน่ะครับ

 

โดย: ดอกเสี้ยวขาว 14 มกราคม 2551 22:41:29 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่เกื้อ

ใช่แล้วแปลกมากเลยค่ะ
เวลาอยู่บ้านเรากลับชอบปล่อยให้ห้องนอนเรารกยังกับรังหนู
อาณาเขตข้าใครอย่าแตะ 555
แต่พอมาอยู่คนเดียว ไม่มีใครบ่นให้ทำกลับทำเองแต่โดยดี
เรื่องของเรื่องคือตัวเราว่าเราขี้เกียจแล้ว ไอ้คนที่อยู่กับเรามันดันขี้เกียจกว่าเราอีก
แล้วเราจะไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะตัวเองทนอยู่กับฝุ่นนานๆไม่ได้
หน้าที่นางแจ๋วประจำห้องเลยเป็นของเรา
เคยบอกให้เขาฟังว่าให้ช่วยกันทำ แต่เขาบอกว่าเขาทนอยู่ได้เขาก็ไม่ทำ ถ้าวันไหนเขาทนไม่ได้เขาถึงจะทำ(ไม่ได้พูดจริงจัง พูดทีเล่นทีจริง)
แต่เคยเล่าให้แม่ฟัง แม่บอกว่าให้ทำให้เขาดู ไม่ต้องไปว่าเขา แล้วสักวันเขาจะช่วยเราทำเอง ถ้าเขาคิดได้
จนวันนี้แล้วก็ยังได้เป็นแจ๋วประจำห้องอยู่เลย

แต่ถ้าวันไหนเป็นเวรครูนิว(ถ้าพี่เกืออยากรู้ว่าครูนิวดุแค่ไหนตอนอยู่ในหน้าที่ ลองไปถามพี่เจนดูนะค่ะ)
ซึ่งเป็นที่รู้ดีว่าจะมีการทำความสะอาดครั้งใหญ่เกิดขึ้นทั้งหอ ทุกคนในห้องจะช่วยกันขมีขมัน
การเจอกับครูนิวครั้งแรกในสัปดาห์แรกที่มาเรียนที่นี้
ในห้องน้ำมีเส้นผมตกอยู่เส้นหนึ่ง โดนเรียกทั้งชั้นที่ใช้ห้องน้ำร่วกัน
มาทำความสะอาดหอ 6 ชั้น ตอนเที่ยงคืน
ล่าสุดที่ผ่านมานี้
เพื่อนๆเขาทำความสะอาดหอ มีบางส่วนไปเล่นกีต้าร้องเพลง
เลยโดนเรียกไปเล่นกีต้าร้องเพลงตั้งแต่ 2 ทุ่มถึง 5 ทุ่ม
พวกที่อยู่บนหอก็นั่งอ่านหนังสือสอบไป ฟังเพลงไป
มันก็ตลกและตื่นเต้นดีตรงกับคำที่ว่า ต่าเปิ้นดีไขหัว ต่าตัวดีไขไห้
ส่งสารก็สงสาร แต่ตลกก็ตลกนะค่ะ
ปล. วันนั้นเพลงเพาะมากๆค่ะ



สวัสดีค่ะพี่ดอกเสี้ยวขาว


น่าอ่านจริงๆแหละค่ะ
ปกติเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบอ่านอะไรที่เป็นบทกวี
เพราะรู้สึกว่าเวลาอ่านแล้วตัวเองจะโง่ อ่านแล้วไม่เข้าใจ แปลความหมายไม่ออก(ไม่ชอบอ่านวรรณคดีไทย ที่เป็นบทกลอนในหนังสือเรียน แปลไม่ออก เลยทำให้ไม่ชอบงานเขียนแบบนี้ไปโดยปริยาย)
แต่หนังสือเล่มนี้ทำให้มองกลอนในมิติใหม่เลย ทำให้ชอบอ่านบทกวีไปเลยค่ะ
อยากอ่านหรือเปล่าละค่ะ จะให้อ่านยังไงดีละค่ะ
อ้อ เอางี้ไหมค่ะ ถ้าวันไหนเข้าเน็ตแล้วไม่ลืม
จะทยอยพิมพ์เอาไปฝากพี่ที่บล็อก(ถ้าไม่ลืมนะค่ะ)
มีหลายบทเลยที่ชอบ

