Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2550
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
14 กรกฏาคม 2550
 
All Blogs
 
4 ข้อสังเกตเชิงทฤษฎีต่อขบวนการประชาชนในวาระ 15 ปี พฤษภาประชาธรรม[1]

โดย
เก่งกิจ กิติเรียงลาภ
บทความนี้นำมาจากเวปไชน์พรรคแนวร่วมภาคประชาชน (www.pcpthai.org)








พฤษภาประชาธรรม 2535 คือ การลุกขึ้นสู้ของขบวนการประชาชนเพื่อล้มเผด็จการทหารสุจินดาที่ทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลชาติชายในปี 2534 และจบลงด้วยการปราบปรามอันรุนแรงของรัฐไทยที่กระทำต่อประชาชน ซึ่งนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทั้งทางการเมืองและวิธีคิดโดยทั่วไปของสังคมไทยรวมทั้งภาคประชาชนไทยอย่างมากมาย ชัยชนะจากการต่อสู้ครั้งนั้นของประชาชนนำมาซึ่งกระแสการปฏิรูปการเมืองจนนำไปสู่การร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ในที่สุด เราอาจกล่าวได้ว่าผลของการต่อสู้อย่างดุเดือดของขบวนการประชาชนในปี 2535 ก็คือ รัฐธรรมนูญฉบับ ”ประชาชน” นี้ได้กลายเป็นรัฐธรรมนูญที่ประชาชนมีส่วนร่วมมากที่สุด และมีมาตราที่กำหนดโดยประชาชนมากที่สุดนับตั้งแต่เคยมีรัฐธรรมนูญมา และต่อมารัฐธรรมนูญฉบับนี้เองได้กลายเป็นเงื่อนไขเชิงกติกาทางการเมืองให้รัฐบาลของไทยรักไทยสามารถขึ้นมามีอำนาจได้นับตั้งแต่ปี 2544 จนกระทั่งต้องล้มไปอันเนื่องมาจากเกิดการรัฐประหารของทหารที่เรียกกันสั้นๆว่า คปค. ในเดือนกันยายนปี 2549 และนำไปสู่การตั้งรัฐบาลเผด็จการทหารของสุรยุทธ์ จุลานนท์ในเวลาต่อมา



นับเป็นเวลาอย่างน้อยกว่า 15 ปีแล้วที่สิ่งที่พวกเราเรียกแบบหลวมๆว่า “ขบวนการประชาชน” หรือ “การเมืองภาคประชาชน” ได้มีบทบาทอย่างสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเหตุการณ์สำคัญๆ มาจนวันนี้เราอาจกล่าวได้ว่า การรัฐประหารในวันที่ 19 กันยา จะเกิดขึ้นไม่ได้ หากไร้การสนับสนุนอย่างแข็งขันของขบวนการประชาชนจำนวนหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่สะท้อนว่า แม้บทบาทของขบวนการประชาชนจะมีสูงขึ้นอย่างไรก็ตามในสังคมการเมืองไทย แต่การที่รัฐประหาร 19 กันยา สามารถเกิดขึ้นได้ก็สะท้อนให้เราเห็นความอ่อนแอของการเมืองภาคประชาชนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้



บทความนี้มีข้อสังเกตเชิงทฤษฎีเบื้องต้นต่อสิ่งที่เรียกหลวมๆว่า “การเมืองภาคประชาชน” ในช่วง 15 ปีนับจากเหตุการณ์พฤษภา 2535 จนถึงปัจจุบัน 4 ประการ ดังนี้



๑. นับตั้งแต่ปี 2535 เป็นต้นมา ขบวนการประชาชน เอ็นจีโอ และปัญญาชนทั้ง

ฝ่ายซ้ายและเสรีนิยม ได้มีฉันทามติร่วมกัน (consensus) ใน “แนวคิดชุมชนนิยม”[2] หรือที่เรียกในชื่อที่แตกต่างกันไป เช่น “วัฒนธรรมชุมชน” “ชุมชนพึ่งตนเอง” “เกษตรทางเลือก” โดยมีการนำเสนออย่างมากจากหลายแง่มุมจากทั้งปัญญาชนอดีตฝ่ายซ้ายหลายคน ราษฎรอาวุโส เอ็นจีโอ และขบวนการทางสังคมหลายกลุ่มในฐานะที่เป็นทางออกต่อความเลวร้ายของโลกทุนนิยมเสรี แนวคิดชุมชนนิยมนี้เองได้กลายเป็นสนามของการปะทะสังสรรค์กันระหว่างกลุ่มหรือพลังทางสังคมต่างๆในอันที่จะให้ความหมายหรือคำนิยามที่สอดคล้องไปกับผลประโยชน์ของตนเอง แม้แนวคิดชุมชนจะดูหลากหลายและแตกต่างกันไปแล้วแต่คำนิยามของแต่ละกลุ่มแต่ละชนชั้น



