มาตรฐานประกอบการออกแบบอาคาร เพื่อต้านทานการสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว มยผ. 1301-50
มาตรฐานประกอบการออกแบบอาคาร เพื่อต้านทานการสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหว มยผ. 1301-50 รศ.ดร.อมร พิมานมาศ ภาณุวัฒน์ จ้อยกลัด ปรีดา ไชยมหาวัน ดาวน์โหลดเอกสาร : มาตรฐานประกอบการออกแบบอาคาร เพื่อต้านทานการสั่นสะเทือนจากแผ่น่นดินไหว มยผ. 1301-50 ขอบข่าย - มาตรฐานฉบับนี้เป็นข้อเพิ่มเติมมาจากกฎกระทรวงฉบับที่ 49 (พ.ศ.2540)
- ไม่ครอบคลุมงานก่อสร้างถนน สะพาน เขื่อน อุโมงค์และอาคารชั่วคราว
- ข้อกำหนดเรื่องลักษณะและรูปทรงโครงสร้างนำมาจาก UBC CODE ปี พ.ศ.2534 และพ.ศ.2540
- ข้อกำหนดเกี่ยวกับการเสริมเหล็กให้มีความเหนียวนำมาจาก ACI318
- การเสริมเหล็กให้มีความเหนียวไม่รวมถึง องค์อาคารที่ไม่ได้ออกแบบให้รับแรงทางข้าง
- การรวมน้ำหนักบรรทุกให้ใช้ตาม กฏกระทรวงฉบับที่ 6 โดยแทนผลของแรงลมด้วยแรงแผ่นดินไหวตามกฏกระทรวงฉบับที่ 49 (พ.ศ.2540)
- มาตรฐานนี้ใช้หน่วย SI เป็นหลัก (N, mm)
นิยามศัพท์ - กำแพงรับแรงเฉือน (shear wall) : กำแพงที่ออกแบบให้ต้านทานแรงทางข้าง (ในด้านที่ขนานกับระนาบของตัวกำแพง)
- โครงแกงแนง (Braced Frame) : ระบบที่ใช้โครงข้อหมุนในระนาบดิ่งทำหน้าที่ต้านทานแรงด้านข้างโดยรอบ
- โครงต้านแรงดัด (Moment Resisting Frame) : โครงที่มีองค์อาคารและรอยต่อซึ่งสามารถต้านทานแรงโดยการดัดเป็นหลัก
- โครงต้านทานแรงดัดที่มีความเหนียว (Ductile Moment ResistingFrame) : โครงต้านแรงดัดที่มีการจัดระบบโครงสร้างเป็นอย่างดีและมีการออกแบบให้เกิด การวิบัติเชิงดัด (Flexural Failure) โดยชิ้นส่วนคานเสามีความสามารถด้านความเหนียวเชิงโค้ง (Curvature Ductility Capacity) ณตำแหน่งที่เกิดการวิบัติไม่น้อยกว่า 20
- โครงต้านทานแรงดัดทีี่มีความเหนียวจำากัด (Ductile MomentResisting Frame with Limited Ductility) : โครงต้านทานการดัดที่มีรายละเอียดเหล็กเสริมเพื่อให้โครงสร้างมีความเหนียว จำกัด
- โครงสร้างที่มีลักษณะไม่สม่ำเสมอ (Irregular Structure) : โครงสร้างที่ไม่มีความต่อเนื่องทางกายภาพของรูปทรง ลักษณะโครงสร้าง และมวลในแนวราบหรือแนวดิ่ง
- โครงสร้างที่มีลักษณะสม่ำเสมอ (Regular Structure) : โครงสร้างที่มีความต่อเนื่องทางกายภาพของรูปทรง ลักษณะโครงสร้าง และมวลในแนวราบหรือแนวดิ่ง
- ไดอะแฟรม (Diaphragm) : ระบบโครงสร้างในแนวราบหรือใกล้เคียง ซึ่งทำหน้าที่ถ่ายแรงทางข้างไปสู่ชิ้นส่วนในแนวดิ่ง
- ระบบต้านทานแรงด้านข้าง (Lateral-Force-Resisting System) :ระบบโครงสร้างหรือส่วนของระบบโครงสร้างที่ออกแบบให้ต้านทานแรงแผ่นดินไหว
- แรงบิดโดยบังเอิญ (Accidental Torsion) : แรงบิดที่เกิดจากแรงเฉือนในแต่ละชั้นที่กระทำเยื้องศูนย์จากจุดศูนย์กลาง ความแข็งแกร่ง (Center ofRigidity) โดยระยะเยื้องศูนย์ดังกล่าวจะต้องไม่น้อยกว่า ร้อยละ 5 ของมิติอาคารที่มากที่สุดในระดับชั้นนั้น
