|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
โรคระบาดแห่งการผลิตล้นเกินท่ามกลางความอดอยาก
รถประจำทางสายแดง
ในระหว่างเกิดวิกฤตทุนนิยมได้เกิดโรคระบาดทางสังคมชนิดที่ทุกยุคทุกสมัยในอดีตคงจะเห็นเป็นปรากฏการณ์ที่เหลวไหลขึ้น ซึ่งก็คือโรคระบาดแห่งการผลิตล้นเกินท่ามกลางความอดอยาก มาร์คซ์ และ เองเกิลส์ (1848)[6]
ปัญหาของสังคมไทยรวมถึงสังคมโลกที่ถือว่ายิ่งใหญ่กว่าปราสาทเขาพระวิหารไม่รู้สักเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่คงหนีไม่พ้นปัญหาวิกฤติอาหารหรือข้าวยากหมากแพง ที่ราคาถีบตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากอัตราเงินเฟ้อล่าสุด เดือน มิถุนายน 2551 อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน 3.6% อัตราเงินเฟ้อทั่วไป 8.9%[1] จะเห็นว่าตัวเลขของอัตราเงินเฟ้อ 2 ประเภทแตกต่างกันถึง 5.3 % ซึ่งอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน ก็คือ อัตราการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาผู้บริโภค ที่คำนวณจากรายการสินค้าและบริการ 235 รายการ โดยหักรายการสินค้ากลุ่มอาหารสด และสินค้ากลุ่มพลังงานจำนวน 91 รายการ แต่อัตราเงินเฟ้อทั่วไป จะคิดตัวนี้เข้าไปด้วย ดังนั้นเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งมาจากต้นทุนในการผลิตและขนส่งเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะตัวน้ำมัน ซึ่งถือเป็นปัจจัยการผลิตสำคัญที่ราคาสูงขึ้น อย่างรวดเร็ว
จากปัญหาดังกล่าวกลุ่มคนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหานี้มากที่สุดคงหนีไม่พ้นคนจนเพราะถ้าราคาอาหารแพงขึ้น 10% มีผลทำให้รายจ่ายครัวเรือนยากจนเพิ่นขึ้น 5% หรือเดือนละ 200 บาท สำหรับครัวเรือนที่มีรายได้ 8,000 บาท ทั้งนี้เพราะคนจนที่สุด 10 %(ที่มีรายจ่ายต่อเดือนเฉลี่ย 6,400 บาท)มีรายจ่ายอาหารสูงถึง 50% ของรายได้ ในณะที่คนรวยสุด 10 %(ที่มีรายจ่ายต่อเดือนเฉลี่ย 36,100 บาท) รายจ่ายอาหารเพียง 20% ของรายได้[2] ด้วยเหตุนี้บทความนี้ผู้เขียนจึงตั้งข้อสังเกตุปัญหาข้าวยากหมากแพงในอีกมุมหนึ่งต่อธรรมชาติของกลไกตลาดกับโครงสร้างความเหลื่อมล้ำของรายได้ ที่มากกว่าปรากฏการณ์ต้นทุนในการผลิตและขนส่งอาหารเพิ่มขึ้น
ก่อนอื่นผู้เขียนขอลองยกข้อสมุติฐาน เรื่อง Limit to Growthหรือ "ขีดจำกัดการเติบโต" ที่อธิบายว่าเป็นสาเหตุของภาวะข้าวยากหมากแพงตามแนวคิดของ Malthus ที่ว่าการเพิ่มจำนวนของประชากรเป็นไปในอัตราเรขาคณิต คือจาก 1 เป็น 2 เป็น 4 เป็น 8 ขณะที่การเพิ่มของอาหารเป็นในอัตราเลขคณิต คือ จาก 1 เป็น 2 เป็น 3 ฯลฯ ดังนั้นหากไม่มีการควบคุมการเพิ่มของประชากรหรือการพัฒนาระบบการผลิตอาหารให้อัตราการเพิ่มสมดุลกันอาจเกิดปัญหาได้ สมุติฐานนี้เป็นที่น่าตระหนกมากเนื่องจากหลังสงครามโลกอัตราตายลดลงขณะที่อัตราเกิดลดช้า แต่เอาเข้าจริงเศรษฐกิจโลกมิได้ชะลอตัวดั่งคำพยากรณ์ เพราะ 1) ปฏิวัติเขียว 2) เศรษฐกิจโลกเติบโตอย่างรวดเร็ว ทำให้ความต้องการอาหารเพิ่มช้า ขณะที่อัตราการเพิ่มประชากรเริ่มลดลง และเราต้องไม่ลืมว่าทุกๆ 1 ใน 3 ของอาหารที่ผลิตได้กลายเป็นขยะ
ตัวอย่างอย่างในอินเดีย ที่ มูลายัม ซิงห์ ยาดา ได้อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรอินเดียว่า "ปัญหาความอดอยากในรัฐโอริสสา, อันตระประเทศ, อุตตระประเทศ, มัธยประเทศ, มหาราชตะ, บิฮาร์ และกุจราฐ กำลังทวีความรุนแรง. แต่น่าเศร้าสลดคือ ขณะที่ผู้คนกำลังอดอยาก แต่ในโกดังกลับล้นทะลัก เงินจำนวน 300-400 ล้านรูปีถูกใช้ไปกับการเก็บสต็อกพืชอาหาร ขณะที่ 35 เปอร์เซ็นต์ของมันถูกปล่อยให้เน่าเสีย และ ปี 2544 ขณะที่มีคนยากจนอดตายใน 13 รัฐ โกดังของ ฟู้ด คอร์เปอร์เรชั่น ออฟ อินเดีย หรือ FCI รัฐวิสาหกิจซึ่งทำหน้าที่ส่งออกพืชผลการเกษตร กลับล้นเกิน เพราะหาตลาดส่งออกไม่ได้ ทำให้ข้าวและเมล็ดพืชบางส่วนเน่าเสียและถูกหนูกิน มีข้อเสนอให้เอาสต็อกที่เกินเหล่านั้นไปทิ้งทะเล เพื่อหาพื้นที่ว่างสำหรับผลิตผลในฤดูต่อไป มีการประมาณกันว่า หากเอากระสอบข้าวและเมล็ดพืชเหล่านั้นมาเรียงสูงขึ้นไปเรื่อยๆ คงไม่จำเป็นต้องสร้างยานอวกาศ เพราะมนุษย์สามารถเดินไปกลับจากโลกถึงดวงจันทร์ได้อย่างสบาย[3] นี่เป็นสิ่งทำให้เรื่อง "ขีดจำกัดการเติบโต" ตกไป เพราะปัญหาไม่ใช่ความไม่สมดุลของจำนวนประชากรกับการผลิตอาหาร
แต่ข้อมูลดังกล่าวกลับเป็นสิ่งยืนยันถึงความล้มเหลวของกลไกตลาด (Market failure) ที่ราคาไม่สามารถใช้เป็นสัญญาณที่เหมาะสม และการจัดสรรทรัพยากร สำหรับผู้บริโภคและผู้ผลิตล้มเหลว ผลลัพธ์ คือ การใช้ทรัพยากรอย่างไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งมีสาเหตุมาจาก อำนาจเหนือตลาด (market power)ในการกำหนดราคาได้ตามอำเภอใจของผู้ผลิต โดยเฉพาะตลาดผูกขาดหรือมีผู้ผลิตน้อยราย สารสนเทศไม่สมบูรณ์ (imperfect information)ระหว่างผู้ผลิตกับผู้บริโภค ผลกระทบภายนอก (externalities)ซึ่งมีทั้งบวกและลบจึงทำให้สินค้าและบริการไม่สามารถสะท้อนราคาที่แท้จริงได้ รวมถึงการใช้กลไกนี้เข้าไปจัดการกับสินค้าสาธารณะ (public goods)
