|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
การเมืองเรื่องน้ำท่วม
การเมืองเรื่องน้ำท่วม โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
บทความนี้อาจจะเก่าไปหน่อยแต่เนือหาทันสมัยมาก ได้มาจากมติชน เนือหาเป็นการพูดถึงปัญหาน้ำท่วม ซึ่งนำที่ไม่ได้ไหลเอ่อไปตามความลาดชันของผิวโลก หากถูกแนวของกระสอบทรายและเครื่องสูบน้ำผลักให้ไปท่วมอยู่ในบริเวณของคนที่มีอำนาจต่อรองทางการเมืองลาดชันต่ำ อาจกล่าวได้ว่าน้ำมักไหลไปสู่ที่ต่ำซึ่งก็เช่นเดียวกับปัญหาที่มักไหลไปสู่คนที่มีอำนาจทางการเมืองต่ำเช่นกับ
เมื่อหลายสิบปีมาแล้ว ตอนที่กรุงเทพฯ เพิ่งเผชิญกับปัญหาน้ำท่วม ดร.มนตรี เจนวิทย์การเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ฝรั่งในกรุงเทพฯ ว่า มีการเมืองอยู่ในน้ำท่วม เพราะน้ำไม่ได้ไหลเอ่อไปตามความลาดชันของผิวโลก หากถูกแนวของกระสอบทรายและเครื่องสูบน้ำผลักให้ไปท่วมอยู่ในบริเวณของคนที่มีอำนาจต่อรองทางการเมืองลาดชันต่ำต่างหาก ต้องสารภาพว่า บทความนี้ทำให้ผมตาสว่างจากความมืดมิดของอุทกภัยที่กลายเป็นปรากฏการณ์ประจำปีของประเทศไปแล้วเป็นครั้งแรก และเพราะถูกสอนให้มองอุทกภัยให้มากกว่าน้ำตาม ดร.มนตรีนี้เอง จึงได้เห็นอะไรอื่นๆ มากกว่ากระสอบทรายและเครื่องสูบน้ำเป็นอันมาก เพราะในบัดนี้น้ำท่วมประจำปีนี้ได้ผ่านพ้นชาวกรุงเทพฯ ไปอย่างแน่นอนแล้ว เราจึงแทบไม่ได้เห็นข่าวคราวของคนที่จมน้ำอยู่รอบกรุงเทพฯ อีกต่อไป ไม่ว่าในคำแถลงของหน่วยงานรัฐหรือในสื่อ แต่ในความเป็นจริงยังมีเรือกสวนไร่นาบ้านเรือนของผู้คนที่จมน้ำอยู่จนถึงปัจจุบันอีกหลายท้องที่ ดูเหมือนมีวงจรบางอย่างที่หาจุดเริ่มต้นไม่ได้ในความเฉยชาต่อชะตากรรมของผู้คนเช่นนี้ สื่อลำเอียงเข้าข้างคนที่ซื้อสื่อหรือซื้อสินค้าในโฆษณาของสื่อ แต่ที่สื่อจะลำเอียงอย่างออกหน้าเช่นนี้ได้ก็เพราะสังคมซึ่งอุปถัมภ์สื่อเอง หาได้ไยดีต่อชะตากรรมของเพื่อนร่วมชาติมากไปกว่าการบริจาคไม่ รัฐบาลจึงไม่ถูกบีบบังคับให้เอาใจใส่แก้ไขความเดือดร้อนของผู้ที่มีอำนาจต่อรองทางการเมืองต่ำ (โดยเฉพาะรัฐบาลปัจจุบันซึ่งไม่ได้เสียงสนับสนุนจากใครนอกจากประชากรเมือง) แล้วก็วนกลับมาที่สื่อ,สังคม,รัฐบาลอีกหนหนึ่ง ไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ซ้ำวงจรนี้ไม่ได้หมุนอยู่ในขนาดและกำลังเท่าเดิมด้วย หากขยายความรุนแรงเข้มข้นขึ้นตลอดมา เช่นน้ำท่วมปีนี้เป็นปีแรกที่ไม่ต้องกระดากปากอีกต่อไป