Masks











MASKS:

หน้ากาก

เป็นบันทึกที่นายแพทย์ ทิศานาถ เขียน เมื่อเดินทาง ไปที่ฝรั่งเศส ผู้อ่านตอนแรกๆ คงพอจำได้

เมื่อคุณหมอไปขึ้น หอไอเฟลเป็นครั้งที่ สอง from sand to heaven ตอนที่4

je reviens ( วันที่กลับมา..อีกครั้ง) 





I remember Gandhi once wrote about this man in his village who converted to Christianity. The missionaries did a lot of that in the early days. He was describing that this man changed his clothes and started eating meat. I never understood what he meant till now. What strikes me is that the man changed himself to fit into the group he wanted to be accepted by. We wear masks all our lives and everyday we are conditioned to wear a new mask or our current mask just gets a little tighter on our face.

ผมจำได้ ว่า มหาตมะคานธี ได้เขียนเล่าถึง ชายในหมู่บ้านที่เลือกนับถือศาสนาคริสต์ กลุ่มมิชชั่นนารี ได้ทำอะไรไว้แล้วในเช้าวันนั้น และอธิบายว่าชายคนนั้นเปลี่ยนเสื้อผ้า และกลับมากินเนื้อวัว

ผมเองก็ไม่เคยเข้าใจ การอ่านเรื่องนี้ ที่มหาตมะ คานธีได้เขียนไว้ สิ่งที่กระทบความรู้สึก คือเขาได้เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองที่จะเลือกกลุ่มที่เขายอมรับ เราเองนั้น ใส่หน้ากากกันตลอดเวลา และได้รับเงื่อนไข ที่จะเลือกสวมหน้ากากที่พอดีกับหน้าของเราต่างหากล่ะ





The only time we do not wear a mask is when we are prenatal or dead. That is the price we pay for being human. Unfortunately, when we think that we are removing our mask, we just manage to put another one without our knowing. Of course the Ego does play a big role in this and to this add the survival instinct. We have to appear happy to the people who are around us no matter how we feel inside otherwise, they will shun us. We cannot express anger too openly because we can be judged as having a short fuse. So we wear masks. The trouble with masks is that they have a tendency to change or become ugly when we least expect it.

มีคราวที่เราไม่ใส่หน้ากากคือตอนก่อนเกิด และตอนเราตาย เป็นค่าที่เราจ่ายให้กับความเป็นมนุษย์

โชคร้ายเหลือเกินแม้แต่แค่คิดว่าจะถอดหน้ากาก เราก็ได้จัดการเปลี่ยนหน้ากากของตัวเอง เป็นหน้าอื่นๆโดยไม่รู้ตัว แน่ละเจ้าอีโก้( Ego)ของเราเองที่เปลี่บนบทบาท ของเราไปและเพิ่นสัญชาตญาณเพื่อการอยู่รอด เราต้องดูเหมือนจะมีความสุขต่อหน้าคนอื่น ๆ ไม่ว่าภายในใจจะเป็นอย่างอื่น พวกเขาเหล่านั้นจะทำให้เราต้องหลบเลี่ยง เราไม่สามารถแสดงอะไรออก การแสดงความโกรธอย่างเปิดเผย แม้เพียงนิดหนึ่งเราอาจถูกกล่าวหา เราจึงต้องสวมหน้ากากหลายอัน ความทุกข์ของคนกับหน้ากากที่มี คืออยากจะเปลี่ยนมันเสียก็ตอนที่ิ มันเริ่มน่าเกลียดขึ้น
และ ที่เราเริ่มจะมองเห็น



We have become our masks and have lost the understanding of who we really are. We have successfully become the actors who will continue to play this endless cycle of life and death trying to understand a way out of this.

เราเริ่มกลายเป็นหน้ากาก และสูญเสียความเข้าใจว่าเราเป็นอะไรไป เราได้กลายเป็นนักแสดง ที่จะต้องเล่นบทบาทไปตามวงจรชีวิต และเราก็พยายามที่จะเข้าใจวิถีชีวิตแบบนี้

We are part of the spiritual realm.To quote a Hindu holy man, god made you in his image but it is not flesh and blood, it is the light of the soul. We wear masks on our physical body but that just makes us more restless because we as not our masks. Most of us do not understand that. I am not who I appear to be in this physical world. It is a shell I have adorned to complete my life contract. When it is done I will again return to the spiritual world along with the lessons from this lifetime.

เราเป็นส่วน หนึ่งของอาณาจักรของจิตวิญญาณ อ้างอิงถึงนักปฏิบัติธรรมชาวฮินดู พระเจ้า สร้างตัวคุณได้เพียงภาพ ไม่มีเลือดเนื้อ เป็นแค่แสงในจิต วิณญาณ เราสวมหน้ากาก เพียงแค่ร่างกาย
และทำให้เราหยุดไม่ได้เพราะมันไม่ใช่หน้ากากของเรา และเราก็ไม่เคยเข้าใจ ผมเองไม่ใช่ผู้รู้ในโลกธรรม มันก็เหมือนเปลือกหอยที่พอดีกับร่างกายของผม เมื่อกายถูกกระทำก็กลายเป็นเรื่องของจิต ทีต้องเรียนรู้กันไปตลอดชีวิตจะหาไม่

I think there is the universe but there is also the spiritual realm and surrender to both of them is important for true spiritual growth. I do not believe that it can happen in a Church, or Temple or Synagogue or any other religious institution screaming God's name at the top of your voice. I think there is a spiritual life you have to live to find the oneness with the Divine that we have lost.This is my humble opinion.

