|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
ผุดบังเกิด - การปฏิวัติจากล่างสู่บน
เขียนโดย ชลนภา อนุกูล
การทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่แปลกใหม่และน่าสนใจครั้งหนึ่งในปี ค.ศ.๒๐๐๐ ก็คือการทดลองเกี่ยวกับราเมือก - สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวที่คล้ายกับอมีบา
นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่นได้ทดลองนำราเมือก ไปไว้ในพื้นที่เขาวงกต เมื่อนำอาหารไปวางที่ปลายทางออกทั้งสองด้าน ราเมือกก็สามารถยืดตัวไปหาแหล่งอาหารทั้งสองจุดได้
และที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งก็คือ เจ้าราเมือก - สิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ ไม่มีทั้งอวัยวะ ไม่มีทั้งสมอง - สามารถเดินทางไปหาแหล่งอาหารดังกล่าวได้ด้วยระยะทางที่สั้นที่สุด
ปรากฏการณ์คล้ายกันนี้ก็เกิดขึ้นในสัตว์ที่มีมันสมองเล็กกว่าหัวไม้ขีดไฟอย่างมด
งานวิจัยชิ้นหนึ่งของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดซึ่งศึกษาติดต่อกันมากว่า ๑๕ ปีพบว่า ฝูงมดสามารถคำนวณหาระยะทางที่สั้นที่สุดในการไปถึงแหล่งอาหาร สุสานมดตั้งอยู่ห่างจากรังมากที่สุด และที่เก็บเสบียงอาหารก็ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างรังกับสุสานอย่างพอดิบพอดี
เรารู้ว่าในฝูงมดมีราชินีมด แต่ราชินีมดไม่ได้มีหน้าที่ชี้นิ้วสั่งการ หรือออกคำสั่งแบ่งงานให้มดแต่ละตัวไปทำงาน ราชินีมดมีหน้าที่แต่เพียงวางไข่ มดแต่ละตัวต่างก็ทำหน้าที่ของตนไปโดยมิได้รอรับคำสั่งจากใคร
การเกิดขึ้นของเมืองก็ดูไม่ต่างจากปรากฏการณ์ดังกล่าวสักเท่าไหร่
ทันทีที่กรุงเทพฯ กลายเป็นเมืองใหม่ ผู้คนต่างก็จัดสรรปันพื้นที่ เกิดเป็นย่านค้าขาย ย่านที่อยู่อาศัย ย่านช่างฝีมือ ย่านบันเทิง ฯลฯ ย่านชุมชนต่างๆ เหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นโดยปราศจากการกำหนดกะเกณฑ์จากใคร
ปรากฏการณ์ที่ "บางสิ่งบางอย่าง" กำเนิดขึ้น และดำเนินไปโดยปราศจากการกำหนดควบคุมนี้ เป็นสิ่งที่อาจเรียกว่า "การผุดบังเกิด" - Emergence
การผุดบังเกิดมักจะใช้อธิบายปรากฏการณ์ซึ่งประกอบด้วยหน่วยย่อยที่มีการปฏิสัมพันธ์กัน โดยการผุดบังเกิดของคุณสมบัติใหม่นั้นขึ้นกับ "ปริมาณของการปฏิสัมพันธ์"
เม็ดทรายจำนวนหลายล้านเม็ดที่ริมทะเลเมื่อมาอยู่รวมกันก็ยังเป็นเม็ดทรายอยู่ดี หรือผู้คนที่อยู่ในรถยนต์ท่ามกลางการจราจรอันหนาแน่นก็มิได้สร้างเมืองบนท้องถนนขึ้นมาได้ - เพราะการเกิดขึ้นของคุณสมบัติใหม่ไม่ขึ้นกับปริมาณของหน่วยย่อยที่มารวมกัน หากขึ้นกับปริมาณของการปฏิสัมพันธ์
เราจะเห็นได้ว่า ระบบที่ประกอบด้วยหน่วยย่อยจำนวนมากดังตัวอย่างที่นำเสนอมาข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นราเมือก ฝูงมด เมือง ต่างก็มีการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างหน่วยย่อย เปรียบได้กับการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารปริมาณมหาศาล
ประดามดที่เดินสวนทางกันไปมาต่างสื่อสารกันด้วยกลิ่นของสารที่ปล่อยออกมา เพื่อบอกว่าอาหารอยู่ใกล้หรือไกล ความแตกต่างทางวัยของมดที่เดินผ่านกันก็ทำให้รู้ว่ารังมดนั้นมีอายุเท่าไหร่