ที่จะผลักน้ำไปยังคนซึ่งความลาดชันของอำนาจต่อรองทางการเมืองต่ำ เพราะเขาบอกชัดเจนเลยว่า ต้องผลักน้ำเข้าเรือกสวนไร่นาในภาคกลางเพื่อช่วยกรุงเทพฯ ไว้จากอุทกภัย ด้วยพื้นที่กี่แสนกี่ล้านไร่,ด้วยชะตากรรมของผู้คนอีกกี่แสนกี่ล้านครอบครัว,ด้วยเศรษฐกิจครอบครัวอีกกี่แสนกี่ล้านบาท,ด้วยชีวิตที่สูญเสียไปโดยไม่จำเป็นอีกไม่รู้กี่สิบกี่ร้อย ฯลฯ ก็ไม่มีการเปิดเผยอย่างชัดเจน...เมื่อไม่ต้องต่อรองแล้ว จะรู้ไปทำไม รวมทั้งไม่ต้องรู้หรือคิดไว้ก่อนด้วยว่า จะต้องชดเชยให้แก่ความเสียสละที่ไม่เจตนาของผู้คนเหล่านั้นกันเท่าไร และอย่างไร ด้วยเงินหรือทรัพยากรที่คนกรุงเทพฯ จะต้องรับผิดชอบร่วมด้วยสักเท่าไรและอย่างไร หลังจากนี้ไปอีก 5 ปี เราก็จะได้ยินข่าวอย่างที่เคยได้ยินจากโครงการบำเรอคนกรุงเทพฯ อื่นๆ ว่า มีชาวบ้านที่ยังไม่ได้รับค่าตอบแทนที่สัญญาเลยสักบาทอีกหลายครอบครัว ส่วนความเดือดร้อนเฉพาะหน้า แทนที่จะมีโครงการรูปธรรมใดๆ ของรัฐที่มีการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ในการเข้าไปช่วยบรรเทาและเยียวยา ก็มีเพียงระดมการบริจาคกันอย่างขนานใหญ่ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากคนกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่มีการจัดการที่ดีพอสำหรับการกระจายของและเงินบริจาคให้ทั่วถึง ผู้คนถูกกล่อมให้ลืมความอยุติธรรมที่ตัวได้รับด้วยการร้องรำของดาราทีวี แล้วก็กลับไปนอนบนหลังคาตามเดิม ในขณะที่คนกรุงเทพฯ และสื่อรู้สึกว่าตัวได้ล้างบาปไปแล้วด้วยสิ่งของและเงินที่จบขอขมาก่อนหย่อนลงกล่องบริจาค เมื่อวงจรได้หมุนมาถึงระดับนี้ ความลำเอียงเชิงทัศนคติและความลำเอียงเชิงนโยบายก็สามารถทำงานของมันได้อย่างเต็มที่และเปิดเผย ไม่ต้องซ่อนเงื่อนของมันไว้ในเหตุผลทางเศรษฐศาสตร์เสรีนิยมอีกต่อไป ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์และคุณค่าของมนุษย์ขึ้นอยู่กับว่าคุณเป็นใคร ควรมีศักดิ์ศรีและคุณค่าเท่าไร สิ่งเหล่านี้จะปรากฏชัดเจนในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องแฝงไว้อย่างคลุมเครือในประโยคเช่น รัฐต้องสนับสนุนระบบเศรษฐกิจแบบเสรี โดยอาศัยกลไกตลาด... ดังในมาตรา 87 ของรัฐธรรมนูญ 2540 ใช่ว่าน้ำท่วมจะเกี่ยวกับน้ำอย่างเดียวไม่ น้ำจะท่วมหรือไม่ จะขังหรือไม่ ท่วมใครและขังใคร ยังสัมพันธ์กับการตัดสินใจเชิงนโยบายอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับน้ำอีกมาก การศึกษาขององค์การสหประชาชาติชี้ว่า