<<
ตุลาคม 2551
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
4 ตุลาคม 2551
 

หนัง(ผีเด็ก)กำพร้า

ผมมักจะรำคาญคราบไคลทั้งหลายตามร่างกายของผมอยู่บ่อยๆ มันทำให้ผมรู้สึกสกปรกและไม่มั่นใจในตัวเอง หนังกำพร้าเหล่านี้หลุดร่อนออกมาเป็นเซลล์จำนวนนับไม่ถ้วนต่อวัน มันเป็นสิ่งปฏิกูลที่ถูกระบบขับออกไปเพื่อให้เกิดสมดุลของร่างกาย คล้ายว่าจะไม่มีใครชื่นชอบหรือหาประโยชน์จากมันได้เลยสักนิด

ปกติแล้วผมก็ไม่ได้ดูหนังบ่อยนัก เฉลี่ยได้ไตรมาสละครั้ง ยิ่งเป็นหนังผียิ่งไม่อยากดูเข้าไปอีก ไม่ใช่ว่าผมกลัวผีจะหลอกจนขนหัวลุก แต่กลัวหนังหลอกมากกว่า เนื่องจากหนังเหล่านี้ชอบโปรโมทกันว่าไปดูแล้วจะได้อะไรมากกว่าที่คิด แต่พอออกจากโรงหนัง ผมก็ไม่เห็นว่าจะได้อะไรนอกจากกำไรที่หนังพวกนี้จะได้และความสนุกสนานของโครงเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะเริ่มเป็นสูตรสำเร็จกันไปเสียหมด เมื่อไม่นานมานี้หนังผีมักจะอยู่ควบคู่กับหนังตลกเหมือนปาท่องโก๋ ทว่าตอนหลังซบเซาลงเพราะคนดูคนชมรู้ “แกว” กันแล้ว ตอนหลังเลยเสิร์ฟขนมปังร้อนๆเป็นหนังผีไม่ผสมอะไรทั้งสิ้น โดยมีสังขยาหอมหวานอย่างดาราสุดหล่อ ซุปเปอร์สตาร์สาวแสนสวย หรือฝีมือกำกับร่วมของผู้กำกับชื่อดังมาเป็นตัวล่อให้คนไปบริโภค แต่ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทุกเรื่องไป และส่วนใหญ่หนังที่ประสบความสำเร็จก็เป็นแค่ความสำเร็จที่สร้างความสะพรึงกลัวอย่างมากเท่านั้น ไม่ค่อยจะมีมุมมองแง่คิดที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ชมสักเท่าไหร่ หนังผีในปัจจุบันก็คงเป็นเหมือนคราบขี้ไคลที่ถูกขัดออกอย่างตั้งใจ เพราะไม่มีใครเห็นสารประโยชน์ใดๆจากหนังจำพวกนี้เลย

ผมได้มีโอกาสชมหนังสัญชาติสเปนแดนกระทิงดุเรื่อง The Orphanage ในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ ที่จัดโดยคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หนังเรื่องนี้สร้างความระทึกขวัญให้กับผู้ชมอย่างมาก ระทึกขวัญมากจนบางครั้งคนนิ่งๆอย่างผมก็แอบรู้สึกรำคาญเสียงกรี๊ดจากหญิงชายทั้งหลายที่อยู่แวดล้อม แต่นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ความสำเร็จ” ของหนังเรื่องนี้ กระนั้นก็มิใช่ความสำเร็จร้อยเปอร์เซ็นต์ ยังมีอีกหลายประเด็นที่เป็นส่วนสำคัญในการตัดสินว่าหนังสั่นประสาทเรื่องนี้ประสบความสำเร็จจริงหรือไม่ และยิ่งไปกว่านั้นผู้ชมได้รับอะไรจากหนังเรื่องนี้บ้างนอกจากความบันเทิง ... หนังเรื่องนี้จะเหมือนกับหนังผีเรื่องอื่นๆที่หลุดร่อนไปตามกาลเวลาโดยที่ไม่มีใครสนใจในคุณค่าของมันเลยหรือเปล่า?