ก็คิดถึงนะค่ะบ้าน มีบางช่วงเวลาที่คิดถึงมากๆ
นั่งคุยกับเพื่อนในห้องว่าเมื่อก่อนตอนมาใหม่ๆ
ที่หอพักของเราจะติดกับกว๊าน มองเห็นพระอาทิตย์ตกลับภูเขา
เวลาพลบค่ำเช่นนี้ บรรยากาศแบบนี้ทำให้คิดถึงบ้านมากๆ นั่งมองดูพระอาทิตย์ตกดิน
หรือบางวันมีฝนตกปลอยๆ
จู่ๆน้ำตามันก็ไหลออกมาเองโดยไม่ได้ร้องไห้ทุกครั้ง
เพราะทุกๆเย็นเราจะได้อยู่พูดคุยกัน สองคนพี่น้องแย่งกันพูด
เวลากลับบ้านก็ไม่อยากกลับมาอีก
แต่ก็ต้องมาเพราะยังต้องเรียนหนังสือ
ไม่ใช่ว่าที่นี้ไม่ดี ที่นี้เรามีเพื่อน มีพี่ๆ แต่บางเวลาก็รู้สึกว่าไม่มีใครที่เราจะกอดได้อย่างสนิทใจและอบอุ่นเหมือนคนที่บ้าน
ก็อยู่ๆไปขอกอดใครเขา เขาจะให้กอดหรือเปล่าล่ะ
เขาไม่คิดว่าเราสติไม่สมประกอบหรือเปล่าเอานะสิ

พอถึงตอนนี้เรามานั่งมองพระอาทิตย์ตกดินด้วยกันแล้วหัวเราะ
รู้สึกว่าที่นี้ก็เป็นเหมือนบ้านเราอีกหลัง
จะว่าไปชีวิตที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตที่โรงเรียนมากกว่าที่บ้านอีก
ข้าวเช้าทานที่โรงเรียน ข้าวเที่ยงทานที่โรงเรียน ทานข้าวที่โรงเรียนวันละ 2 มื้อ
ที่นี้เราก็เพิ่มจาก 2 มือเป็น 3 มื้อเท่านั้นเอง
อาจมีบางแวบที่คิดถึงบ้าน อาศัยการโทรกลับไปคุยกับที่บ้าน มาอ่านบล็อก อ่านหนังสือ ออกไปเที่ยวกับเพื่อนๆ นั่งคุยกันกินขนมที่หอก็ทำให้หายคิดถึงบ้านได้เหมือนกัน
อีกอย่างเวลาให้คิดถึงบ้านก็มีน้อยลงแล้วตอนนี้
เพราะรู้หน้าที่ที่จะต้องเรียนให้จบคือสิ่งที่ต้องทำในเวลานี้

แล้วพี่ดอกเสี้ยวขาวละค่ะ
ลองเล่าประสบการณ์ตอนที่เรียนให้ฟังหน่อยสิค่ะ
ได้พักอยู่ไกลบ้านหรือเปล่าค่ะ
ตอนก่อนมาพัก กะหลังมาพักรู้สึกอย่างไรค่ะ

 

โดย: เบญจวรรณ IP: 61.7.231.130 15 มกราคม 2551 16:27:39 น.  

 

"มุฮัมหมัด ส่าเหล็ม" เป็นกวีอีกคนที่ผมชื่นชอบนะเนี่ย...

ซื่อใส ง่าย งาม และจริงใจ

ดีใจด้วยครับ ที่น้องเบญ ได้อ่านงานของเขา
มีอีกเล่มนึง "ไม่มีเหตุผลที่เราจะทำร้ายกันอีก" ที่ดีและเยี่ยมอีกเล่มนึง

ไม่รู้ว่ามีหรือยังเอ่ย...

 

โดย: pu_chiangdao 15 มกราคม 2551 22:44:44 น.  