การพูดถึง “เศรษฐกิจพอเพียง” ของรัฐและชนชั้นปกครองในความหมายเดียวกับ “เศรษฐกิจชุมชน” ในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจ นั้นไม่ใช่เรื่องที่พูดลอยๆ แต่เป็น “ยุทธศาสตร์” ทางชนชั้นที่ต้องการกลบเกลื่อนความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างรัฐ ทุน และประชาชน อันเป็นผลมาจากการกดขี่ขูดรีดทรัพยากรและวิถีชีวิตของคนธรรมดามาเป็นระยะเวลานาน ซึ่งถูกซ้ำเติมด้วยวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540



การเติบโตของอุดมการณ์แบบ “คำตอบอยู่ที่หมู่บ้าน” ของขบวนการประชาชนเมื่อ 20 กว่าปีที่ผ่านมานี้สัมพันธ์กับการเติบโตขึ้นอย่างมากในเชิงพื้นที่ของการเมืองแบบเอ็นจีโอ การขยายตัวนี้เองในด้านหนึ่งได้ผนวกเอาปัญญาชนฝ่ายรัฐ เช่น ราษฎรอาวุโส และปัญญาชนทั้งฝ่ายขวาและเสรีนิยม เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งหรือหลายครั้งกลายเป็นส่วนที่สามารถชี้นำทางความคิดที่สำคัญของขบวนการประชาชนเอง



การมีสถานะครองความคิดจิตใจอย่างกว้างขวางของ “แนวชุมชนนิยม” ที่ถูกนำไปโยงกับความอ่อนแอและลักษณะประนีประนอมของขบวนการประชาชนนั้นได้นำไปสู่การที่ภาคประชาชนให้การสนับสนุนอย่างกว้างขวางต่อรัฐบาลไทยรักไทยที่หยิบเอาแนวคิดแบบชุมชนของขบวนการประชาชนไปใช้ และต่อมาฉันทามติเช่นนี้เองก็นำพาให้เกิดรัฐประหารในวันที่ 19 กันยา ด้วยข้อกล่าวหาว่า ไทยรักไทยมีนโยบายที่ไม่เดินตาม “เศรษฐกิจพอเพียง” ของในหลวง ซึ่งได้กลายเป็น “ข้ออ้าง” ที่ดูมีความชอบธรรมอย่างสูงในการทำรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 ที่ผ่านมา[3]



๒. ขบวนการประชาชนไม่เคยแตกหักกับแนวคิดชาตินิยม[4] ไม่ว่าชาตินิยมจะพัฒนา

ไปสู่รูปแบบที่พยายามรวมเอาประชาชนเข้ามาหรือชาตินิยมที่อิงอยู่กับ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ แบบคับแคบก็ตาม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดของการอ้างอิงการต่อสู้กับแนวคิดชาตินิยมแบบคับแคบก็คือ การล้มทักษิณของขบวนการพันธมิตรฯในช่วงปี 2549 ที่ผ่านมาก็ยังคงอธิบายว่า การขายหุ้นหรือการซุกหุ้น หรือแม้แต่การทำเอฟทีเอ แปรรูป เป็นเรื่อง “ขายชาติ” “ทรยศชาติ” นำไปสู่การที่แกนนำของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแข็งขันต่อการนำเสนอมาตรา 7 หรือการเรียกร้องนายกฯพระราชทานในช่วงที่ขับไล่รัฐบาลไทยรักไทย โดยเรียกขบวนการของตนเองว่า “ขบวนการกู้ชาติ” หรือตัวอย่างก่อนหน้านั้น เราจะเห็นการที่ขบวนการแรงงาน[5]อธิบายการแปรรูปรัฐวิสาหกิจของ “รัฐ” ไทยในหลาย “รัฐบาล” ว่าเป็นการ “ขายชาติ”



