แนวโน้มสังคมการเมืองไทยภายใต้ รธน. 2550 คือ นีโอ-อภิชนาธิปไตย
ณภัค เสรีรักษ์
นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
1. อภิจารีตรัฐธรรมนูญไทย[1]
แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะมีฐานะเป็น สถาบันหลัก ทางการเมือง ที่มีอิทธิพลหรืออาจกล่าวว่าเป็นตัวกำกับสังคมการเมือง แต่ขณะที่รัฐธรรมนูญส่งอิทธิพลต่อพัฒนาการทางการเมือง พัฒนาการทางสังคมการเมืองก็ส่งอิทธิพลต่อพัฒนาการของรัฐธรรมนูญด้วย อย่างไรก็ตามผู้เขียนเห็นว่ายังมี ปัจจัยเชิงสถาบัน ที่คอยกำกับรัฐธรรมนูญและพัฒนาการของสังคมการเมืองประชาธิปไตยไทยอีกชั้นหนึ่ง
ผู้เขียนขอเรียกปัจจัยเชิงสถาบันดังกล่าวว่า อภิจารีตรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีความหมายถึง ลักษณะพื้นฐานบางประการที่ไม่มีลายลักษณ์อักษร และไม่มีผลบังคับทางกฎหมาย แต่เป็นแบบแผนหรือบรรทัดฐานที่คอยกำกับรัฐธรรมนูญ กำกับโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคม ซึ่ง อภิจารีตรัฐธรรมนูญ นี้เองเป็นปัจจัยที่ทำให้รัฐธรรมนูญไทยไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ในฐานะกฎกติกาสูงสุด และตกอยู่ในวงจร ร่าง-ใช้-ฉีก อย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ตลอดเวลาจนที่ไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด
ในทัศนะของผู้เขียน อภิจารีตรัฐธรรมนูญไทย ประกอบไปด้วย
ประการแรก รัฐธรรมนูญเป็นผลผลิตของการแย่งชิงอำนาจและการประสานประโยชน์ กล่าวคือ หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 เนื้อหาของรัฐธรรมนูญจะเป็นตัวสะท้อนสังคมการเมืองในช่วงเวลานั้น เช่น ธรรมนูญการปกครองฯ 2475 ซึ่งรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เราก็พบว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์ของคณะราษฎรในการจำกัดอำนาจของฝ่ายเจ้า เป็นต้น หรือรัฐธรรมนูญ 2492 ที่เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่พูดถึง ประชาธิปไตย มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ก็สามารถสะท้อนสถานการณ์ช่วงนั้นได้คือการที่ฝ่ายนิยมเจ้าเริ่มฟื้นฟูอุดมการณ์ของฝ่ายตนขึ้นมาในสังคมไทย
ประการที่สอง ยอมรับการรัฐประหาร, ฉีกรัฐธรรมนูญ และร่างรัฐธรรมนูญใหม่หลังรัฐประหาร ในสังคมการเมืองไทย เมื่อเกิดความขัดแย้งหรือเมื่อประสานประโยชน์กันไม่ได้ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมักแก้ปัญหาด้วยการทำปฏิวัติรัฐประหาร แล้วตั้งตัวเป็น องค์อธิปัตย์ กระทำการฉีกรัฐธรรมนูญและร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขึ้นแทน วงจรดังกล่าวเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนการรัฐประหารถือเป็นทางเลือกในการแก้ปัญหาสังคมไปแล้ว
ประการที่สาม รัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ต้องมี กล่าวคือ ไม่ว่าระบอบการเมืองจะผันผวนมากเพียงใด อยู่ในระบอบการปกครองแบบใด แต่ประเทศนี้ก็ต้องมีรัฐธรรมนูญประกาศใช้เป็นกฎกติกาสูงสุด อย่างไรก็ดี การมีรัฐธรรมนูญไม่ได้บอกว่าสังคมการเมืองนั้นเป็นประชาธิปไตยหรือไม่ เพราะเป็นไปได้ว่าอาจมีรัฐธรรมนูญที่รองรับการใช้อำนาจอันไม่ชอบธรรมหรือรองรับอำนาจที่ขัดกับหลักการประชาธิปไตยได้เช่นกัน
