---------เบิ้องหลังกราฟ มาจากไหน ?? และ เบื้องหน้าการแปลผล ??------
กราฟ สำหรับคนที่บอกว่าไม่เข้าใจ สมัยก่อนวิชาคณิตศาสตร์ จะแยกออกเป็น เลขคิดในใจ(ห้ามใช้กระดาษ เวลาสอบ ครูอ่านโจทย์แล้วตอบคำตอบลงไป) เลขคณิต(เขียนวิธีทำในกระดาษ) พีชคณิต(มีอักษรแทนเลขด้วย แล้วทำโจทย์จนจบแล้วให้ได้คำตอบเป็นตัวเลข หรืออักษร แล้วแต่โจทย์) บัญชี เรขาคณิต (จุดเส้นมุมรูปวงกลม ครึ่งวง เหลี่ยมต่างๆๆ) กราฟ (เส้นตรง แท่ง วงกลม รูปภาพ) จุดประสงค์ของกราฟ คือวิชาที่เปลี่ยนตัวเลขมาเป็นรูป จากข้อมูลมากมายหลายสิบปี สรุปมาเป็นปีปี หรือเดือนเดือน หรืออาทิตย์อาทิตย์ เหลือมาเป็นภาพเดียว หรือแค่สองสามภาพ แล้วแต่ต้องการข้อมูลบีบอัดมาก หรือ พอขยายหลวมๆๆ จากคำจำกัดความตรงนี้ จึงอยากแสดงด้วยภาพให้เข้าใจ กราฟที่เรานำมาประยุกต์ใช้ในหุ้นคือ จากกราฟพื้นฐาน ข้อมูล เอาราคาเปิดไว้ด้านซ้าย ใส่ขีดไว้ที่เส้นราคา หนึ่งวัน(day graph) แล้วเอาราคาปิดไว้ด้านขวา อันนี้เราเรียกกราฟบาร์ (BAR graph) และจากบาร์มองยาก ไม่สวย เขาก็พัฒนาให้มองแล้วรู้เลยว่า วันไหนขึ้นวันไหนลง โดยใส่สีเขียวเป็นขึ้นสีแดงเป็นลงแต่มีหลักการว่า จากราคาเปิด แล้วปิด ถ้าราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด ให้ใช้สีเขียวดังนั้น จงเข้าใจใหม่ว่า สีเขียวไม่ได้แปลว่าขึ้น เสมอไปเช่น วันก่อนปิดที่500 แล้ววันถัดมา เปิดที่490แล้วปิดที่492 นี่ต้องเป็นแท่งเขียว แต่เป็นแท่งที่ต่ำกว่าวันก่อน ถ้าวันก่อนเป็นแท่งแดงอยู่ ยิ่งเสริมว่าลง แต่ไม่ได้ปิดต่ำ กลายเป็นปิดสูง(ลองเขียนและระบายสีด้วยจะเข้าใจง่าย)ลองดูภาพเมื่อกี้ เมื่อกลายเป็น แท่งสี ที่เราเรียกว่า กราฟแท่งเทียน (candle) ที่มาของชื่อเพราะเป็นแท่ง (ฮีสโตรแกรม แท่งตัน) แต่มีใส้ด้วยซึ่งเราต้องเข้าใจเรื่องใส้เทียนด้วย ถ้าแท่งเขียวด้านบนไม่มีใส้แสดงว่าวันนั้นราคาปิดที่ราคาสูงสุดของวัน ถ้าแท่งเป็นแดง แสดงว่าเปิดแล้วไม่เคยขึ้นไปสูงกว่าราคาเปิดได้เลย แต่ถ้า"มีใส้ ด้านบน"แสดงว่ามี"แรงขาย" และถ้าแท่ง ด้านล่างไม่มีใส้ แท่งเขียวแปลว่าตั้งแต่เปิดแล้วราคาไม่เคยต่ำกว่าเปิดเลย แท่งแดงแปลว่า ราคาปิดที่ราคาต่ำสุดของวัน แต่ถ้า"มีใส้ด้านล่าง"แปลว่า "มีแรงซื้อ" ดันขึ้นมาได้ "แท่งยาว"แสดงว่า มีความแกว่งมาก "ใส้ยาว"แสดงว่าแรงด้านนั้นมาก เมื่อคอมไวขึ้นการใช้ข้อมมูลเรียลไทม์ เริ่มมีประโยชน์ต่อการ เทรดเป็นอย่างมาก เขาจึงใช้กราฟ บอกข้อมูลแทนตัวเลขด้วย ในช่วงแรกๆๆ กราฟเป็นโปรแกรม ที่แพง ต้องซื้อหรือเช่ามาใช้ ดังนั้นสมัยก่อน จึงต้องโทรถามมาร์ ว่าตัวนี้เคยสูงสุดเท่าไร เคยลงต่ำเท่าไร หรือแนวรับแนวต้นอยู่ไหน มาร์ซึ่งมีกราฟใช้ก็จะตอบเราได้ไวเพราะอ่านง่ายกว่าอ่านข้อมูลเลข แล้วมาร์ ก็ได้ใช้กราฟ ในระหว่างวัน (interday graph )ซึ่งก็จะแยกไปตามการตั้งเวลาในกราฟว่าจะใช้แท่งละกี่นาทีจนพัฒนาการเทรดมาเป็นเดยืเทรดได้ง่าย เล่นรอบในระหว่างวันง่าย ไม่ต้องถือข้ามคืน เล่นจบไปวันวัน ไม่ต้องกังวล หรือเสี่ยงในกรณีที่จะรอข่าวคืนต่อไป หรืออีกวันสองวัน จะลองเอากราฟ Interday ระยะเวลา 2นาทีมาให้ดู ว่าในหนึ่งวันที่ได้แท่งเทียนแท่งเดียวนั้น มันเกิดอะไรขึ้นบ้าง มีการต่อสู้กันอย่างไร เราสังเกตได้อย่างไร อ่านอารมณ์ คนในตลาดได้อย่างไร ไฟดับเมื่อเช้านึกว่ามันลบไปหมดแล้ว เดี๋ยวว่างมาเขียนต่อครับ
จากกราฟ ฟิวเจอร์ หลังจาดเปิด แล้ว10โมงตลาดหุ้นก็เปิด เพียงแปดนาที ฟิวเจอร์ก็ทิ้งดิ่งแบบมีวอลุมแท่งขาวด้านล่างยาวๆๆด้วย เกิด แท่งแดง ติดกันยาวๆๆก็ลงไปถึง672 พาตลาดหุ้น แดงไปหมด แล้วตลาดก็ค่อยๆๆเด้งขึ้นมาเนื่องจากก่อนเปิด เอเซียแดงไปหมดเกือบทุกตลาด แล้ววันก่อนหน้าตลาดไทยฝรั่งเป็นยอดขายด้วยฝ่ายดันขึ้นก็พาขึ้นไปได้ระดับหนึ่ง แล้วตลาดก็เป็นไซด์เวย์ จนเกือบ เที่ยงฝ่ายดันก็เริ่มดันขึ้นแรงๆๆด้วยแท่งเขียวๆๆแบบมีวอลุมและทิ้งท้ายไว้ก่อนปิดด้วยแท่งเขียวยาวๆๆ แต่พอเปิดบ่าย ฝ่ายดันก็ดันต่อไปอีก จนใก้ลจะทำให้ตลาดเป็นบวก ก็มีแรงกด ให้ต่ำลง แล้วก็เป็นไซด์เวย์ ลงเรื่อยๆๆแบบฝรั่งรินขายเพราะช่วงเช้าหุ้น20ตัวแรกที่วอลุมเยอะเป็นหุ้นกลุ่มตัวเล็กทั้งสิ้น แต่ช่วงบ่ายหุ้นขนาดใหญ่ก็มาครองวอลุม จนหมด