ธันวาคม 2551

 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
19
20
21
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
ทริปกระทันหัน ++ เจาะลึกวัดในหลวงพระบาง ++(2)
มาต่อกันดีกว่าค่ะ

วันนี้เราอยู่หลวงพระบางทั้งวัน ข้อมูลส่วนใหญ่ก็เอามาจากที่นี่ค่ะ //luangprabang.sadoodta.com/place/ ซึ่งเราว่าเป็นเว็บที่ให้รายละเอียดในการเที่ยวหลวงพระบางได้ดีมาก พริ้นมาใช้เป็นคู่มือเดินทางได้เลย

จิงๆ อยากนั่งเรือไปถ้ำติ่งเหมือนกันค่ะ แต่ไม่ไหว อากาศหนาวมากๆๆๆๆ เกินกว่าจะทรมานตัวเองไปนั่งเรือได้

เดินเล่นๆ ไปทะลุนี่ได้ไงไม่รู้ ตลาดน้อยๆ อยู่หลังวังเจ้าฟ้ามหาชีิวิตค่ะ

แม่ค้าขายของแปลกเยอะดี



ดูเสร็จแล้วเดินเข้าด้านหลังวังเจ้าฟ้ามหาชีวิต ไปไหว้พระบาง พระศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านเมืองของหลวงพระบางค่ะ



มีโรงละครพระลักษณ์ พระราม มีรูปปั้นเจ้าฟ้ามหาชีวิต เจ้าศรีสว่างวงศ์ แล้วก็พระราชวังเก่าที่ตอนนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ค่ะ เราว่าไปดูก็ดี ได้ความรู้อะไรมาก ข้อสำคัญได้ไหว้พระบาง ซึ่งเป็นพระปางห้ามญาติ ค่ะ มีประวัติดังนี้

เมื่อก่อนมีพระอรหันต์ชื่อ พระจุลนาคเถระ อาศัยอยู่ในลังกาทวีป ต้องการสร้างพระ เพื่อบำรุงพุทธศาสนา เลยประกาศบอกชาวบ้านว่าจะให้ช่างปั้นรูปพระพุทธเจ้ายกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นห้าม โดยมีความหมายว่าไม่ให้กษัตริย์ 2 องค์ (พระยากบิลพัสดุ์ และพระยาโกลี) มาทำศึกกันริมแม่น้ำโรหิณี

ชาวบ้านก็ช่วยกันเอาทรัพย์สินมาบริจาคให้พระจุลนาคเถระปั้นองค์พระพุทธรูปและทำการสักการะพระองค์นี้พร้อมขนานนามว่า "พระบาง"
หลังจากนั้นพระจุลนาคเถระก็อัญเชิญพระธาตุทั้ง 5 ของพระพุทธเจ้าเข้าสถิตย์ในรูปพระบาง(อยู่ที่ พระนลาฎ, พระหณุ, พระอุระ, หัตถ์ซ้าย, และหัตถ์ขวา )และตั้งจิตอธิษฐานว่าขอให้เป็นที่สักการะแก่ชาวพุทธสืบต่อไป

หลังจากนั้นพระบางก็ได้แสดงปาฎิหารย์ต่างๆเรื่อยมากว่าร้อยปี ครั้งหนึ่ง เจ้าเมืองอินตปัตนคร(พระยาศรีจุลราช) มี ความสนิทสนมกับเจ้าเมืองลังกา (พระยาสุบินราช) จึงได้ส่งฑูตมาเพื่ออัญเชิญพระบางไปสักการะมี่เมืองของตน และจัดงานสมโภชใหญ่โต และพระบางก็ประดิษฐานที่เมืองนั้นเรื่อยมา

หลังจากนั้น ในสมัยของท้าวฟ้างุ้มซึ่งปกครองเมืองศรีสัตนาคนหุตล้านช้างร่มขาวได้อัญเชิญพระบางไปที่เมืองของตน ....และคาดว่าพระบางก็ได้ประดิษฐานที่นั่นเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองของลาวสืบมา

(ก็อปมาอีกทีจากที่นี่ค่ะ ขอขอบพระคุณไว้ ณ ที่นี้เลย
//talongirls.blogspot.com/2005/12/blog-post_113645214275918008.html)



มารับบรรยากาศริมโขงค่ะ อากาศเย็นมากๆ เลย ไม่น่าเชื่อว่าจะใกล้เที่ยงแล้ว หมอกยังมีอยู่เลย



มาต่อที่วัดนี้ค่ะ วัดที่ใครๆ ก็ต้องมา วัดเชียงทอง ค่าเข้าคนละ 20,000 กีบค่ะ เก็บปี้(ตั๋ว) ไว้นะคะ เผื่อมาอีกรอบจะได้ไม่ต้องจ่ายเงิน