ประการที่สี่ กษัตริย์ไทยเป็นผู้ทรงคุณงามความดี มีบุญบารมี มีคุณธรรม จึงอยู่ เหนือ การเมือง ในความหมายที่ สูงส่งกว่า การเมือง (มิใช่ ไม่เกี่ยวข้อง กับการเมือง) การพูดคุย-ถกเถียง-วิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์จึงเป็นสิ่งที่ประชาชนธรรมดาผู้ไม่มีบุญบารมีไม่ควรกระทำ หรือกระทำไม่ได้
ประการที่ห้า ประชาธิปไตยแบบไทยเป็นระบอบการปกครองที่ไม่เหมือนใครในโลกที่คนไทยควรจะภูมิใจ คือประเทศไทยมี ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การกระทำใดๆที่(ถึงแม้ว่าจะขัดต่อหลักการประชาธิปไตยแต่ถ้าการกระทำนั้น)ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขย่อมเป็นกระทำที่น่ายกย่อง สรรเสริญ และควรเอาเยี่ยงอย่าง
มิใช่หรอกหรือว่า อภิจารีตรัฐธรรมนูญ ข้างต้นล้วนเป็น อภิจารีต ที่กำลังฝังรากลึกไปเรื่อยๆในสังคมไทย พร้อมกับค่อยๆบ่อนทำลายพัฒนาการประชาธิปไตยของสังคมไทย ผู้เขียนจึงเห็นว่า ตราบเท่าที่ อภิจารีต เหล่านี้ยังคงไม่ถูกขุดรากถอนโคนไปจากสังคมไทย การเมืองที่กินได้ ก็คงมีสภาพเป็นเพียงแค่ความฝัน และประชาธิปไตยไทยคงไม่สามารถก้าวเดินไปได้ไกลกว่านี้เป็นแน่แท้
2. รัฐธรรมนูญ 2550 กับอนาคตสังคมการเมืองไทย
การปฏิวัติรัฐประหารได้สร้างจารีตอย่างหนึ่งขึ้นในสังคมการเมืองไทย คือเรื่องการฉีกรัฐธรรมนูญแล้วร่างฉบับใหม่ขึ้นใช้แทน ตามจารีตดังกล่าว หลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน ปีที่แล้ว คณะรัฐประหารก็ได้ฉีกรัฐธรรมนูญ2540 ทิ้ง และดำเนินการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ซึ่งเป็นผลผลิตของการรัฐประหารนั้นกำลังจะเข้าสู่การลงประชามติ ในวันที่ 19 สิงหาคม 2550 หรือ 1 เดือนก่อนครบ 1 ปีการรัฐประหาร ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่ประชาชนชาวไทยจะได้ลงประชามติ รับ-ไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญซึ่งร่างภายใต้การปกครองของคณะเผด็จการ
ก่อนจะกล่าวถึงการลงประชามติ ผู้เขียนจะลองวิเคราะห์สังคมการเมืองไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 (หมายความว่า สมมติว่าประชามติครั้งที่ผ่านการเห็นชอบ) ว่าจะเป็นเช่นไร ในเบื้องต้นผู้เขียนเห็นว่าสังคมการเมืองไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 มีแนวโน้มว่าจะเป็นสังคมการเมืองแบบ นีโอ-อภิชนาธิปไตย
นีโอ-อภิชนาธิปไตย ในที่นี้ ผู้เขียนขอให้คำจำกัดความว่าเป็นระบอบการเมืองที่นำโดย อภิชน อำนาจอธิปไตยเป็นของ อภิชน แต่จะมีรูปแบบใหม่ที่แตกต่างจาก อภิชน ในยุคโบราณ คือการใช้อำนาจจะ เนียน กว่าเมื่อก่อน ความโจ่งแจ้งจะน้อยลง หรืออาจนำความคิดเรื่อง ความดี-คุณธรรม มาบดบังความโจ่งแจ้งดังกล่าว