การสนทนาพูดคุยระหว่างผู้คนก็เป็นปัจจัยสำคัญในการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารของเมือง เจน จาคอบ ผู้เขียน Death and Living of Great American Cities ย้ำว่าเมืองเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้คนในเมืองสามารถปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน ทางเดินเท้านั้นจึงสำคัญเสียยิ่งกว่าถนนที่ให้รถยนต์วิ่ง และเมืองไม่อาจเกิดขึ้นได้เพียงแค่วาดวังลงบนแผนที่ หรือใช้รถแทร็กเตอร์ไถให้เกิดพื้นที่ที่ต้องการ
อินเทอร์เนตทำให้ผู้คนทั้งโลกติดต่อสื่อสารกันได้โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยรัฐบาลกลาง เกิดกลายเป็นหมู่บ้านโลก และวัฒนธรรมแบบโลกาภิวัตน์ขึ้น การแสดงความคิดเห็นอันหลากหลายผ่านพื้นที่เว็บบล็อกและเว็บไซต์ ได้ก่อให้เกิดการตื่นตัวทางสังคมและการเมืองในปริมาณมาก และด้วยอัตราที่เร็วมหาศาล
เมื่อมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารมากจนถึงระดับหนึ่ง เราก็จะพบว่ามีแบบแผนเกิดขึ้น ดังที่ มดส่วนใหญ่ก็จะไม่เดินกันเปะปะอีกต่อไป หากใช้เส้นทางหลักเดียวกันในการไปหาอาหาร หรือการที่ย่านชุมชนรูปแบบต่างๆ เกิดขึ้น ดังเช่น ย่านคนจีนแถวเยาวราช ย่านแขกขายผ้าแถวพาหุรัด ย่านนักศึกษาในเขตใกล้มหาวิทยาลัยต่างๆ ผู้คนในเมืองรู้แล้วว่าจะไปหาอะไรได้จากที่ไหน ผู้คนในอินเทอร์เนตก็รู้ว่าจะค้นหาข้อมูลอะไรได้จาก //www.google.com รู้ว่าจะดูคลิปวิดีโอที่หาดูที่ไหนไม่ได้ผ่าน https://www.youtube.com/ รู้ว่าจะอ่านสารานุกรมที่ใหญ่ที่สุดของโลกแบบไม่เสียสตางค์ผ่าน //www.wikipedia.org/ เป็นต้น
และแม้จะมีความเป็นแบบแผนเกิดขึ้น ระบบก็ไม่ได้หยุดนิ่งคงที่ หากมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับ มีการเรียนรู้ผ่านวงจรป้อนกลับ ที่ก่อให้เกิดการขยายผลขึ้นไปตามลำดับ ขณะเดียวกัน วงจรป้อนกลับนี้เองก็ทำหน้าที่เป็นผู้ควบคุมระบบโดยอ้อม
ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับปรากฏการณ์ผุดบังเกิดในฐานะที่เป็นคำอธิบายต่อสิ่งใหม่ๆ ดีๆ ที่เกิดขึ้นในระบบอันซับซ้อน ได้ถูกแปรรูปไปสู่การสร้างระบบที่เอื้อต่อการผุดบังเกิด นั่นคือ ระบบที่ประกอบไปด้วยปฏิสัมพันธ์ของหน่วยย่อยจำนวนมาก มีแบบแผนการปฏิสัมพันธ์ มีการเรียนรู้ผ่านวงจรป้อนกลับ และมีการควบคุมโดยอ้อม ดังเช่น
มาร์โค โดริโก ศาสตราจารย์ทางด้านคอมพิวเตอร์ได้นำมาคิดค้นอัลกอริธึม หรือวิธีแก้ปัญหา ที่เรียกว่า Ant Colony Optimization ซึ่งจำลองแบบการปฏิสัมพันธ์ แบบแผนและการเรียนรู้ผ่านวงจรป้อนกลับของฝูงมด และถือว่าเป็นผลงานสำคัญของวงการคอมพิวเตอร์เลยทีเดียว
ดาเนียล ลิเบสคินด์ สถาปนิกชาวเยอรมันผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในการออกแบบบูรณะเมืองเบอร์ลินที่ถูกผ่าครึ่งขึ้นมาใหม่หลังการรวมประเทศ ก็เน้นย้ำว่า แทนที่จะสร้างตึกสูงสำหรับสำนักงานขนาดใหญ่ การออกแบบทางเดินเท้าเพื่อเชื่อมโยงพื้นที่สาธารณะอย่างเช่น วัด ร้านกาแฟ ร้านอาหาร สวนสาธารณะ ต่างหาก ที่เป็นหัวใจหลักของเมืองใหม่ เพราะจะทำให้เกิดชุมชนที่มีชีวิต และกลายเป็นเมืองใหม่ที่มีชีวิตขึ้นได้ในเร็ววัน
