เสียดาย ร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับลงประชามติ
บท บ.ก. เอฟทีเอว็อทช์
3 ตุลาคม 2550
ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งอย่างกับความอัปยศที่คนไทยทำได้เพียงมองตาปริบๆ หลังจากที่รัฐบาลไทยได้แลกเปลี่ยนหนังสือการทูตกับรัฐบาลญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมา เพื่อให้ความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มีผลบังคับใช้เดือนหน้า
บัดนี้ หัวสมองมีแต่เครื่องหมายคำถามพันกันรกรุงรัง เป็นคำถามที่ว่า นายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดนี้สามารถที่จะเขียนรัฐธรรมนูญด้วยมือ แล้วลบด้วยตีน (เท้า) ในชั่วระยะเวลาเพียง 1 เดือนเศษได้อย่างไร
ในมือของผู้เขียน คือ หนังสือขนาดย่อมเล่มสีเหลืองอ๋อย หน้าปกเขียนว่า ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เรียน เจ้าบ้านทุกครัวเรือน หนังสือนี้เพื่อศึกษาและใช้ประกอบเป็นข้อมูลในการออกเสียงประชามติ ในวันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2550
เปิดไปหน้า 97 มาตรา 190 เขียนว่า
หนังสือสัญญาใดมีบทเปลี่ยนแปลงอาณาเขตไทยหรือเขตพื้นที่นอกอาณาเขตซึ่งประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยหรือมีเขตอำนาจตามหนังสือสัญญาหรือตามกฎหมายระหว่างประเทศ หรือจะต้องออกพระราชบัญญัติเพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญาหรือมีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจหรือสังคมของประเทศอย่างกว้างขวาง หรือมีผลผูกพันด้านการค้า การลงทุน หรืองบประมาณของประเทศอย่างมีนัยสำคัญต้องได้รับความเห็นชอบของสภา
คนที่ได้ติดตามปัญหาการเจรจาการค้าระหว่างประเทศในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาย่อมจะทราบดีว่า มาตรานี้ถูกร่างขึ้นมาด้วยจุดมุ่งหมายที่จะวางกรอบกติกาใหม่ในสังคม เพื่อแก้ปัญหาที่คาราคาซังมานานจากมาตรา 224 ในรัฐธรรมนูญฉบับที่แล้ว ซึ่งกำหนดไว้ไม่ชัดเจนว่า สนธิสัญญาแบบใดบ้างที่เข้าข่ายต้องรับการพิจารณาจากสภา
ในยุคที่แรงเหวี่ยงจากโลกาภิวัตน์ทำให้พรมแดนที่แท้จริงของแต่ละประเทศเจือจางลงเรื่อยๆ ส่วน ทุน สามารถวิ่งพล่านไปมาได้ทั่วโลกโดยแทบจะไม่ต้องใส่ใจเรื่องพรมแดนหรือรัฐชาติอีกต่อไป การกำหนดให้ประเภทของสนธิสัญญาที่ต้องผ่านการพิจารณาของสภามีความรัดกุมและรับมือกับสถานการณ์โลกาภิวัตน์ได้ดีขึ้น โดยใช้หลักเกณฑ์ในกรอบใหม่ที่ยืดหยุ่นกว่าเดิมดังปรากฏในมาตรา 190 จึงเป็นผลประโยชน์โดยตรงของประชาชนที่ยังคงยึดโยงกับ รากฐาน ของตนซึ่งอยู่ภายในพรมแดนของรัฐชาติ
กล่าวเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติหรือรัฐสภาที่จะมีขึ้นหลังการเลือกตั้งนั้น จะนำมาซึ่งการตัดสินใจที่ถูกต้องเสมอไป แต่อย่างน้อย หากเรายังมีความเชื่อมั่นในระบบตัวแทนหลงเหลืออยู่บ้าง (หรือเชื่อว่า การให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติพิจารณายังดีกว่าการที่รัฐบาลชุดนี้ตัดสินใจเดินหน้าทำอะไรเพียงลำพัง) การผ่านสภาเพื่อเปิดให้มีการพิจารณาอย่างรอบคอบและสร้างบรรทัดฐานของการเปิดศักราชใหม่ของรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามตินั้นย่อมชอบธรรมและโปร่งใสกว่าการไม่ผ่านสภาเป็นแน่