 

สวัสดีค่ะน้องเบญ

วันนี้พี่อ่านบันทึกน้องด้วยรอยยิ้มปนพิษไข้
อ่านไป...คิดถึงแม่ไป...
จนต้องโทรศัพท์หาแม่สักหน่อย
เลยทำให้แม่เป็นห่วงกับเสียงที่แหบเล็กน้อย
พี่อยู่กับแม่ช่วงเรียน ม.ปลาย
บนโต๊ะ ในห้องนอนพี่ ใครแตะอะไรไม่ได้เลยเชียว
แม้มันจะรกแต่อะไรหายไปพี่รู้ทันที
ไม่มีใครอยากเห็นพี่แผลงฤทธิ์เท่าไหร่ง
เค้าเลยปล่อยพี่ไม่ค่อยสนใจ
ไม่ใช่ไม่สนใจ...แต่บ้านพี่เป็นประเภทถ้าบอกแล้วไม่ฟัง
ก็เรียนรู้ด้วยตัวเองจะได้จำได้ขึ้นใจ

แหะๆ ปกติพี่ไม่ค่อยอ่านบทกวีเท่าไหร่
ไม่มีดวงตากวีเอาซะเลยล่ะค่ะ
มองเห็นความงามในสัมผัสนั้นนะคะ
แต่...ไม่รู้สิ...บอกไม่ถูก
ไปก่อนนะคะ...ไว้พี่จะมาคุยด้วยใหม่

 

โดย: เพลงฝนต้นลมหนาว 15 มกราคม 2551 23:37:10 น.  

 

สวัสดีน้องเบญ

อยากเล่าเประสบการณ์ในวัยเรียนให้ฟังเหมือนกัน แต่คงเปลืองพื้นที่มากๆ แต่ก็คล้ายๆกับน้องเบญ (ชื่อเล่นเหมือนน้องผมเลย แต่ชื่อจริงเบญจมาศ) ชีวิตของการค้นหา มีเหงา เศร้า สุข ปนเปกันไปเป็นธรรมดา แล้วแต่ว่าเราจะก้าวผ่านมันด้วยวิธีใด...

 

โดย: ดอกเสี้ยวขาว 16 มกราคม 2551 16:50:42 น.  

 

สวัสดีค่ะพี่ภู

(ขออนุญาตเรียกว่าพี่นะค่ะ เทียบศักดิ์มาจากการเรียกน้ายาย)

"ไม่มีเหตุผลที่เราจะทำร้ายกันอีก"
ยังไม่เคยอ่านเลยค่ะ ถ้าจะพูดให้ถูก
ต้องบอกว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลย
พี่อ่านแล้วใช่ไหมค่ะ อยากอ่านจังค่ะ
แต่คงจะพิมพ์นานแล้วใช่ไหมค่ะ พิมพ์ตั้งแต่เมื่อไหร่แล้วค่ะ
ถ้าพิมพ์นานแล้วคงจะหาชื้อได้อยากแล้วแน่ๆ
เอาอย่างนี้ไหมเพื่อเป็นการทำให้บทกวีที่มีคุณค่ามีคุณค่ามากขึ้น
พี่ไม่ลองเอามาแบ่งให้เพื่อนๆในบล็อกอ่านดูหรือค่ะ
(ส่งเสริมการอ่านด้วยไงค่ะ พูดให้ดูดี จริงๆแล้วตัวเองอยากอ่าน 555)
แล้วตอนนี้มีผลงานใหม่ๆของเขาออกมาอยู่หรือเปล่าค่ะ

หนูชอบผลงานของเขา เป็นอย่างที่พี่พูดแหละค่ะ
“ซื่อใส ง่าย งาม และจริงใจ”
มันสัมผัสได้จริงๆด้วยค่ะ
มันเป็นเพียงเรื่องรานธรรมดาที่เราพบเห็นในชีวิต(เช่นเรื่องที่หนูยกมาเป็นต้น)
ซึ่งเรามักจะมองข้ามไป แต่คนเขียนเอามานำเสนอได้ดีมากๆ
จนเราต้องหันกลับมามอง และพูดกับตัวเองว่าจริงด้วย