เว็บไซต์อย่าง //www.slashdot.org/ ก็ได้คิดระบบที่กำหนดให้ผู้ใช้แต่ละคนช่วยตรวจสอบความคิดเห็นของผู้อื่น นั่นคือ ผู้ใช้ที่แสดงความคิดเห็นแบบเลวก็จะได้รับคะแนนความน่าเชื่อถือแบบติดลบจากผู้ใช้ในระบบ แทนที่จะรอให้ผู้ดูแลระบบซึ่งมีอยู่เพียงหยิบมือเดียวทำหน้าที่กลั่นกรองความคิดเห็นจำนวนนับล้านต่อวัน และได้ก่อให้เกิดชุมชนเว็บบอร์ดที่มีคุณภาพมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
สตีเวน จอห์นสัน ผู้เขียน Emergence: The Connected Lives of Ants, Brains, Cities and Software เสนอว่าทฤษฎีผุดบังเกิดน่าจะอธิบายการเปลี่ยนแปลงในสังคมได้ดีกว่าทฤษฎีวีรบุรุษและทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงกะลาครอบ โดยเหตุที่ทฤษฎีแรกนั้นปฏิเสธพลังขององค์รวม และทฤษฎีหลังไม่อาจอธิบายการเกิดขึ้นของความคิดแบบใหม่ได้
ข้าพเจ้าเห็นว่า ความน่าสนใจของทฤษฎีผุดบังเกิดนั้นอยู่ที่การเน้นย้ำความสำคัญของหน่วยย่อย ซึ่งต้องมีปฏิสัมพันธ์กับหน่วยย่อยอื่นๆ การเปลี่ยนแปลงในระดับใหญ่ล้วนเกิดจากการขยับเคลื่อนไหวของหน่วยย่อยเล็กๆ ดังเช่น การชุมนุมของผู้คนธรรมดาหลากหลายฐานะ ชนชั้น และอาชีพ ที่กลางเมืองหลวงของประเทศไทยตั้งแต่ปลายปี ๒๕๔๘ ก่อให้เกิดการไหลเวียนของข้อมูลข่าวสารที่ผู้มีอำนาจพยายามปิดกั้นไว้จากสื่อกลางของรัฐ จนกระเพื่อมไหวออกไปเกือบทุกภาคส่วนของสังคมภายในเวลาเพียงหนึ่งปี และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในท้ายที่สุด และ - แน่นอนว่าชะตากรรมของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งครั้งก่อนหน้าก็คงไม่ใช่ตัวอย่างสุดท้าย
แนวคิดแบบผุดบังเกิดนั้นถือได้ว่าเป็นคู่ตรงข้ามกับอำนาจนิยม เพราะมีความเชื่อมั่นในเรื่องของปัญญาจากฐานล่าง เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงต้องเกิดขึ้นจากระดับล่างขึ้นมา
สังคมหรือองค์กรที่จะมุ่งหมายจะปฏิวัติเปลี่ยนแปลงตนเอง จำต้องเปิดพื้นที่สาธารณะให้กับผู้คนในสังคมหรือองค์กรของตน ระบบตรวจสอบเซ็นเซอร์สติปัญญาของผู้คนโดยผู้มีอำนาจย่อมก่อให้เกิดความรู้องค์รวมที่ลีบเล็ก ผู้นำองค์กรจำต้องเชื่อมั่นไว้วางใจในระบบควบคุมตรวจสอบโดยธรรมชาติจากสมาชิกในสังคม
การปฏิวัติทางการเมือง การศึกษา หรือจิตสำนึกใหม่ ก็เป็นเช่นเดียวกัน หากยังคิดอยู่ในกะลาหรือกระบวนทัศน์ที่ว่า มีเพียงชนชั้นนำเท่านั้นที่รู้มากกว่าผู้อื่น และพยายามยัดเยียดกะลาให้ผู้อื่น การเปลี่ยนแปลงนั้นก็เป็นแต่เพียงเปลือกนอกภายใต้ร่มเงากะลาเดิม เป็นความฉ้อฉล และอยู่ได้เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น
ชลนภา อนุกูล แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ มูลนิธิสดศรี-สฤษดิ์วงศ์ สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ตีพิมพ์ใน มติชนรายวัน วันเสาร์ที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๐ เผยแพร่ต่อใน//review.semsikkha.org/content/view/397/78/
Create Date : 19 กันยายน 2550 |
|
1 comments |
Last Update : 19 กันยายน 2550 18:31:51 น. |
Counter : 9428 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: น้องมีโอเองค่ะ (fifty-four ) 9 เมษายน 2551 23:39:32 น. |
|
|
|
|
|
|
|
...ขาว...อวบบ..หนาดดนี้มาส่งเข้านอนจาหลาบมั้ยค้า...