ที่ผู้เขียนเห็นว่าจะเป็นเช่นนั้นก็เนื่องมาจาก อภิจารีต ในสังคมไทยที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้ข้างต้นเกี่ยวกับความคิด กษัตริย์นิยม ในรูปแบบที่เป็นผู้มี บุญบารมี-ทรงคุณธรรม-ทศพิธราชธรรม แนวคิดแบบนี้จะเป็นรากฐานในการคิดเกี่ยวกับ ผู้นำ หรือ ผู้บริหารประเทศ ว่าจะต้องเป็น คนดี-มีคุณธรรม-ทำเพื่อชาติ
ซึ่งคนประเภทดังกล่าวมักจะอยู่ในกลุ่มชนชั้นสูงกลุ่มหนึ่งที่มีวิถีชีวิตใกล้ชิดกับ วัด และ วัง ขณะที่จะมองว่านักการเมืองอาชีพเป็น อัปปรียชน ที่หวังเพียงจะเข้ามาหาประโยชน์จากการเมือง ดังนั้นกลุ่ม อภิชน ดังกล่าวก็จะสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นกลุ่มคนที่ เหนือ การเมืองในความหมายของการอยู่ สูงส่งกว่า การเมืองของนักการเมือง(สกปรก)
คนที่ตกอยู่ภายใต้วาทกรรม ผู้มีบารมี-คุณธรรม ดังกล่าวก็จะเห็นว่า ประชาธิปไตยนั้นเป็นเรื่องของ คนดี (ในแบบที่ อภิชน หรือ รัฐ พยายามจะนิยาม) ไม่ได้เห็นว่าประชาธิปไตยเป็นเรื่องของ อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎรทั้งหลาย หรือเรื่อง สิทธิเสรีภาพ แต่อย่างใด
กระแสความคิดดังกล่าวปรากฏอยู่ในหลายๆส่วนของรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอำนาจทางการเมืองแก่ฝ่ายตุลาการ, ความไม่สัมพันธ์กันของที่มาและอำนาจของสมาชิกวุฒิสภา, การพยายามสร้างความอ่อนแอให้ฝ่ายบริหาร ฯลฯ ซึ่งได้มีผู้อภิปรายไว้เป็นจำนวนมากแล้ว ผู้เขียนจึงเห็นว่าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดถึง ณ ที่นี้
ยิ่งไปกว่านั้น การพิจารณาถึงสภาพสังคมการเมืองไทยต่อจากนี้ไม่สามารถจะดูแต่เพียงเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ 2550 ได้ แต่ต้องดูทั้ง แพคเกจ[2] ไม่ว่าจะเป็น ร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร, ร่างพระราชบัญญัติข่าวกรองแห่งชาติ เป็นต้น เพราะกฎหมายเหล่านี้ล้วนเป็นการสถาปนาอำนาจของ คมช.ให้สูงส่งกว่าเดิมโดยอาศัย ความมั่นคง (ของใครไม่ทราบ) เป็นเครื่องมือ
สังคมการเมืองไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ 2550 จึงมีแนวโน้มที่จะได้รัฐบาลที่อ่อนแอ ไม่มีเสถียรภาพ หรืออาจเป็นได้เพียงแค่หุ่นเชิดของเหล่าอภิชนซึ่งได้วางแผนไว้หมดแล้ว การถ่วงดุลอำนาจอธิปไตยไม่เท่ากันฝ่ายตุลาการจะมีอำนาจมากกว่าและสามารถเข้ามาก้าวก่ายอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร กลุ่มตุลาการจะเป็นกลุ่มผู้มีอำนาจชี้นำสังคม
นอกจากนี้ แพคเกจกฎหมาย ของคณะรัฐประหารที่มักอ้าง ความมั่นคง อยู่ตลอดเวลานั้น จะเป็นผลให้เกิดสภาวะ รัฐซ้อนรัฐ และเพิ่มอำนาจให้กับฝ่ายทหาร โดยเฉพาะ ผบ.ทบ.ในฐานะ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (จาก พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ)
ยิ่งกว่านั้น เมื่อประกอบบทบัญญัติทางกฎหมายทั้งในรัฐธรรมนูญปี50 และในแพคเกจกฎหมายของ คมช. กับ วาทกรรม คนดี-มีคุณธรรม ที่รายล้อมอยู่ ก็จะผลักดันให้เหล่าอภิชน ไม่ว่าจะเป็นศาล, ทหาร, ระบบราชการ ยกสถานะขึ้น เหนือ การเมืองของนักการเมือง สกปรก ที่ เลวกว่า-คุณธรรมน้อยกว่า ด้วยการณ์ดังกล่าวเมื่อกลุ่ม อำมาตย์ เหล่านี้ยกสถานะขึ้นไป เหนือ การเมืองแล้ว สถานะของสถาบันกษัตริย์ย่อมถูกผลักให้สูงส่งขึ้นไปอีก