คำถามคือว่า แล้วอะไรเล่าที่ทำให้นายกรัฐมนตรีคนนี้ต้องเร่งให้มีการแลกเปลี่ยนจดหมายทางการทูตกับญี่ปุ่นในวันที่ 2 ตุลาคมที่ผ่านมาอย่างหน้าตาเฉย เพื่อที่จะให้ JTEPA มีผลบังคับใช้ 1 พฤศจิกายน โดยไม่ผ่านสภาเสียก่อน แต่ที่น่าขมวดคิ้วยิ่งกว่า คือ ปริศนาจดหมาย 2 ฉบับของกระทรวงการต่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปมากเพียงชั่วเวลาข้ามคืน เสมือนเขียนโดยคน 2 คนที่มาจากโลกที่แตกต่างกัน คือ โลกที่ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 กับโลกที่มีรัฐธรรมนูญฉบับ 2550
กระทรวงการต่างประเทศระบุชัดเจนในจดหมายฉบับแรกที่มีไปถึงเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ลงเมื่อวันที่ 17 กันยายน ว่า
[JTEPA]
น่าจะเข้าข่ายหนังสือสัญญาที่มีผลผูกพันด้านการค้าและการลงทุนอย่างมีนัยสำคัญ
เนื่องจากมีข้อผูกพันเปิดเสรีทางด้านการค้าสินค้า การค้าบริการ และการลงทุนที่ไม่ใช่ภาคบริการ ซึ่งเป็นการเปิดเสรีที่มากกว่าที่ไทยเคยผูกพันไว้ภายใต้กรอบองค์การการค้าโลก
การขอความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะชี้ว่ารัฐบาลดำเนินการโดยความรอบคอบ แม้จะทำให้ความตกลงฯ มีผลใช้บังคับล่าช้าออกไปบ้าง แต่ก็ไม่น่าจะล่าช้าเกินไป
และสามารถชี้แจงกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้ โดยเฉพาะฝ่ายญี่ปุ่นน่าจะพร้อมรับคำอธิบายได้ว่าการที่กระบวนการล่าช้าเพราะไทยมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
จดหมายฉบับที่สอง ลงวันที่ 18 ตุลาคม กระทรวงต่างประเทศขอยกเลิกจดหมายฉบับเก่า และเสนอให้แลกเปลี่ยนหนังสือทางการทูตเพื่อแสดงว่าไทยได้ดำเนินกระบวนการทางกฎหมายภายในที่จำเป็นเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งนี้ ไม่ปรากฏคำว่า สภา และ รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สักคำเดียว
คำถามทั้งหลายทั้งมวลที่พันกันอยู่ในหัวดูเหมือนจะยังนอนแน่นิ่งแบบยุ่งๆ อยู่อย่างนั้น ผู้เขียนนึกถึงหนังสือร่างรัฐธรรมนูญฉบับลงประชามติที่บัดนี้ถูกทิ้งอยู่ตามตู้ โต๊ะและกองหนังสือเก่า และในอีกไม่กี่ปีอาจถูกคัดเลือกให้ไปประจำอยู่ในรถซาเล้ง นึกถึงกระบวนการรับฟังความคิดเห็นและการจัดการลงประชามติที่ต้องเสียงบประมาณจำนวนมหาศาล แล้วก็นึกถึงเสียงโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญจำนวนไม่น้อยที่กระจายตัวอยู่ในภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคใต้
คงไม่ใช่เพราะอิทธิพลของทักษิณหรือพรรคไทยรักไทยเท่านั้นกระมังที่ทำให้คนจำนวนมากโหวตไม่รับร่างรัฐธรรมนูญในวันที่ 19 สิงหาคมที่ผ่านมา เอาเข้าที่จริง คนจำนวนหนึ่งอาจรู้อยู่แล้วก็ได้ว่า ถึงโหวตรับไป คนที่อยู่ในอำนาจบางคนก็ยังคงไม่ยี่หระต่อสิ่งที่เขียนอยู่ในรัฐธรรมนูญอยู่ดี
ที่มา : ประชาไท วันที่ : 3/10/2550
Create Date : 04 ตุลาคม 2550 |
|
4 comments |
Last Update : 4 ตุลาคม 2550 13:33:30 น. |
Counter : 2242 Pageviews. |
|
|
|
จขบ. หายไปไหนคะ