สภาพน้ำท่วมซึ่งเกิดขึ้นมากทั่วไปทั้งโลกนั้น สาเหตุสำคัญเกิดจากการที่คนเข้าไปตั้งถิ่นฐานในทำเลน้ำท่วม พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ น้ำก็หลากลงมาในพื้นที่เหล่านี้มาแต่โบราณ แต่เดิมเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำหรือพื้นที่อื่นๆ ซึ่งไม่ได้ถูกมนุษย์ใช้สอย คนก็ไม่รู้สึกว่าเกิด น้ำท่วม ขึ้น (อย่างเดียวกับที่คนอีสานไม่รู้สึกว่าบุ่งทามถูก อุทกภัย) แต่อย่าเพิ่งสรุปง่ายๆ เพียงว่า คนมีมากขึ้น ก็ต้องบุกเบิกเข้าไปทำเกษตรและตั้งบ้านเรือนในเขตน้ำท่วมเป็นธรรมดา ฉะนั้นจึงเป็นชะตากรรมที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะในกรณีเมืองไทย การใช้สอยพื้นที่น้ำท่วมล้วนกระทำไปด้วยความลำเอียงเชิงทัศนคติและนโยบายตลอดมา แรงกดดันด้านประชากรเพียงอย่างเดียวไม่สามารถอธิบาย การตั้งถิ่นฐานในเขตน้ำท่วมโดยไม่มีการสร้างสาธารณูปการรองรับได้ ประเทศไทยเกือบจะเป็นประเทศเดียวในโลกที่ปล่อยให้ที่ดินเป็นสินค้าบริสุทธิ์ ไม่ต่างจากก๋วยเตี๋ยวและเครื่องเสียง ทั้งๆ ที่ที่ดินเป็นทรัพยากรการผลิตขั้นพื้นฐานของทุกสังคม-ไม่ว่าจะเป็นสังคมเกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรม-ฉะนั้นที่ดินจึงถูกนำไปใช้เก็งกำไรได้เหมือนสินค้าอื่น หรืออย่างน้อยก็ถือครองไว้เพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ จึงเป็นธรรมดาที่ที่ดินส่วนใหญ่ของประเทศตกอยู่ในมือคนจำนวนหยิบมือเดียว ในขณะที่คนส่วนใหญ่เข้าไม่ถึงที่ดินซึ่งเหมาะแก่การประกอบการทางเศรษฐกิจที่เหมาะสมกับกำลังของตน หนทางเดียวคือบุกเบิกไปยังที่ ชายขอบ ทั้งหลาย รวมทั้งพื้นที่ชุ่มน้ำและพื้นที่น้ำท่วมถึง ซึ่งแต่เดิมไม่มีเศรษฐีคนไหนต้องการถือครอง เกิดไร่นาสาโทและหมู่บ้านชุมชนขึ้นทั่วไป โดยรัฐไม่เคยลงทุนปรับสภาพให้รองรับน้ำหลากประจำปีได้ วิธีป้องกันน้ำท่วมจำเป็นต้องมีหลากหลาย แต่วิธีซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยคือการปฏิรูปที่ดิน เพื่อให้ผู้คนสามารถถอยออกมาจากพื้นที่ชายขอบน้ำท่วมถึง ในขณะที่การลงทุนปรับสภาพให้คืนธรรมชาติก็ทำได้ในราคาถูกลง เพื่อให้เกิดพื้นที่รองรับน้ำหลายประเภทในช่วงที่มีน้ำหลาก แต่วิธีนี้ไม่เคยได้รับความใส่ใจจากรัฐบาลชุดใดทั้งสิ้น เพราะเท่ากับบั่นรอนธนสารสมบัติของผู้ที่สนับสนุนรัฐบาล ทั้งที่อยู่ในและนอกวงการเมือง แม้แต่คนชั้นกลางในเมืองเองก็ไม่กระตือรือร้นกับนโยบายนี้ เพราะเกรงว่าจะกระทบผลประโยชน์ของตนเอง หรือไม่เห็นว่านโยบายที่ดินของไทยเป็นพิษเป็นภัยต่อตนเอง ด้วยเหตุดังนั้นจึงได้แต่เน้นการจัดการน้ำด้วยเทคโนโลยีนานาชนิด ถูกบ้างแพงบ้าง พร้อมกับคำโฆษณาที่ลงทุนกันมโหฬารเพื่อให้ผู้รับสื่อเชื่อว่า เทคโนโลยีเหล่านั้นแก้ปัญหาให้ได้ แม้แต่น้ำท่วมอยู่เต็มตาและเต็มตีน ก็ยังอุตส่าห์โฆษณาคุณวิเศษของเทคโนโลยีเหล่านั้น มิติทางสังคมที่ถูกละเลยในการแก้ปัญหาน้ำท่วมยังมีอีกมาก เช่นไม่เคยมีการวางระเบียบเกี่ยวกับการถมที่ จนกระทั่งน้ำไม่เคยไหลสู่ที่ต่ำได้สะดวก พื้นที่สาธารณะซึ่งเคยมีหน้าที่ตามธรรมชาติในการบรรเทาน้ำหลาก เช่นพื้นที่ชุ่มน้ำต่างๆ ถูกบุกรุกทั้งจากเอกชน และหน่วยราชการเอง จนไม่มีขนาดเพียงพอที่จะชะลอน้ำหลากจากภาคเหนือได้ ยังไม่พูดถึงการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งเป็นผลมาจากความทุจริตของเจ้าหน้าที่ต่อการละเมิดกฎหมายของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนที่มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจ-การเมือง รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอาจไม่มีสมรรถภาพพอจะแก้ปัญหานี้ได้ แต่อย่างน้อยก็มีความหวังว่า รัฐบาลจากการเลือกตั้งจำเป็นต้องโอนอ่อนต่อแรงกดดันทางการเมืองของผู้เลือกตั้งบ้าง หากประชาชนซึ่งไร้อำนาจและไร้เสียงต่อรองทางการเมืองในปัจจุบัน สามารถรวมกลุ่มสร้างแรงกดดันนักเลือกตั้งได้ ก็อาจไม่มีใครกล้าปล่อยน้ำเข้านาใครง่ายๆ เพื่อช่วยกรุงเทพฯ โดยไม่ต้องปรึกษาหารือและทำสัญญาการชดเชยอย่างจริงจังก่อน รัฐบาลของคนดียิ่งแก้ไม่ได้มากขึ้น เพราะนี่เป็นเรื่องของการเลือกจะให้ใครได้ และให้ใครเสีย คนที่ได้และเสียต้องต่อรองกันเอง ลงท้ายก็ไม่มีใครได้หมด แต่ก็ไม่มีใครเสียหมด ไม่ว่าคนดีจะดีสักแค่ไหนก็ไม่มีปัญญาพอที่จะคิดแทนคนอื่นได้ทุกฝ่ายอย่างนั้น ยกเว้นแต่พระอรหันต์ แต่พระอรหันต์ย่อมไม่ทำรัฐประหาร และไม่ยุหรือใช้ใครทำรัฐประหาร
Create Date : 20 เมษายน 2550 |
Last Update : 15 มิถุนายน 2550 14:11:28 น. |
|
3 comments
|
Counter : 1369 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ฝน IP: 118.173.134.3 วันที่: 19 สิงหาคม 2552 เวลา:17:04:35 น. |
|
|
|
โดย: นู๋นุช IP: 203.172.201.133 วันที่: 8 พฤศจิกายน 2553 เวลา:14:19:19 น. |
|
|
|
โดย: Jiney IP: 125.24.115.67 วันที่: 10 พฤศจิกายน 2553 เวลา:19:25:47 น. |
|
|
|
|
|
|
|