การรัฐประหาร 19 กันยาจึงเป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของการสถาปนาระบอบ นีโอ-อภิชนาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรมเป็นประมุข ที่มี เปลือก เป็นประชาธิปไตย แต่ แก่น เป็น อำนาจบารมีนิยม หรืออาจพูดอย่างหยาบๆได้ว่า ประชาธิปไตยไทย จะเดินไปสู่ ประชาธิปไตยแบบที่ชนชั้นนำต้องการ ที่มีแต่ รูปแบบ แต่ไม่มี เนื้อหา
ผลจากการรัฐประหารครั้งนี้จึงมิใช่เป็นเพียงการล้มรัฐบาลทักษิณ หากแต่เป็นการยกสถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ให้สูงส่งขึ้นไปอีก รวมถึงเป็นการผลิตซ้ำ อภิจารีตรัฐธรรมนูญ ที่ผู้เขียนได้เสนอไว้ในส่วนก่อนหน้านี้อีกด้วย
3. ไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญเผด็จการ เพื่อเปิดฟ้าใหม่ประชาธิปไตยไทย
จากที่กล่าวไปแล้วร่างรัฐธรรมนูญ 2550 จะเป็นประตูสู่ ประชาธิปไตยแบบที่ชนชั้นนำต้องการ เป็นระบอบการปกครองที่ยึดมั่นเชื่อถือใน อำนาจบารมี ให้อำนาจแก่อภิชนขุนนางข้าราชการ แต่ไม่ไว้ใจประชาชน และเมื่อประกอบกับแพคเกจของคณะรัฐประหารแล้วภาพแห่งการมุ่งสถาปนาอำนาจของชนชั้นนำยิ่งชัดเจนขึ้น
นอกเหนือไปจากเนื้อหาแล้วที่มาก็เป็นปัจจัยที่สำคัญยิ่งในการพิจารณา รัฐธรรมนูญที่มาจากปากกระบอกปืนย่อมเป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่ชอบธรรม บวกกับกระบวนการประชามติที่เปรียบเสมือนการมัดมือชกยิ่งทำให้รัฐธรรมนูญยิ่งไร้ความชอบธรรมเข้าไปใหญ่
ผู้เขียนเสนอว่าเมื่อมองถึง ที่มา และ เนื้อหา ของร่างฯดังกล่าวก็คงเพียงพอแล้วต่อการประกาศจุดยืนในการ ไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญ แต่ถ้าลองคิดให้ลึกไปกว่านั้น มิใช่หรอกหรือว่าโจทย์ที่แท้จริงของการลงประชามติครั้งนี้มิได้อยู่เพียงที่เนื้อหาหรือที่มาของร่างรัฐธรรมนูญ 2550 หากแต่เป็นคำถามที่ว่า จะเอายังไงกับอำนาจทหาร อภิชน อำมาตยาธิปไตยในการเมืองไทย [3]
เพื่อเปิดฟ้าใหม่ประชาธิปไตยไทย ผู้เขียนขอเชิญชวนประชาชนผู้ที่ต้องการ ประชาธิปไตยที่กินได้ ร่วมลงมติ ไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อให้เหล่า อภิชน รับรู้ว่า ประชาชน มีวุฒิภาวะพอที่จะตัดสินใจอนาคตของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น การ ไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการเปลี่ยนแปลง อภิจารีตรัฐธรรมนูญ ก็เป็นได้
--------------------------------------------------------------------------------
[1] ผู้เขียนตั้งชื่อโดยตั้งใจใจจะ ล้อ กับ จารีตรัฐธรรมนูญไทย ของ รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ และ อภิรัฐธรรมนูญไทย ของ สมชาย ปรีชาศิลปะกุล ดู รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์, การแสดงปาฐกถาพิเศษ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครั้งที่ 10 :จารีตรัฐธรรมนูญไทยกับสันติประชาธรรม (กรุงเทพฯ: คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์/openbooks, 2550) ; สมชาย ปรีชาศิลปกุล, ปาฐกถาปรีดี พนมยงค์ ประจำปี พ.ศ.2550: อภิรัฐธรรมนูญไทย (กรุงเทพฯ: สถาบันปรีดี พนมยงค์, 2550)