การใช้แนวทางชาตินิยมของขบวนการประชาชนที่ผ่านมานำไปสู่การที่ผู้นำของขบวนการประชาชนสามารถประนีประนอมกับกลุ่มทุนหรือชนชั้นปกครองบางกลุ่มในแต่ละช่วงเวลาได้ หากเห็นว่า กลุ่มย่อยของชนชั้นปกครองนั้นๆไม่ได้ทำอะไรที่ขัดแย้งกับผลประโยชน์ของ “ชาติ” มากเกินไป ปัญหาของการไม่แตกหักกับชาตินิยมของขบวนการประชาชนนี้เองนำไปสู่การไม่สามารถสร้างจุดแตกหักทางความคิดกับแนวทางเสรีนิยมหรือทุนนิยมได้อย่างแท้จริง เพราะสิ่งที่ขบวนการประชาชนกำลังต่อสู้กลับไม่ใช่ทุนนิยมอีกต่อไป แต่กลายเป็น “ต่างชาติ” “นักการเมืองขายชาติ” ซึ่งหากนักการเมืองหรือชนชั้นนำคนไหนดูเหมือนว่า “รักชาติ” “มีจริยธรรม” มากหน่อยก็สามารถจะให้การสนับสนุนหรือจับมือได้ในที่สุด ซึ่งเราจะเห็นตัวอย่างของปรากฏการณ์นี้จากการที่การขึ้นมาของพรรคไทยรักไทย และการเกิดรัฐประหาร 19 กันยาที่ผ่านมาที่ทั้งสองเหตุการณ์ได้รับการสนับสนุนของแกนนำของขบวนการประชาชนอย่างกว้างขวาง



๓. ผู้เขียนเห็นด้วยกับ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล[6]ที่เสนอว่า ในสายตาของขบวนการประชาชนนั้น

มโนทัศน์ (concept) เรื่อง “รัฐ” (state) ได้ถูกลดทอนให้กลายเป็น “รัฐบาล” (government) โดยเฉพาะนับตั้งแต่ความพ่ายแพ้ของพรรคคอมมิวนิสต์เป็นต้นมา สะท้อนความตกต่ำของแนวคิดแบบเศรษฐศาสตร์การเมืองหรือแนวฝ่ายซ้ายในการเมืองไทย ซึ่งถูกแทนที่ด้วยแนวคิดเสรีนิยมหรือเสรีนิยมประชาธิปไตย ที่มีลักษณะลดทอนโดยวางอยู่บนสมมติฐานที่ว่า รัฐทุนนิยมสามารถเป็นกลางได้ และทัศนคติแบบลดทอนนี้เองได้นำไปสู่การประสานและร่วมมือ หรือไว้วางใจนักคิดแบบเสรีนิยม(ลดทอน)ไม่ว่าจะเป็น นักกฎหมายมหาชน หรือ นักรัฐศาสตร์กระแสหลัก ซึ่งมีลักษณะเป็นนักเทคนิคทางการเมืองมากกว่าจะเป็นปัญญาชนของชนชั้นผู้ถูกกดขี่ในความหมายเดิมของฝ่ายประชาชนในอดีต รูปธรรมคือการมอบฉันทะและความไว้วางใจให้นักคิดเสรีนิยมซึ่งเป็นปัญญาชนฝ่ายรัฐได้เป็นผู้ร่างหรือกำหนดกติกาทางเศรษฐกิจและการเมือง เช่น ที่เกิดขึ้นกับการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 และมีแนวโน้มว่าจะเกิดขึ้นในการร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งก็ใช้เนติบริกร และนักเทคนิคทางการเมืองชุดเดิมกับที่ร่างรัฐธรรมนูญ 2540



ภาคประชาชนหลายส่วนสามารถมีฉันทามติกับรัฐธรรมนูญ 2540 ทั้งๆที่ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีหลายมาตราที่ลดอำนาจของประชาชนและเพิ่มอำนาจให้รัฐและกลุ่มทุน เช่น มาตรา 87 ที่ระบุไว้ชัดว่าจะ รัฐไทยจะต้องเป็นรัฐที่เชิดชูดทุนนิยมเสรี หรือทุนนิยมกลไกตลาดอยู่ ซึ่งนำไปสู่การรับรองให้รัฐไทยสามารถแปรรูปรัฐวิสาหกิจ นำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ทำสัญญาเอฟทีเอ ได้อย่างชอบธรรม “ตามกฎหมาย” หรือ แม้แต่การที่ขบวนการประชาชนเข้าร่วมโดยมีกรอบคิดที่จำกัดแต่เพียงข้อเสนอเชิงเทคนิคต่อการร่างรัฐธรรมนูญของเผด็จการทหารในปี 2550 โดยไม่นำไปสู่การพูดถึงการเปลี่ยนความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจสังคม หรือการสร้างประชาธิปไตยที่กินได้ จับต้องได้ นอกเสียจากการพูดถึง รูปแบบขององค์กรอิสระ การเลือกตั้ง หรือการแก้ไขกฎหมายบางมาตราในรัฐธรรมนูญตามกรอบแบบเสรีนิยม[7]