ผมคิดว่าจะมีโลกสวรรค์ และก็ก็ต้องมีโลกของจิตวิญญาณ การที่เราจำนนไปด้วยทั้งสองสิ่ง ทำให้จิตสำนึกเติบโต ซึ่งผมไม่เชื่อ ว่ามันจะเกิดในโบสถ์ ในวัดที่เป็นที่ประกอบกิจทางศาสนาของชาวยิว หรือทุกศาสนาที่ เรียกชื่อพระเจ้า ก่อนอื่นใด ผมคิดว่า มันต้องมี ชีวิตที่อิงกับจิตวิญญาณ ที่คุณต้องอยู่กับมัน และหาโอกาส ทีจะเปิดโอกาสหา สิ่งที่หายไปจากเราที่เรียกว่า DIVINE
นี่คือความเห็น เล็กๆน้อยๆจากผม.















ประเทศญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่มีความเด่นชัดเรื่องการแสดง ที่ต้องโชว์ แต่งหน้า ราวกับการสวมหน้ากาก การสักและเพนท์ตามร่างกาย มีความโดดเด่นกว่าประเทศในตะวันออก จนกลายเป็นวัฒนธรรม  มีโรงละครเวทีที่สวยงามและมีชื่อเสียง มานาน มีความยิ่งใหญ่ตระการตา  การแสดงมีชื่อเรียก หลายรูปแบบ และวันนี้เรามารู้จักละครคาบูกิกัน

Kagawa Kabuki  Theatre





โรงละครคาบูกิเก่าแก่สร้างขึ้นในสมัยเอโดะ เพื่อให้ความบันเทิงแก่นักแสวงบุญที่เดินทางมาสักการะเทพเจ้าซานุกิ คนปิระซัง เทพเจ้าแห่งท้องทะเลที่สถิตอยู่ ณ ศาลเจ้าโคโตฮิรากู ในสมัยนั้นจะมีการจัดแสดง 3 ช่วง คือ เดือนมีนาคม มิถุนายน และตุลาคม ปัจจุบันโรงละครแห่งนี้ยังคงสภาพเช่นเดิมเหมือนดั่งในอดีต และในปี 1970 ที่นี่ได้รับการการขึ้นทะเบียนให้เป็น “สมบัติทางวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติ (Important Cultural Property)” ที่ควรค่าแก่การรักษาและดำรงไว้

Kabuki 


























































































Create Date : 04 กันยายน 2551
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2561 12:45:17 น.
Counter : 941 Pageviews.

7 comments
  
ดูน่ากลัวไปสักนิด แต่ก็มีความสวยงามอยู่ในตัวนะคะ
โดย: Picike วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:4:05:43 น.
  
ตามมาเที่ยวด้วยคนค่ะ

ดูจากภาพเดาว่าคุณเป็คนที่ชอบศิลปะ...มากๆเลย

ใช่...เปล่าคะ

...สวัสดีตอนเช้าค่ะ
โดย: t_karnya วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:9:47:39 น.
  


สวย แต่ดูลึกลับน่ากลัวนะคะ

ปอเอากาแฟมาฝากค่ะ
คิดถึงจริงๆ นะเนี่ย งิงิ
โดย: Butterflyblog วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:13:46:59 น.
  
ดูลึกลับๆ ยังไงไม่รู้ แต่รูปหน้ากากสวยดี ครับ
โดย: kosita วันที่: 4 กันยายน 2551 เวลา:14:42:11 น.
  
มาสวัสดีครับ
โดย: soda.jazz วันที่: 5 กันยายน 2551 เวลา:16:08:13 น.
  
หน้ากากสวยจังค่ะ แต่บางอันดูลึกลับน่ากลัวหน่อยๆ แฮะ
โดย: Pattylala วันที่: 5 กันยายน 2551 เวลา:21:12:25 น.
  
มาสวัสดีกัน หลังจากที่หายไปนานเลยค่ะ..

หน้ากาก..

บรรจงวาดไว้ให้สวยงาม..

แต่ลึกๆในใจคน..

ไม่อาจรู้เลย..

คุณCheri สบายดีนะคะ..
โดย: sonnen วันที่: 5 กันยายน 2551 เวลา:22:00:19 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

SwantiJareeCheri
Location :
  

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]



New Comments
กันยายน 2551

 
2
3
5
6
8
9
10
11
12
14
15
16
17
18
21
22
23
24
25
26
27
29
 
 
4 กันยายน 2551
All Blog