อ้อหนังสือที่พี่เคยบอก หนูลองไปหาที่ร้านหนังสือเก่า(หน้าวัดศรีโคมคำแล้ว)
แต่หาไม่เจอเลยค่ะ ในร้านมีหนังสือค่อยข้างมากเหมือนกัน
ได้มาหลายเล่มเหมือนกัน เจอร้านโดยบังเอิญ ไปส่งเพื่อนทำบุญวันเกิด
เพื่อนปล่อยนกปล่อยปลา เราไม่เห็นด้วย เพราะตอนไปซื้อนกเห็นมีนกตายในกรงด้วย
ก็ไม่ได้ว่าอะไร ต่างคนต่างความคิด และมันก็เป็นอาชีพเลี้ยงปากท้องของบางครอบครัว
อีกอย่างคนทำเขาก็คงจะตั้งใจ เลยไม่พูดอะไรที่จะไปทำลายความรู้สึกเขา
เลยแยกตัวจากกลุ่มออกมาเดินเตร็ดเตร่แถวๆหน้าวัด มาเจอร้านหนังสือเก่าเข้า
หนังสือในร้านวางทับๆกันอยู่ ทำให้ค้นยากมาก ค้นได้เฉพาะที่อยู่ข้างบนเท่านั้น
แล้วหนูก็ได้คำตอบหนังสือเรื่อง “เขาชื่อกานต์”
ที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับหมอชนบทที่ดีคนหนึ่ง ที่ตายในหน้าที่เพราะอิทธิพลเถื่อน
เป็นงานเขียนของ คุณสุวรรณี สุคลธา พอดีเจอโดยบังเอิญเข้าที่ร้านนั้น
แต่ไม่ได้ซื้อหรอกค่ะ เพราะมีเก็บไว้ที่บ้านแล้ว 1 เล่ม

เจอหนังสือหลายเล่มที่หน้าสนใจ
บางเล่มสนใจ แต่ไม่ได้ซื้อ เพราะมีตราประทับของสถานที่ราชการอยู่ด้วย
รู้สึกเสียดาย คามจริงคุณค่าของหนังสือเล่มนั้นในสายตาหนู
มันน่าจะอยู่ที่เดิมของมัน เพราะคุณค่าของหนังสือในความรู้สึกคือการที่มีคนอ่านมันมากกว่าจะมาวางไว้เฉยๆในร้าน


สวัสดีค่ะพี่เพลง

ตอนนี้ไข้ลดหรือยัง เป็นอะไรมากหรือเปล่าค่ะ
ไปหาหมอมาหรือยังค่ะ
คนดื้อเวลาป่วยจะไม่ชอบทานยา
พี่เพลงทานยาและพักผ่อนมากๆนะค่ะ
หายป่วยไวๆนะค่ะ
อย่าลืมรักษาสุขภาพกายและใจด้วย
(ไม่รู้นะค่ะ ช่วงนี้รู้สึกว่าอ่านงานของพี่เพลงแล้วรู้สึกเศร้าไป)

เวลาไม่สบายคนทางบ้านต้องห่วงมากๆแน่ๆ
เวลาเราทุกใจหนูว่าคนที่อยู่ปลายสายเขาสัมผัสได้นะค่ะ
แต่บางทีเขาไม่พูด เขารอให้เราบอกเขาเอง
ทุกครั้งที่ทุกใจแล้วโทรกลับบ้าน จะมีประโยคหนึ่งที่แม่/พ่อจะถามเสมอ
“มีอะไรหรือเปล่า มีอะไรเล่าให้พ่อกับแม่ฟังไหม”
ทำอย่างกับว่าท่านรู้อย่างนั้นแหละ

หนูก็เคยโดนบ่อยๆ โนตัดหางปล่อยวัดเวลาดื้อจริงๆ บอกแล้วไม่ฟัง
แม่ไม่ยอมพูดด้วยเลย ถามก็ไม่ตอบ ง้อก็ไม่ยอม
แม่งอนได้นานหลายวัน จนกว่าเราจะสำนึกผิดเลยแหละ
แต่เวลาหนูงอน แล้วลองใช้ไม้เดียวกับแม่ ไม่เคยสำเร็จสักที
เพราะทนอยู่เงียบๆไม่พูดไม่จากับใครได้ไม่นาน นานสุดท่าจะสักครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้