นี่เองสะท้อนทัศนะลดทอนของขบวนการประชาชนที่ต่อสู้ต่อรองแค่ในกรอบของกฎหมายและสถาบันทางการเมืองที่เป็นทางการ มากกว่าจะมุ่งไปสู่การตั้งคำถามเชิงโครงสร้างกับ “รัฐทุนนิยม” (capitalist state) ที่มีความหมายมากไปกว่าแค่ “รัฐบาลนายทุน” (capitalist government)[8] นำไปสู่การหมกมุ่นกับการจับผิดนักการเมืองในระบอบรัฐสภาว่า คนไหนที่คอร์รัปชั่นหรือมีผลประโยชน์ทับซ้อนมากหรือน้อยยังไง โดยทำให้การวิพากษ์รัฐทุนนิยมกลายเป็นเรื่องของ “จริยธรรมส่วนตัว” ของผู้นำรัฐบาลแต่ละคน ส่งผลให้การต่อสู้ของขบวนการประชาชนที่ผ่านมา “แทบจะ” ไม่พูดถึงการปฏิรูปเศรษฐกิจและสังคมแบบถอนรากถอนโคน ในฐานะที่เป็นการเปลี่ยนแปลงในขั้นมูลฐานของโครงสร้างการถือครองปัจจัยการผลิต หรือความสัมพันธ์ทางการผลิตแบบทุนนิยมที่สร้างความไม่เท่าเทียมในทุกๆมิติในปัจจุบัน จึงไม่น่าแปลกใจที่ขบวนการประชาชนหลายส่วนสามารถยินดีปรีดาได้กับการมีผู้นำที่ดูมีจริยธรรม “มากกว่า” หรือดู “พอเพียงกว่า” ผู้นำคนที่ตนเองไม่ต้องการ เช่น ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยไปจับมือกับเผด็จการทหารดังที่เราเห็นในปัจจุบัน[9]



๔. นับตั้งแต่การล่มสลายของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ขบวนการประชาชน ชน

ชั้นนำเอ็นจีโอ และปัญญาชนของขบวนการประชาชนไม่เคยไว้วางใจ คนจนหรือชนชั้นล่าง และแม้กระทั่งไม่มีความมั่นใจในการสร้างพรรคการเมืองของภาคประชาชน[10] หรือ การสร้างอุดมการณ์ทางเลือกให้กับภาคประชาชน นำไปสู่การต้องพึ่งพิงหรือหยิบยืม “วิธีการมองโลก” ของปัญญาชนกระแสหลัก ไม่ว่าจะเป็นพวกเสรีนิยม หรือแม้กระทั่งกลุ่มทุนขวาจัด เช่น TDRI[11] หรือแนวชุมชนฝ่ายขวาแบบหมอประเวศในที่สุด เราสามารถเห็นตัวอย่างเหล่านี้ได้ชัดเมื่อ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเกิดขึ้นจากการเข้าไปร่วมกับ สนธิ ลิ้มทองกุล ของภาคประชาชนหลายส่วนได้มีจุดยืนคัดค้านการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยในวันที่ 2 เมษายน 2549 ด้วยข้ออ้างว่า คนชนบทหรือคนจนที่ไปเลือกทักษิณนั้นเป็นคน “ไร้การศึกษา” “ขาดข้อมูล” “ไม่มีความรู้” และจะทำให้พรรคไทยรักไทยสามารถกลับมาได้อีกครั้ง แทนที่จะมองว่าคนธรรมดาเลือกเพราะมองว่า อย่างน้อยไทยรักไทยก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่มีหรือว่าเลวน้อยที่สุดที่มีในขณะนั้นๆ



ลักษณะการดูถูกคนจนของชนชั้นนำของขบวนการประชาชน โดยเฉพาะที่อยู่ในพันธมิตรประชาชนเพื่อ