[2] เกษียร เตชะพีระ, รัฐราชการอาญาสิทธิ์เพื่อความมั่นคง และการสอดส่องเบ็ดเสร็จ, มติชนรายวัน, 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2550, p.6
[3] ดู ธงชัย วินิจจะกูล, โจทย์ที่แท้จริงของการลงประชามติและทางเลือก, //www.prachatai.com, 17/7/2550 หัวข้อที่ 4
ที่มา : ประชาไท วันที่ : 17/8/2550
Create Date : 17 สิงหาคม 2550 |
Last Update : 17 สิงหาคม 2550 18:30:09 น. |
|
1 comments
|
Counter : 1281 Pageviews. |
|
|
ข้อความ:ทดสอบความรักของตัวคุณเอง
ทดสอบความเซ็กซี่ [[ถ้าโกงขอให้คำทำนายม่ายเปนความจิง ]]
เอากระดาษมาแผ่นนึงแล้วเขียน1-10
(ห้ามโกหก+++เด็ดขาด)
1.คุณมีผมสีเข้มหรือสีอ่อน
2.ถ้าเกิดได้ไปเดท คุณจะเลือกไปกินข้าว2ต่อ2 หรือไปปาร์ตี้
3.สีโปรดของคุณคืออะไร ระหว่าง ชมพู, เหลือง, ฟ้าอ่อน , หรือ เขียวน้ำทะเล
4.กิจกรรมที่คุณโปรดปรานมากที่สุดระหว่าง โต้คลื่น , เสก็ต , หรือ สกี
5. ถ้าจะเลือกท่าเรือระหว่าง อู่เรือรบเก่า , อู่แปซิฟิค หรือ อู่วิคตอเรีย ซีเคร็ต คุณจะเลือก อันไหน
6.รัฐที่คุณชอบที่สุดคือรัฐใดระหว่าง แคลิฟอร์เนีย , ฟลอริดา , หรือ โอไฮโอ
7. ในฤดูร้อนคุณจะไปทะเล หรือ จะไปที่ๆเย็นกว่านี้
8. เกิดเดือนอะไร
9. คุณจะนั่งอืดอยู่ที่บ้านหรือ ออกไปเที่ยวกับเพื่อน
10. ชื่อคนที่เป็นเพศตรงข้ามกับคุณ
---=====อธิษฐาน=====---
*เริ่ม เลย*
10 ฟิล์ม
9 นั่งอืดอยู่ที่บ้าน
8 กันยายน
7 ที่ๆเย็นกว่านี้
6 ฟลอริดา
5 อู่วิคตอเรีย ซีเคร็ต
4 สเก็ต
3 ฟ้าอ่อน
2 กินข้าว2ต่อ2
1 เข้ม
***หยุด!***
*คำตอบ*
1. สีเข้ม-เซ็กซี่ ~ สีอ่อน-หวาน น่ารัก
2. ไปกินข้าว2ต่อ2-โรแมนติค ~ ไปปาร์ตี้-ขี้เล่น
3. ชมพู-น่ารัก ~ เหลือง-ชอบเสียงดัง ~ ฟ้าอ่อน-ใจเย็น ~ เขียวน้ำทะเล-แข็งแกร่ง
4. โต้คลื่น-ว่องไว คล่องแคล่ว ~ เสก็ต-เด็ดเดี่ยว ~ สกี-กล้าหาญ
5. อู่เรือรบเก่า-น่ากลัว ~ อู่แปซิฟิค-สนุกสนาน ~ อู่วิคตอเรีย ซีเคร็ต-เซ็กซี่
6. แคลิฟอร์เนีย - คุณชอบอยู่กับคนมากๆ ~ ฟลอริดา-ปาร์ตี้ในความร้อน ~ โอไฮโอ- เงียบ เย็น
7. ทะเล-ผิวสีแทน ชอบพระอาทิตย์ ~ ที่ๆเย็นกว่านี้-ผิวสีอ่อน และ หัวโบราน
8. มกราคม-โด่งดัง ~ กุมภาพันธ์-น่ารัก ~ มีนาคม-เสียงดัง ~ เมษายน-ขี้เล่น พฤษภาคม-ใจเย็นมาก ~ มิถุนายน-อารมณ์ดี ~ กรกฎาคม-เรียบง่าย ~ สิงหาคม- สนุก สนาน ~ กันยายน-เงียบ ~ ตุลาคม-กล้าแสดงออก ~ พฤศจิกายน-ชอบยุ่งเรื่องคนอื่น (ทั้งทางดีและไม่ดี) ~ ธันวาคม-อบอุ่น
9. อืดอยู่บ้าน-น่าเบื่อ ~ ไปเที่ยวกับเพื่อน-บ้าๆบอๆ
10. คนนั้นจะตกหลุมรักคุณ!!!!!
ถ้าคุณโพสกระทู้นี้ไปเวปอื่น:
0 เวป...คำอธิษฐานของคุณจะไม่เป็นจิง
1-5เวป....คำอธิษฐานของคุณจะเป็นจิงภายใน6เดือน
6-10 เวป....คำอธิษฐานของคุณจะเป็นจิงภายใน2อาทิตย์
11 เวปขึ้นไป.....จะเป็นจิงเร็วมาาาาาาก pan da pan da