สวัสดีค่ะพี่ดอกเสี้ยวขาว

ชื่อ เบญ ไม่ใช่ชือเล่นที่ทางบ้านตั้งให้หรอกค่ะ
จริงๆแล้วที่บ้านตั้งให้ว่า เยล ค่ะ
แต่บางคนเขาเห็นเราชื่อ เบญจวรรณ เลยเรียกคำข้างหน้าชื่อว่า เบญ
ตอนแรกๆก็ไม่ชิน เวลาเขาเรียกก็มักจะไม่สนใจ
เพราะนึกว่าเขาไม่ได้เรียกเรา แต่พอนานๆไป ก็หันไปมองทั้งสองชื่อ
แต่ถ้าคุยกับใครก็มักจะแทนชื่อตัวเองว่า เยล เสมอ
จะเรียกชื่อไหนก็ไม่สำคัญหรอกค่ะ ที่แทนตัวเองด้วยชื่อเดิมที่พ่อแม่ตั้งให้
เพราะไม่อยากให้ใครเขาคิดว่า หรอกเขาทำไมแค่ชื่อตัวเองยังหรอกกัน แล้วเรื่องอื่นละ อีกอย่างเราก็ไม่มีอะไรต้องปิดบัง

เพราะเคยมีกรณีที่เพื่อนชื่อ กล้วย แล้วแอบเปลี่ยนเองเป็นมะปราง
แล้วเพื่อนเก่าไม่ชิน โทรไปถามหากล้วยด้วยความเคยชิน
มีคนรับแทนบอกว่าไม่มีคนชื่อกล้วยค่ะ ก็บอกว่านี้เบอร์กล้วย ไปเรียกกล้วยมาพูดหน่อย
“ขอโทษนะค่ะ นี้โทรศัพท์ของมะปรางค่ะ”
“อ้อนั้นแหละค่ะ คุยกับมาปรางก็ได้”
จนตอนนี้ยังโดนล้อไม่หาย แต่ในที่สุดกล้วยก็คือกล้วยเพื่อนของเรา
เวลาอยู่กับคนที่ไม่รู้จักกล้วยก็เรียกมัน น้องมะปรางขา
แต่บางทีก็เผลอๆบ้าง เรียกน้องกล้วยเจ้าค่ะ ก็อยู่ด้วยกันมาหลายปีเคยเห็นแต่กล้วย ไม่เห็นมะปรางสักที

มีอีกชื่อหนึ่งนะค่ะ(เคยไม่ชอบชื่อนี้มากๆ เวลาได้ยินจะโกรธมากๆ)
ตอนนั้นกลับบ้าน ที่ขนส่งมีคนเรียกว่า ขี้ไห้ (แต่วันนั้นกลับรู้สึกชอบมาแวบหนึ่ง)
ก็หันไปมอง ใครเรียกเราหรือใครโดนล้อเหมือนเรา
เป็นลุงคนที่เห็นเราร้องไห้ไม่ยอมไปโรงเรียน เขาเลยเรียกว่า ขี้ไห้ มาตลอด
ลุงเขามาขับรถโดยสารเข้าหมู่บ้าน ตอนนั่งรถมาเขาก็ถามว่า ขี้ไห้ ไปเรียนที่ไหน
ไม่ร้องไห้กลับบ้านอีกนะ ก็ยิ้มๆไม่ได้ตอบว่า ยังร้องไห้กลับบ้านอยู่
แต่ไม่ได้ปีนกำแพงหนีโรงเรียนกลับบ้านแล้วเท่านั้นเอง 555 (ได้แต่ตอบในใจ)