ผมกล้าพูดได้เลยว่า หนังเรื่องนี้ไม่ใช่หนังกำพร้าของวงการหนังอย่างแน่นอน ไม่เท่านั้น หนังเรื่องนี้ทำให้ผู้ชมอย่างผมเห็นคุณค่าของหนังกำพร้า ... ไม่ใช่หนังกำพร้าที่ร่างกายขับออกตามธรรมชาติ ... แต่เป็นหนังกำพร้าที่สังคมขับออกตามความรู้สึก

The Orphanage (El Orfanato) เป็นผลงานการกำกับการแสดงของ Juan Antonio Bayond ผู้กำกับหน้าใหม่ ซึ่งต้องขอบคุณ Guillermo Del Toro ผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ด้วย เพราะถ้า ไม่ใจกว้างพอที่จะให้เด็กรุ่นใหม่ไฟแรงอย่าง Bayond ลองทำงานกำกับแล้ว วงการหนังก็คงไม่มีตัวอย่างหนังผีคุณภาพอย่างแน่นอน โดยการันตีความยอดเยี่ยมของหนังได้จากรางวัล Goya Awards 2008 ซึ่งได้รับถึง 7 รางวัล จาก 14 สาขา

หนังเรื่องนี้กล่าวถึง Laura และครอบครัวได้เข้าไปอาศัยในบ้านเด็กกำพร้าที่เธอเคยอยู่เมื่อยังเด็ก สถานที่นี้เองเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมที่ไม่มีใครคาดคิด โดยเป็นสถานที่ที่ Simon ลูกชายบุญธรรมของเธอก็ได้หายตัวไป แน่นอนว่าเป็นฝีมือของ Thomas วิญญาณเด็กกำพร้าเพื่อนของ Laura ที่มีใบหน้าอัปลักษณ์ ซึ่งมีจิตอาฆาต เพราะถูกฆ่าตายโดยเพื่อนทิ้งเขาไว้ในถ้าในทะเลและไม่นานแม่ของเขาก็ฆ่าเพื่อนๆของเขาตายทั้งหมดโดย Thomas ลวง Simon ไปห้องลับในบ้าน การตามหา Simon เป็นไปด้วยความยากลำบากและปริศนาที่ต้องตามแก้ ความอัปลักษณ์ของ Thomas นำเสนอออกมาด้วยการแต่งหน้าที่ให้รายละเอียดสมจริง เห็นแล้วสยองทันที การดำเนินเรื่องนี้มีแสง สี และเสียงประกอบซึ่งล้วนเป็นส่วนผสมที่สร้างจากความพิถีพิถันบรรจงจนสามารถดึงอารมณ์ของผู้ชมเข้ามาร่วมในหนังได้อย่างมาก แม้ว่าผมจะเป็นคนเก็บอารมณ์ความหวาดกลัวเก่งเพียงใด ก็ต้องยอมรับว่าหนังเรื่องนี้เป็นเพียงไม่กี่เรื่องที่ทำให้ผมแอบสะดุ้งเล็กๆออกมา หัวใจของผมเต้นเร็วแรงผิดปกติด้วยความลุ้นระทึกติดตาม องค์ประกอบที่ลงตัวเหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกว่าผมอยู่ในบ้านหลังนั้นด้วยและกำลังแอบเฝ้าดูการกระทำของตัวละครเอกอย่างหวาดหวั่น เพราะเกรงว่าจะมีเด็กตัวเล็กๆมาสะกิดหลังผมแล้วชวนไปเล่นด้วยกัน

ในช่วงท้ายเรื่องมีการคลายปมปัญหาที่ผมดูไปสลดใจไป เพราะแท้จริงแล้ว Laura เองที่เป็นคนขังลูกไว้โดยไม่ตั้งใจเอง ซึ่งการตัดต่อและลำดับภาพเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เข้าใจเรื่องราวต่างๆตลอดทั้งเรื่องได้ดี การนำภาพที่ผู้ชมมองผ่านข้ามไปมาซ้ำอีกหลังจากที่ Simon ตายแล้ว ทำให้รู้สาเหตุที่นำมาซึ่งความเศร้าขมขื่นทรมาน และฉากชีวิตของ Laura ก็จบลงด้วยการกินยาฆ่าตัวตายตามลูกชายของเธอไป ชีวิตหลังความตายของเธอดูจะมีความสุขมากเพราะเธอได้ไปอยู่กับลูกและเพื่อนๆรวมทั้ง Thomas ด้วย เธอได้เล่านิทาน ได้สนุกเหมือนตอนเด็กๆตลอดไป