ประชาธิปไตยนี้เองนำมาสู่การไม่ยอมหันหน้าออกไปสร้างฐานมวลชนที่ตนเองเคยมีหรือเคยทำงานด้วยเพื่อล้มทักษิณ แต่นำไปสู่การจับมือกับ สนธิ ลิ้มทองกุล และหยิบยืมวิธีการมองโลกของฝ่ายที่เป็นศัตรูของคนจนเองมาใช้ในการวิพากษ์วิจารณ์ไทยรักไทย ซึ่งการสร้างแนวร่วมที่พิกลพิการและไร้จุดยืนที่เคียงข้างชนชั้นที่ถูกกดขี่นี้เองได้นำไปสู่การเรียกร้องนายกพระราชทานไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม[12] ซึ่งในที่สุดกลายเป็นการเปิดทางให้กับการรัฐประหารหรือแม้แต่เมื่อเกิดรัฐประหารแล้วก็ยังเข้าไปร่วมร่างรัฐธรรมนูญกับ คมช. เช่น ในกรณีของ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย เป็นต้น



ดังนั้นการที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยใช้ประเด็น “โกงการเลือกตั้ง” “ซื้อเสียง” เพื่อโจมตีไทยรักไทยนั้น เมื่อพูดถึงที่สุดแล้วก็คือการบอกอย่างเป็นนัยว่า สังคมไทยยังไม่พร้อมจะเป็นประชาธิปไตย เพราะประชาชนโง่ และไม่ (ควรจะสะเออะ) มีสิทธิมีเสียงนั่นเอง โดยสรุปแล้ว การเคลื่อนไหวทางการเมืองของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยนั้นเป็นสิทธิตามระบอบประชาธิปไตย แต่การเคลื่อนไหวนี้มิได้มีเป้าหมายที่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย



หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อสังเกตทั้ง 4 ประเด็นนี้อาจมีส่วนช่วยสร้างความเข้าใจถึงข้อจำกัดของขบวนการประชาชนอย่างน้อยก็ตั้งแต่ปี 2535 ได้ชัดเจนมากขึ้น และอาจนำมาสู่การแสวงหายุทธศาสตร์ และวิธีการมองโลกของขบวนการประชาชนเอง โดยไม่พึ่งพาวิธีการมองโลกของปัญญาชนฝ่ายที่เป็นศัตรูกับคนจนแบบที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี ในระยะเวลาที่ผ่านมาเราจะเห็นความหวังในหลายกรณี เช่น ขบวนการแรงงานที่นำโดยคนรุ่นใหม่หลายส่วน[13]ได้ออกมามีจุดยืนอิสระที่คัดค้านรัฐประหาร โดยไม่ร่วมสังฆกรรมกับผู้นำแรงงานเดิมที่ประนีประนอมกับเผด็จการทหาร หรือกรณีที่ขบวนการนักศึกษาคนรุ่นใหม่จำนวนหนึ่ง[14]ออกมาคัดค้านเผด็จการทหารอย่างแข็งขันตลอดมานับตั้งแต่เกิดรัฐประหารในวันที่ 19 กันยา นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆที่ยังคงให้ความหวังกับเราว่า ในไม่ช้านี้ขบวนการประชาชนของเราจะเข้มแข็งเป็นอิสระและสามารถฝ่าฟันกับเพดานทางความคิดใดๆก็ตามที่เป็นอุปสรรคอยู่ เพื่อที่เราจะสามารถเสนอภาพของ “โลกใบใหม่” ของเราร่วมกันได้เอง ผ่านการต่อสู้เพื่อสะสมชัยชนะในระยะอันสั้นนี้คือการ คว่ำรัฐธรรมนูญ 2550 และการสร้าง รัฐสวัสดิการ เป็นชัยชนะระยะยาวของเรา



ooo



--------------------------------------------------------------------------------

[1] บทความขนาดสั้นนี้เรียบเรียงขึ้นจากการนำเสนอในวาระครบรอบ 15 ปี พฤษภาประชาธรรม ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 17 พฤษภาคม 2550

[2] บุคคลที่น่าสนใจก็คือ หมอประเวศ วะสี, ไพบูลย์ วัฒนศิริธรรม, พลเดช ปิ่นประทีป ที่มีบทบาทในสถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา และมีบทบาทอย่างแข็งขันในการสนับสนุนไทยรักไทยในช่วงแรกที่เป็นรัฐบาล และมีบทบาทอย่างมากในการขับไล่ทักษิณในช่วงปี 2549 ซึ่งต่อมาไพบูลย์และพลเดชก็ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลสุรยุทธ์

[3] ดูการอธิบายของ ประเวศ วะสี, พิภพ ธงไชย, ธีรยุทธ บุญมี, สุลักษณ์ ศิวรักษ์ ฯลฯ ในการให้สัมภาษณ์หรือบทความหลายๆแห่งทั้งก่อนและหลังรัฐประหาร