นอกจากนี้ผลของกลไกตลาดยังก่อให้เกิด Engel law ที่แสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างรายได้กับการบริโภคสินค้าบางชนิด เช่น รายได้ 1-2 $ ต่อวัน กินอาหารพวกคาร์โบไฮเดรตเพิ่ม หากคนรวย(รายได้ 2-10 $ ต่อวัน) จะกินอาหารลดลง โดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรต แต่คนที่รวยขึ้นในประเทศกำลังพัฒนากินเนื้อสัตว์เพิ่ม ทำให้อุปสงค์ต่อธัญพืชเลี้ยงสัตว์เพิ่ม เนื้อวัว 1 ก.ก. ใช้ข้าวโพด 7 ก.ก. หมู 1 กก.ใช้ข้าวโพด 6.5 กก. ไก่1 กก.ใช้ข้าวโพด 2.6 กก. คนรวยขึ้น กินผัก-ผลไม้เพิ่ม แย่งที่ดินเพาะปลูกและคนรวยขึ้นอีก (เกิน 10 $) กินอาหารแปรรูปที่มากับบรรจุภัณฑ์และบริการ และใช้เฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้ามากขึ้น ทำให้เกิดการแย่งที่ดินเพาะปลูกพืชเพื่อสนองความต้องการของคนจน(ในขณะที่มีทีดินจำนวนมากถูกปล่อยทิ้งว่างปล่าวที่ครอบครองโดยนายทุนไม่กี่รายเพื่อหวังเก่งกำไรภายใต้ภาษีที่ดินที่แสนจะถูกในไทย ขณะที่ชาวนาไร้ที่ดินก็มีมากไม่แพ้ที่ดินที่ถูกปล่าวว่างปล่าวนั้น)
ด้วยเหตุนี้ทรัพยากรโลกจึงถูกใช้เพื่อตอบสนองผู้ที่มีอำนาจซื้อมากขึ้น เมื่อบวกกับผลอีกด้านหนึ่งของกลไกตลาดเสรีที่ทำให้สังคมไทยเกิดความเหลื่อมล้ำของรายได้มากขึ้น จากการเปรียบเทียบการกระจายรายได้ของครัวเรือนปี 2549 2550 ในการวิเคราะห์การกระจายรายได้ โดยได้จัดแบ่งครัวเรือนทั่วประเทศเป็น 5 กลุ่มเท่าๆกัน และนำมาเรียงลำดับตามรายได้ประจำต่อคนต่อเดือนจากน้อยไปมาก (กลุ่มที่ 1มีรายได้ต่ำสุด และกลุ่มที่ 5 มีรายได้สูงสุด) พบว่า กลุ่มที่มีรายได้สูงสุด มีส่วนแบ่งของรายได้ประมาณ ร้อยละ 49.2 ขณะที่กลุ่มที่มีรายได้ต่ำสุด มีส่วนแบ่งของรายได้เพียงร้อยละ 5.7 [4] และหากดูจากการเปรียบเทียบความเหลื่อมล้ำระหว่างปี 2518 กับ ปี 2543 นั้นพบว่าเพิ่มจาก 8.1 เท่าเป็น 14.9 เท่า หากแบ่งประชากรเป็น 20 % ของผู้ที่รวยสุดกับผู้ที่จนสุด แต่ถ้าลดอยู่ที่ 10 % ของทั้ง 2 ฝ่ายจะแตกต่างกันถึง 27 เท่า[5] อาจกล่าวได้ว่ายิ่งความเหลื่อมล้ำทวีความรุนแรงเท่าไหร่แนวโน้มที่ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าและบริการเพื่อตอบสนองคนจนก็น้อยลงตามไปด้วยถึงจะแม้มีจำนวนมากราย แต่อำนาจซื้อน้อยเมื่อเที่ยบกับสัดส่วนอำนาจซื้อของชนชั้นบนเพียงไม่กี่รายนั่นเอง ดังนั้นจึงไม่แปลกที่อุตสาหกรรมลดน้ำหนักจึงมีเงินสะพัดมหาศาล ในขณะที่ประชากรอีกมากมายผอมเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร เป็นโรคระบาดแห่งการผลิตล้นเกินท่ามกลางความอดอยาก