และทำท่าจะเป็นแบบวันก่อนคือตกแรงช่วงสี่โมงเย็น แต่พอสี่โมงจริงฝ่ายดันเริ่มดันอย่างมีนัยยะไม่อยากให้ตกแรงแต่พอหมดเวลาตลาดหุ้น 16.30 ก็ลบอยู่ราวสี่จุด แล้วเกิดการแลนดอมราคา ปิด ปรากฏว่าเมื่อเกือบสิบนาที ได้ราคาปิด เด้งขึ้นมาอีก จนลบเพียงเล็กน้อย ผมจะพาไปดู ราคาปิดของหุ้นสักสองสามตัว ด้วย การปิดตามปกติ การปิดตามปกติ การดันดัชนีให้ปิดสูงด้วยการดันราคาและวอลุมหุ้นปตท การดันดัชนีให้ปิดสูงด้วยการดันราคาและวอลุมหุ้นปตท สพ จากกราฟ2นาที ที่ผมได้นั่งดูพฤติกรรมของคนในตลาด มาตลอดวันก็ได้เพียงแท่งเทียนแท่งเดียวในกราฟ ดัชนี ตลาดหุ้นไทย ระยะเวลาสองเดือน รูปนี้ ซึ่งเราจะมาสรุปง่ายๆๆว่าฝรั่งซื้อแค่นั้นคงไม่ถูกต้อง เพราะจริงๆๆแล้วฝรั่งก็เล่นหุ้นหลากหลายตัว บางตัวอาจจะซื้อบางตัวอาจจะขาย ถ้าการขายตัวเล็กราวยี่สิมสิบตัวแล้วซื้อตัวใหญ่ 2หรือ3ตัวแต่มูลค่ามันมาก ยอดสรุปอาจจะเป็นซื้อแต่จริงแล้วส่วนใหญ่เขาขายเป็นต้น ดังนั้นเราต้องมองภาพรวมว่าค่าเงินบาทแข็งไหม (วันวานอ่อน แต่เยนแข็ง ) แล้วดอลล่าร์แข็งไหม (ตอนมืด ดอลล่าร์กลับอ่อนลงจาก 78 ไป77 กว่าอีก )
ดังนั้นการใช้กราฟ day ก็อาจจะทำให้เราไม่เข้าใจเหตการณ์ในวันได้ดีพอเท่าคนที่เขาดูตลอดเวลาจริง ดังนั้นการไปใช้กราฟ week หรือ month สำหรับผม ยิ่งคิดว่าเออเร่อจะมากขึ้น ในเวลาวิกฤตที่มีข่าวทำให้ตลาดถูกกระทบได้ตลอดเวลาเช่นนี้ (ที่กล่าวทั้งหมด มันจำเป็นจริงๆๆสำหรับคนที่ยึดเป็นอาชีพ จริง ว่า เผลอไม่ได้ โดยเฉพาะพวกที่นิยมการเล่นเสี่ยงทุกรูปแบบ เช่น หุ้นปั่น ฟิวเจอร์ สต๊อคฟิวเจอร์ ทองฟิวเจอร์ DW และออปชั่น ส่วนความเห็นคนที่ไม่ใช่มืออาชีพ ไม่มีเวลาดูจอจริงๆๆ ก็คงต้องเลือก ให้เหมาะกับท่าน โดยอย่าเล่นอะไรที่เสี่ยงมากละกัน แบบหุ้น เย็นๆๆ หรือจะใช้ตลาดหุ้นเป็นการลงทุน หรือเล่นดัชนี หรือเล่นกองทุน ต่างๆๆแบบสะสมทรัพย์ )
จบแค่ อรัมภาบท เอง กราฟเบื้องหลังมาจาก การเรียนสมัยก่อน
Create Date : 30 ตุลาคม 2553 |
Last Update : 30 ตุลาคม 2553 17:46:26 น. |
|
12 comments
|
Counter : 2373 Pageviews. |
|
|
|
|