หนูก็มีเพื่อนสมัยมัธยมชื่อเหมือนน้องสาวพี่ ชื่อเบญจมาศ ชื่อเล่นชื่อเบญ เหมือนน้องสาวพี่เลย
อีกคนหนึ่งชื่อจริง เบญจมาศ แต่ชื่อเล่นชื่อ บุ๋ม สองคนนี้อยู่คนละห้องกัน
ส่วนหนูกับเบญ อยู่ห้องเดียวกัน
เบญคนแรกตอนนี้ ได้ข่าวว่า เขาทำงานด้วย เรียนไปด้วย
ยังแอบชมเขาอยู่ในใจว่าเขาเก่ง และคงจะมีความรับผิดชอบมากกว่าเราหลายเท่าตัว
ไอ้เราเรียนอย่างเดียวก็แทบจะเอาตัวไม่รอด แบ่งเวลาแทบแย่
ขนาดว่าอยู่หอในไม่ได้เที่ยว ยังแบ่งเวลาแทบไม่พอ ยิ่งตอนมีสอบจะเป็นอัจฉริยะข้ามคืนกันทันที
หลัง 6 โมงเย็นแล้วไม่มีสิทธิได้ออกไปข้างนอกแล้ว
ถ้าอยู่ข้างนอกก็ต้องรีบกลับ เพราะที่นี้ใช้ระบบเช็คนักศึกษาเข้ม
มียามเฝ้า ด้านหลังติดน้ำ ด้านข้างติดโรงพยาบาล มีกำแพงและลวดหนามเสริม
อีกด้านเป็นกำแพงติดถนนมีโคลเลอะ+ด้านในโล่งตลอดแนวติดบ้านพักอาจารย์
(อันนี้เพื่อนสำรวจมาค่ะ เผื่อหาทางหนีทีไล่ เวลาฉุกเฉิน กลับไม่ทัน แต่สวนใหญ่จะกลับทัน
เพราะเราต้องมาเซ็นชื่อ ถ้าไม่ทันจริงๆ ก็มาแจ้งเหตุผล ถ้าเหตุผลฟังไม่ขึ้นก็เขียนบันทึกข้อความรับผลกรรมตามระเบียบ)
ส่วนเบญคนที่ 2 (บุ๋ม) เรียนอยู่จังหวัดเดียวกับหนู แต่คนละสถาบัญ
ก็ได้ข่าวคราวกันบ้างว่าเพื่อนคนไหนเรียนที่ไหน ทำอะไรอยู่
แล้วน้องสาวของพี่เรียนชั้นไหนแล้วค่ะ


 

โดย: เบญจวรรณ IP: 61.7.231.130 18 มกราคม 2551 10:15:06 น.  

 

ขำจัง คุณครูโหดเนอะ

ชีวิตมันก็ขำ ๆ
แต่บางครั้งเราก็ไม่ได้อยากหัวเราะไปกับมัน
ไม่น่าเชื่อเลย
ทั้ง ๆ ที่มันเศร้าแสนเศร้า
แต่เมื่อวันหนึ่งมานึกย้อน
ก็ขำดี

 

โดย: kuakul 18 มกราคม 2551 16:58:06 น.  

 

ดีจ้า...น้องเบญจ์

ยังไม่ได้อ่านข้างบนเลยนะ...ตาลาย
ป้าแก่แล้วน้องเอ๋ย

เพิ่งได้นั่งพักแข้ง พักขาอย่างสบายใจก็วันนี้แหละ
ตั้งแต่กลับมาจากที่บ้านก็ยุ่งกับงานแต่ง
เรียบร้อยไปก็หายห่วงแล้ว

ตอนนี้ก็ต้องมาตั้งต้นจัดการงานของตัวเอง
นี่ไม่รู้ว่าเอาไปซุกอยู่ในหม้อใบไหน เก็บไปฝังที่ไหนม่ายรู้....

ว่าจะนอนพักให้สบายสักวันหนึ่งเต็มๆ.....ไปเกลือกกลิ้งกับทะเล....
ไป...ไปกัน

 

โดย: ปลายแปรง 19 มกราคม 2551 12:03:17 น.  

 

...สวัสดีครับ ผมผ่านเข้ามาถึงสวนอักษรแห่งนี้อย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่ผมไม่ได้หลงทาง เพียงเพราะความงดงามของดอกความทรงจำที่สะดุดตาของผม ก็เลยอดที่จะแวะนั่งพักไม่ได้ ผมดีใจที่เห็นคุณมีความทรงจำที่ดีกับพ่อผู้เป็นที่เคารพรัก ตลอดทั้งเรื่องราวระหว่างคุณกับคุณแม่ที่มีเรื่องน่ารักๆให้ได้พูดถึงตลอดวัน กระทั่งความบรรเจิดจินตนาการในสุนทรีพจน์อักษรอยู่ในอารมณ์ของคุณอย่างเต็มเปี่ยม ผมถือวิสาสะจินตนาการถึงชีวิตประจำวันของคุณแล้วมันชวนให้ผมอิจฉาอยู่ไม่น้อยเลย ผมคงหายเหนื่อยแล้ว.....

 

โดย: เด็กหลังเขาcorione_gio@hotmail.com IP: 124.120.148.44 23 สิงหาคม 2551 5:16:06 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


lukkongpoka
Location :
เชียงราย Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add lukkongpoka's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.