วัดนี้ตั้งอยู่บนถนนโพธิสารราช ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงพอดี วัดเชียงทองเป็นวัดที่สำคัญและสวยงาม ได้รับการมาเยือนชมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกมากที่สุดก็ว่าได้ นักโบราณคดียกย่องว่าวัดเชียงทอง เป็นดั่งอัญมณีแห่งสถาปัตยกรรมลาว
วัดเชียงทองสร้างขึ้นก่อนหน้าที่ พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชจะย้ายเมืองหลวงไปยังนครเวียงจันทร์ไม่นานนัก และยังได้รับการอุปถัมภ์จากเจ้ามหาชีวิตสว่างวงค์ และเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา กษัตริย์สองพระองค์สุดท้ายของลาว รูปแบบสถาปัตยกรรมทางศาสนา แบบหลวงพระบางแท้ คือมีหลังคาแอ่นโค้ง และลาดลงต่ำมากจนแลดูค่อนข้างเตี้ย
ภายในประดิษฐฐานพระพุทธรูปไสยาสน์ที่งามแปลกตากว่าที่อื่นใดด้วยสัดส่วน จีวรที่จีบเป็นริ้วโค้งออกมาทางด้านนอกตรงเหนือช้อพระบาท และ พระหัตถ์ซึ่งรองรับพระเศียรไว้อย่างสง่างาม และอ่อนช้อย พระพุทธรูปองค์นี้เคยถูกนำไปจัดแสดงอยู่ที่กรุงปารีสในปี ค.ศ. 1931 และ ไปประดิษฐานอยู่เวียงจันทร์หลายสิบปีก่อนกลับคืนสู่หลวงพระบางในปี ค.ศ.1964



พระอุโบสถ ภาษาลาวเรียกว่า สิม เป็นพระอุโบสถหลังไม่ใหญ่โตมากนักหลังคาพระอุโบสถมีหลังคาแอ่นโค้ง ลาดต่ำลงมาซ้อนกันอยู่สามชั้น กล่าวกันว่านี่คือศิลปะแห่งหลวงพระบาง ส่วนกลางของหลังคามีเครื่องยอดสีทองชาวลาวเรียกว่าช่อฟ้า ประกอบด้วย 17 ช่อเป็นข้อสังเกตุว่าวัดที่พระมหากษัตริย์สร้าง จะมีช่อฟ้า 17 ช่อ ส่วนคนสามัญสร้างจะมีช่อฟ้า 1- 7 ช่อเท่านั้น เชื่อว่าบริเวณช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆตรงกลางช่อฟ้าจะมีของมีค่าบรรจุอยู่ ส่วนที่ประดับที่ยอดหน้าบันชาวลาวเรียกว่าโหง่ มีรูปร่างเป็นเศียรนาคและมีความสัมพันธ์เกี่ยวกับศาสนาพุทธ ประตูพระอุโบสถแกะสลักสวยงามเช่นเดียวกับหน้าต่างภายในพระอุโบสถมีภาพสวยงามที่ผนัง มีลักษณะลวดลายปิดทองฉลุบนพื้นรักสีดำ ส่วนใหญ่เป็นภาพพุทธประวัติเรื่องพระสุธน – มโนราห์ และเรื่องพระเจ้าสิบชาติ



รูปด้านข้างคือ โรงเมี้ยนโกศ หรือโรงเก็บราชรถพระโกศของเจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา สร้างขึ้นในปีพ.ศ. 2505 ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของวัด ลักษณะเป็นโถงกว้าง ผนังด้านหน้าตั้งแต่หน้าบันลงมาจนถึงพื้นสามารถถอดออกได้เพื่อให้สามารถเคลื่อนราชรถออกมาได้ กลางโรงเมี้ยนโกศเป็นที่ตั้งราชรถไม้แกะสลักปิดทองคำเปลวรอบคัน มีพระโกศสามองค์ตรงกลางเป็นองค์ใหญ่ของเจ้าสว่างศรีวัฒนา ด้านหลังเป็นของพระราชมารดา ส่วนด้านหน้าเป็นของพระเจ้าอา โรงเก็บราชรถนี้ออกแบบโดยเจ้ามณีวงศ์ และใช้ช่างชาวหลวงพระบางชื่อ เพียตัน นับว่าเป็นช่างฝีมือดีประจำพระองค์ มีความชำนาญทั้งด้านงานเขียนและงานแกะสลัก จุดเด่นของโรงเมี้ยนโกศยังอยู่ที่ประตูด้านนอกคือเป็นภาพแกะสลักวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ตอนสำคัญๆ เช่น ตอนพิเภกกำลังบอกความลับที่ซ่อนหัวใจของทศกัณฑ์ให้กับพระราม ถัดลงมาเป็นตอนที่ทศกัณฑ์ต้องศรของพระรามเสียบเข้าที่หัวใจ ถัดลงมาเป็นตอนที่พระรามพระลักษณ์ต่อสู้กับทศกัณฑ์ ด้านล่างสุดเป็นตอนที่นางสีดาลุยไฟเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์กับพระราม เดิมที่ภาพแกะสลักเหล่านี้เป็นการลงรักปิดทอง ต่อมาได้มีการบูรณะใหม่โดยทาสีทอง