ความทุกข์และจุดจบของ Laura คงมิใช่สารหลักที่ผู้เขียนบทต้องการสื่อให้ผู้ชมเห็น แต่เขามีอะไรที่ต้องการสื่อมากกว่านั้นแต่เป็นการสื่อออกมาอย่างแยบยลจนบางครั้งก็ทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นรองๆไปเสีย ถือว่าผู้กำกับพลาดเรื่องการเสนอความคิดไปนิดหน่อย นั่นก็คือ เรื่องของ เด็กกำพร้า ซึ่งสอดคล้องกับชื่อเรื่อง The Orphanage คนสร้างหนังคงไม่ใช้ชื่อเรื่องนี้เพียงเพราะเป็นฉากหลักของเรื่อง ประเด็นที่น่าสนใจก็อยู่ที่สังคมทุกวันนี้ เราทอดทิ้งพวกเด็กกำพร้าและไม่เอาใจใส่พวกเขาใช่หรือไม่? ซ้ำร้ายเด็กกำพร้าที่มีลักษณะผิดแปลกไปจากคนอื่นย่อมถูก ‘ลืม’ และ ‘เลือน’ ไปจากสังคมใช่หรือไม่? มองในภาพรวม คงไม่ใช่แค่เด็กกำพร้าเท่านั้นที่ถูกทอดทิ้ง ยังมีกลุ่มคนอีกหลายกลุ่มที่ไม่รับความสนใจจากสังคม หรือมีความแปลกแยกจากสังคมจนมองเป็นบุคคล ‘ชายขอบ’ พวกเขาถูกมองเป็นเหมือนหนังกำพร้าที่ไม่มีประโยชน์อะไรเลย และมันจะอันตรายขนาดไหนถ้ากลุ่มคนเหล่านี้มีจิตอาฆาตเหมือน Thomas และร่วมกันทำร้ายสังคมจนบอบช้ำ ... และก็อย่ามาถามรึกันว่าใครจะรับผิดชอบ

สังคมของเรานับวันจะยิ่งเสื่อมทรามลงอย่างรวดเร็ว เพราะเราไม่ได้ให้ความสำคัญต่อคนทุกกลุ่มทุกประเภทอย่างเท่าเทียม มีการแบ่งชนชั้นวรรณะกันกลายๆ ทำให้พวกเขาเหล่านั้นไม่มีโอกาสแสดงศักยภาพที่มีอยู่ช่วยเหลือสังคมส่วนรวม และเราเองก็ปล่อยปละละเลยต่อบทบาทหน้าที่ที่พึงกระทำ ผมเองเริ่มกลับมาทบทวนประเด็นนี้อีกครั้ง จึงเกิดความสงสัยว่าหากคนกลุ่มนั้นทำหน้าที่ของตนเองและทำงานเพื่อสังคมอย่างเต็มที่ที่สุด ขณะเดียวกันคนที่สมบูรณ์พร้อมทุกอย่างเราๆกลับนิ่งเฉยเป็นหุ่นปั้นไร้สมอง ... ใครกันแน่ที่เป็นหนังกำพร้าของสังคม?

เราจะยอมให้ใครหาว่าเราเป็นหนังกำพร้าที่ไร้ประโยชน์ของสังคมกระนั้นหรือ?



ผมคนหนึ่งแหละ ... ที่ไม่ยอม!



Create Date : 04 ตุลาคม 2551
Last Update : 5 ตุลาคม 2551 13:07:48 น. 10 comments
Counter : 1225 Pageviews.  
 
 
 
 
น่ากลัวง่ะค่ะ
 
 

โดย: Madame Kp วันที่: 4 ตุลาคม 2551 เวลา:1:44:04 น.  

 
 
 
Must watch this film ka.
 
 

โดย: CrackyDong วันที่: 4 ตุลาคม 2551 เวลา:2:22:41 น.  

 
 
 
เขียนเก่งมาก ๆ ค่ะ เข้าใจคิด

แวะเข้ามาดู ด้วยเหตุผลที่ว่า ลูกชายก็ชื่อดนย์เหมือนกันค่ะ

ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ
 
 

โดย: Oops! a daisy วันที่: 4 ตุลาคม 2551 เวลา:7:35:13 น.  

 
 
 
อืมม น้องๆ หรือคนบางคน เป็นหนังกำพร้า ที่สังคมอยากจะให้หลุดร่อนออกไป

น่าสงสารครับ ไม่น่าจะเป็น แต่... มันมีอยู่จริง
 
 

โดย: yyswim วันที่: 4 ตุลาคม 2551 เวลา:16:44:48 น.  

 
 
 
ขอบคุณที่แวะไปชิมอาหารเจค่ะ

มีเมนูใหม่มาให้ชิมอีกแล้วนะค่ะ
 
 

โดย: Madame Kp วันที่: 6 ตุลาคม 2551 เวลา:2:35:19 น.  

 
 
 
ข้อความตอนท้ายได้ให้ข้อคิดกับสังคม อย่างน้อยเราชาวสังคมอินเตอร์เน็ทได้รับรู้ ได้สะกิคใจให้ผู้คนในสังคมที่เป็นทองไม่รู้ร้อน ได้หันกับมามองสังคมรอบข้างของเราครับ
 
 

โดย: Insignia_Museum วันที่: 6 ตุลาคม 2551 เวลา:20:52:43 น.  

 
 
 
มารอบล๊อคต่อไปค่ะ เขียนบล๊อคเมื่อไหร่แวะไปเคาะมาดามมาอ่านด้วยนะค่ะ
 
 

โดย: Madame Kp วันที่: 7 ตุลาคม 2551 เวลา:1:52:21 น.  

 
 
 
เขียนได้ดีมากครับ ตอนแรกผมตั้งใจจะไม่ดูหนังเรื่องนี้แล้ว เห็นที่จะต้องเปลี่ยนใจเช่ามาดูดีกว่
 
 

โดย: Johann sebastian Bach วันที่: 11 ตุลาคม 2551 เวลา:8:13:55 น.  

 
 
 
เอาน้องใบบัว มาฝากจ้า
 
 

โดย: noitpituk วันที่: 20 ตุลาคม 2551 เวลา:23:18:33 น.  

 
 
 
เป็นคนชอบดูหนัง ดูได้ทุกประเภท ยกเว้นก็แต่หนังผีนี่แหละค่ะ ดูแล้วไม่มีความสุขแถมหลอนอีกตะหาก
 
 

โดย: haiku วันที่: 21 ตุลาคม 2551 เวลา:16:02:49 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

ดนย์
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สวัสดีครับ...Hello...Bonjour à tous, Je m'appelle DON...................พระจากไปใจประชาก็ว้าหวั่น...พระมิ่งขวัญอนันต์คุณการุณชาติ...พระคือพระผู้เมตตาผู้เสริมศาสตร์...พระสถิตย์ในใจราษฎร์นิจนิรันดร์ ......น้อมสำนึกในพระกรุณาธิคุณ สมเด็จพระโสทรเชษฐภคินีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอทรงสถิตย์บนชั้นฟ้า ปวงประชาศรัทธามิรู้ลืม..........................................................“ครู” ประดุจ “เรือจ้าง” ใครช่างเปรียบ “ครู” ควรเทียบฟ้ากระจ่างกว้างไพศาล “ครู” ตักเตือนเมตตา-อภิบาล “ครู” สอนสั่งวิชาการ...วิชาคน“เรือจ้าง” ใครช่างเปรียบ “ครู” ควรเทียบแสงสว่างกลางไพรสณฑ์ เป็นแสงทองส่องชี้ชีวิตคน พระคุณล้นเกินรำพรรณจำนรรจา แม้ไม่มีข้าวตอก- ดอกไม้หอม ประดับพร้อมเป็นพุ่มพานอันหรูหรา แต่ขอนำจิตร้อยถักอักษรา ประณตน้อม “สักกาฯ” พระคุณ “ครู”...................ใครคือครู ครูคือใคร ในวันนี้ ใช่อยู่ที่ปริญญามหาศาล ใช่อยู่ที่เรียกว่าครูอาจารย์ ใช่อยู่นานสอนนานในโรงเรียน ครูคือผู้ชี้นำทางความคิด ให้รู้ถูกรู้ผิดคิดอ่านเขียน ให้รู้ทุกข์รู้ยากรู้พากเพียร ให้รู้เปลี่ยนแปลงสู้รู้สร้างงาน ครูคือผู้ยกระดับวิญญาณมนุษย์ ให้สูงสุดกว่าสัตว์ดิรัจฉาน ครูคือผู้สั่งสมอุดมการณ์ มีดวงมานเพื่อมวลชนใช่ตนเอง ครูจึงเป็นนักสร้างผู้ใหญ่ยิ่ง สร้างคนจริงสร้างคนกล้าสร้างคนเก่ง สร้างคนให้ได้เป็นตัวของตัวเอง ขอมอบเพลงนี้มาบูชาครู..................เกิด....เป็นครูต้องดิ้นรนทนต่อสู้ เกิด...เป็นครูในโลกนี้มีหวั่นไหว เกิด...เป็นครูแม้มีจนต้องทนไป เกิด...เป็นครูถึงอย่างไรไม่ถ่ายโอน เกิด...เป็นครูขอยึดมั่นอยู่ที่เดิม เกิด...เป็นครูจะเสริมตัวใช่หัวโขน เกิด...เป็นครูอยู่ศึกษาอย่ามาโยน เกิด...เป็นครูไม่ขอโอนไปไหนเอย..................เกิด....เป็นครูในวันนี้ต้องต่อสู้ เกิด....เป็นครูในวันนี้ไม่หวั่นไหว เกิด....เป็นครูไม่ใช่ต้องทนไป เกิด....เป็นครูมีความคิดได้ใช่ตามกัน เกิด....เป็นครูไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เกิด....เป็นครูมีความรักต่อศิษย์มั่น เกิด....เป็นครูต้องต่อสู้ให้พร้อมกัน เกิด....เป็นครูตั้งมั่นไม่ถ่ายโอน................................สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความใน blog แห่งนี้ไปใช้ ทั้งโดยเผยแพร่และเพื่อการอ้างอิง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด..................ยินดีต้อนรับเข้าสู่ don's blog ครับ

[Add ดนย์'s blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com