[4] ปัญญาชนชาตินิยมที่มีอิทธิพลทางความคิด เช่น พิทยา ว่องกุล, ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ฯลฯ ซึ่งคนเหล่านี้ก็เคยสนับสนุนพรรคไทยรักไทยมาก่อนทั้งสิ้น หรือแม้แต่ คนอย่าง สมศักดิ์ โกศัยสุข ผู้นำแรงงาน

[5] ดูได้จากเอกสารหรือสติกเกอร์รณรงค์ของสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจทั้งในช่วงที่ต่อต้านการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและในวันแรงงานในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจนถึงช่วงที่ไล่ทักษิณ

[6] “หลัง ๑๔ ตุลา” ใน ฟ้าเดียวกัน , ปีที่ 3 ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม 2548, หน้า 168-171.

[7] ดู จดหมายข่าว ครป. ในช่วงร่างรัฐธรรมนูญ 2540 และเอกสารรณรงค์ของคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย

[8] ประเด็นนี้สามารถหาอ่านได้ในงานวิชาการสายมาร์กซิสต์อย่างเช่น Nicos Poulantzas, State, Power and Socialism (London and New York: Verso, 1980)

[9] สุริยะใส กตะศิลา เองก็ชื่นชมว่า สุรยุทธ์เป็นคนดี อย่างน้อยก็ดีกว่าทักษิณ ดูคำสัมภาษณ์นี้ใน ประชาทรรศน์, ปีที่ 1(29 มกราคม - 4 กุมภาพันธ์ 2550),หน้า 4.

[10] ดูที่ พิภพ ธงไชย กล่าวในสารคดีเรื่อง “เหลี่ยมชีวิต ทักษิณ ชินวัตร” ออกอากาศในรายการ คม-ชัด-ลึก วันที่ 28 ธันวาคม 2549

[11] ประธานของ TDRI คือ ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ ก็ได้ตำแหน่งรัฐมนตรีในรัฐบาลของสุรยุทธ์ โดยแต่งตั้งในวันที่ 8 มีนาคม 2550

[12] หลายคนในพันธมิตรฯอ้างว่าไม่มีทางเลือกอื่น หรือเจอทางตัน ทำให้ต้องเสนอมาตรา 7 เช่น สุริยะใส กตะศิลา เป็นต้น หรือ เอ็นจีโออาวุโส อย่าง บำรุง บุญปัญญา ก็มองว่า ขบวนการขับไล่ทักษิณถึงทางตันแล้ว จึงจำเป็นต้องเสนอมาตรา 7

[13] เท่าที่ผู้เขียนได้สัมผัสคือ สหพันธ์สิ่งทอแห่งประเทศไทย และสหภาพแรงงานย่านรังสิตและใกล้เคียง ที่มีจุดยืนชัดเจนค้านรัฐประหาร

[14] เช่น เครือข่าย 19 กันยา ต้านรัฐประหาร และสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย






Create Date : 14 กรกฎาคม 2550
Last Update : 14 กรกฎาคม 2550 12:10:25 น. 0 comments
Counter : 839 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Darksingha
Location :
สมุทรสงคราม Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]





Click for use Graphics comment


Darksingha ที่แสดงถึงอำนาจและความมืดมัว ผมให้แทนคำว่า Age of Doubt หรือยุคแห่งความสงสัยก็แล้วกัน ดังนั้นBlogนี้จึงเป็นแดนสนธยาที่เต็มไปด้วยหมอกควันแห่งคำถาม และการละเล่น เพื่อแสวงหา ?


TV3 Live CH5 Live CH7 Live Modernine TV Live NBT LIVE - CH11 TPBS - Public Channel ASTV1 New11 - Online News 24 hours Nation Channel DMC.TV - Buddhistic Television ASTV5 - Suvarnbhumi ASTV7 - Buddhistic Television  True New 24 Channel  skynew  cnnibn Channel  cnn Channel  bbcnews_island Channel  cctv  Channel  bfmtv  Channel  ntv  Channel  fox8 Channel  foxnews5 Channel  cspan  Channel  france24 Channel  world_explorer Channel  discovery_channel Channel  nasa  Channel kimeng-channel dmc-channel ebr-channel research-channel utv-channel michigan-channel at-florida-channel islam-channel peace-usa-channel bbc-panorama-channel CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live CH7 Live

music is life

ชุมทางเพลงเพื่อชีวิต

Friends' blogs
[Add Darksingha's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.