แต่คำตอบคงไม่ใช่เศรษฐกิจพอเพียงที่ไม่ได้แตะโครงสร้างทางเศรษฐกิจที่ก่อให้เกิดการขูดรีดส่วนเกินทางเศรษฐกิจเลย หรือเพียง6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทย"ของรัฐบาลชุดนี้ ถึงแม้จะดีแต่เอาเข้าจริงก็แค่เศษชิ้นเนื้อที่ติดซอกฟันที่นายทุนแบ่งให้ในยามวิกฤตทุนนิยมเท่านั้น ดั้งนั้นเราต้องร่วมกันทำลายระบบที่ส่งเสริมการขูดรีดส่วนเกินทางเศรษฐกิจนี้ โดยเริ่มจากการขยายอำนาจต่อรองของนักสหภาพแรงงาน ขบวนการเคลื่อนไหวในภาคเกษตร และขบวนการของชุมชน เพื่อปกป้องมาตรฐานชีวิตและทวงคืนสิ่งที่เขาควรจะได้ ต้องมีการปฏิรูประบบภาษี เพื่อเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้าจากคนรวยและบริษัทขนาดใหญ่ แล้วนำรายได้นั้นมาจัดสวัสดิการอย่างเป็นระบบ เช่น ลดราคาอาหารพื้นฐานให้ประชาชนอย่างถ้วนหน้า ลงทุนในการผลิตไฟฟ้าจากลมและแสงแดด เพื่อประหยัดน้ำมัน ลดการปลูกพืชเพื่อเชื้อเพลิง รวมถึง ปตท.ที่ต้องเป็นของประชาชนไม่ใช่ของนายทุนเพียงไม่กี่กลุ่ม เป็นต้น ลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นออกเช่นงบประมาณทางการทหาร เพื่อนำรายได้รัฐมาใช้เป็นประโยชน์ต่อคนจนอย่างจริงจัง เช่นการศึกษา สาธารณะสุข และเพื่อลดอิทธิพลของทหารเผด็จการในสังคม รวมถึงปฏิรูปที่ดิน
เพื่อทำลายโครงสร้างรายได้อันเหลื่อมล้ำที่คอยซ้ำเติมคนจนยามวิกฤตอย่างที่เป็นอยู่ เพื่อไม่ต้องให้ผู้ผลิตคิดมากว่าจะต้องผลิตสินค้าให้กับชนชั้นไหนดี ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนจึงไม่เห็นความงามของงานศิลปะ สถาปัตยกรรมโบราณและเครื่องประดับ รับความฟุ้มเฟือย รวมถึงความไพเราะของดนตรีในยามที่ท้องร้อง พอกันทีกับความขัดแย้งน้ำเน่าของชนชั้นนำในสังคมไทย กรรมาชีพทั้งหลายจงสามัคคี และสร้างอำนาจตัวเองที่เป็นอิสระ
เอกสารอ้างอิง [1] ธนาคารแห่งประเทศไทย //www.bot.or.th [2] นิพนธ์ พัวพงศกร. 2551. เอกสารประกอบการสัมมนาเรื่อง ข้าวยากหมากแพง คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 22 พฤษภาคม 2551 [3] กรรณิการ์ กิจติเวชกุล . ๒๕๕๑. FOOD POLITICS: การเมืองเรื่องอาหาร (จากประเทศจนถึงประเทศรวย)(ออนไลน์)สืบค้นจาก //www.midnightuniv.org [4] สำนักงานสถิติแห่งชาติ การสำรวจภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน พ.ศ. 2550 //www.nso.go.th [5] ปราณี ทินกร. 2545. ความเหลื่อมล้ำของการกระจายรายได้ในช่วง 4 ทศวรรษของการพัฒนาประเทศ 2504 -2544 ใน ห้าทศวรรษภายใต้แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติของไทย. เอกสารประกอบการสัมนาทางวิชาการประจำปี 45 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ [6] มาร์คซ์ และ เองเกิลส์ (1848) แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์(Communist Manifesto) (ออนไลน์)สืบค้นจาก //www.marxists.org/thai/
Create Date : 27 กรกฎาคม 2551 |
|
0 comments |
Last Update : 27 กรกฎาคม 2551 23:40:31 น. |
Counter : 894 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|