ชอบค่ะที่นี่ สวยมากค่ะ




วิหารน้อย ด้านข้างและด้านหลังของพระอุโบสถเป็นที่ตั้งของวิหารสองหลังนี้ จุดเด่นของวิหารนี้คือผนังด้านนอกมีการตกแต่งด้วยกระจกสี ตัดเป็นชิ้นเล็กๆและนำมาต่อเป็นรูปต่างๆเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนิทานพื้นบ้าน บนพื้นสีชมพู ภายในวิหารเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปปางไสยาสน์ พระพุทธรูปนี้เคยถูกนำไปจักแสดงที่กรุงปารีส ในปี พ.ศ. 2474 และนำไปประดิษฐานที่นครเวียงจันทน์หลายสิบปี ก่อนจะนำมายังหลวงพระบางในปี พ.ศ.2507

ต่อมา วัดแสนสุขารามค่ะ



ในบรรดาวัดท้งหมดวัดแสนสุขารามนั้นที่เป็นเจ้าของ พระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่ องค์เดียวในเมืองหลวงพระบาง เป็นวัดเก่าแก่ที่ถูกสร้าง ภายหลังหลวงพระบางแยกออกจากนครเวียงจันทร์เมื่อ 11 ปีที่แล้วเป็นอีกอาณาจักรหนึ่งก่อนหน้านั้น บริเวณที่สร้างวัดแสนสุขารามมีวัดเก่าอยู่ก่อนหน้านั้น สร้างขึ้นเมื่อ คริสตวรรษที่ 15 พระยืนที่สูงและใหญ่ที่สุดในหลวงพระบาง มีพระพักตร์ที่งดงามผ่องแผ้ว ข้างหอพระยืนมีหอรอยพระพุทธบาทจำลอง ส่วนพระอุโบสถดูงดงามอลังการด้วยการทาสีแดงและเขียนภาพสีทองลงบนพื้นแดงภายในมีการตกแต่งประดับประดาที่มีสีสันสวยสดงดงามหาที่ติ พระประธานมีความงามชดช้อย

วัดอะไรไม่รู้ ลืมไปแล้วค่ะ แต่สวยดี


มีร้านทำกระดาษสาค่ะ เอาออกมาตาก สวยมากๆ


ไปหาที่กินข้าวดีกว่าค่ะ เราเลียบแม่น้ำคานไป เจอร้านนี้น่านั่งดี เลยแวะค่ะ ไม่ผิดหวังเลย อาหารอร่อยเชียว


ร้านเต็มริมน้ำเลยค่ะ จำร้านนี้ไว้นะคะ จะมองเห็นวิวน้ำคานตรงโค้งพอดี สวยมากๆ บรรยากาศเยี่ยม


อย่างที่เคยเล่าให้ฟังแล้วว่าอาหารที่ลาวค่อนข้างแพง ดูจากเมนูเลยค่ะ แต่เราเซอร์เวย์มาทุกร้านแล้ว ราคามาตรฐานประมาณนี้เท่ากันเลยค่ะ


รูปอาหารค่ะ อร่อยนะ มื้อนี้แพงนะเนี่ย อิๆ


กินเสร็จแล้วเดินเล่นต่อค่ะ

เกสต์เฮ้าส์สวยๆ ริมทาง ไม่แพงด้วยค่ะ


วัดนี้ไม่ได้เข้าค่ะ สังเกตได้ว่าแดดเพิ่งมีตอนบ่ายแก่ๆ อากาศเย็นมาก


คนข้างๆ อยากกินกาแฟค่ะ ร้านกาแฟยอดนิยมชื่อร้าน JOMA


รสชาติกาแฟธรรมดาค่ะ แต่ขนมอร่อยอ่ะ


มีมุมสวยๆ ให้ถ่ายรูปเยอะเลย


พอก่อนดีกว่า รู้สึกจะยาวไปแล้ว เด๋วจะโหลดนานค่ะ

บล็อกหน้าจะพาไปขึ้นภูสี ดูพระอาทิตย์ตก มุมที่สวยที่สุดของหลวงพระบางแล้วก็เดินสำรวจราคาของในตลาดมืดกัน

ราตรีสวัสดิ์ค่ะ





Create Date : 17 ธันวาคม 2551
Last Update : 18 ธันวาคม 2551 9:03:03 น.
Counter : 1279 Pageviews.

2 comments
  
ไปมาแล้วค่ะ หลวงพระบาง

อย่าลืมตื่นไปใส่บาตรตอนเช้านะคะ
โดย: Febie วันที่: 18 ธันวาคม 2551 เวลา:0:50:31 น.
  
รูปสวย น่าไปมากเลยครับ
โดย: นายสะพายเป้ IP: 161.200.255.162 วันที่: 24 ธันวาคม 2551 เวลา:18:01:28 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

หมวยแก้มป่อง
Location :
กรุงเทพ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]



"All Or Nothing"

ถ้าจะรักต้องให้หมดทั้งใจ หรือก็ไม่ต้องเลย
Friends Blog
[Add หมวยแก้มป่อง's blog to your weblog]