ลักษณะและรูปร่างของโครงสร้าง - ความไม่สม่ำเสมอของโครงสร้างในแนวดิ่ง (Vertical StructuralIrregularities)
- ความไม่สม่ำเสมอของผังโครงสร้าง (Plan Structural Irregularities)
ความไม่สม่ำเสมอในแนวดิ่ง ความไม่สม่ำเสมอของสติฟเนส (Stiffness irregularity) หรือชั้นที่อ่อน (Soft story) : เช่น ชั้นที่มีสติฟเนสทางข้างน้อยกว่าร้อยละ 70 ของชั้นที่เหนือขึ้นไปหรือน้อยกว่าร้อยละ 80 ของสติฟเนสเฉลี่ยของสามชั้นที่เหนือขึ้นไป - ความไม่สม่ำความไม่สม่ำเสมอของมวล (Mass irregularity) : มวลประสิทธิผล(Effective mass) ของชั้นใดๆมีค่ามากกว่าร้อยละ 150 ของชั้นที่ติดกัน
- ความไม่สม่ำเสมอทางเรขาคณิตของรูปทรงในแนวดิ่ง (VerticalGeometrical Irregularity) : มิติในแนวราบของระบบต้านทานแรงด้านข้างของชั้นใดๆ มีค่ามากกว่าร้อยละ 130 ของชั้นที่ติดกัน (ยกเว้น penthouse)
- ความไม่ต่อเนื่องในระนาบขององค์อาคารต้านทานแรงด้านข้างในแนวดิ่ง (In-Plane Discontinuity in Vertical Lateral-Force-ResistingElement) : จะพิจารณาเมื่อระยะเยื้องในแนวระนาบขององค์อาคารต้านแรงทางข้างมีค่ามากกว่า ความยาวขององค์อาคารนั้นๆ
- ความไม่ต่อเนื่องของกำลัง (Discontinuity in Capacity) หรือชั้นที่อ่อนแอ (Weak Story): ชั้นที่มีผลรวมของกำลังของชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ร่วมกันรับแรงแผ่นดินไหวใน ทิศทางที่พิจารณาทั้งหมด มีค่าน้อยกว่าร้อยละ 80 ของชั้นที่เหนือถัดขึ้นไป
ความไม่สม่ำเสมอของผังโครงสร้าง - ความไม่สม่ำเสมอในเชิงการบิด (Torsional Irregularity) ? กรณีที่ไดอะแฟรมเป็นประเภทไม่อ่อนตัว (Not Flexible) : เมื่อค่าสูงสุดของการเคลื่อนตัวด้านข้างระหว่างชั้นในแนวตั้งฉากกับแนวแกน ที่ปลายด้านหนึ่งมีค่ามากกว่า 1.2 เท่าของค่าเฉลี่ยที่ปลายทั้งสองด้าน
- ความไม่สม่ำเสมอจากการมีมุมหักเข้าข้างใน (Re-Entrant Corners) :เมื่อผังโครงสร้างและระบบต้านทานแรงด้านข้างมีลักษณะหักเข้าข้างใน ทำให้เกิดส่วนยื่น โดยที่ส่วนยื่นนั้นมีระยะฉายในแต่ละทิศทางมากกว่าร้อยละ 15ของมิติของผังในทิศทางนั้น
- ความไม่ต่อเนื่องของไดอะแฟรม (Diaphragm Discontinuity) :เมื่อไดอะแฟรมมีความไม่ต่อเนื่องหรือมีการเปลี่ยนแปลงสติฟเนสอย่างกระทัน หัน รวมถึงการเจาะช่องเปิดมากกว่าร้อยละ 50 ของพื้นที่ไดอะแฟรมหรือสติฟเนสประสิทธิผลของไดอะแฟรมของชั้นใดชั้นหนึ่งมี การเปลี่ยนแปลงมากกว่าร้อยละ 50 เมื่อเทียบกับชั้นถัดไป
- การเยื้องออกจากระนาบ (Out-of-Plane Offsets) : เมื่อเส้นทางการถ่ายแรงของแรงด้านข้างมีความไม่ต่อเนื่อง เช่น การเยื้องของกำแพงรับแรงเฉือน
- ระบบที่ไม่ระบบที่ไม่ขนานกัน (Nonparallel System) : ระบบที่มีชิ้นส่วนแนวดิ่งที่ต้านแรงทางข้างวางตัวในแนวที่ไม่ขนานกันหรือไม่ สมมาตรกัน
รายละเอียดเหล็กเสริมโครงต้านแรงดัดที่มีความเหนียวจำกัด - คานและเสา : องค์อาคารที่รับแรงดัดแต่มีแรงตามแนวแกนที่ปรับค่า(Factored Axial Load) แล้วไม่มากกว่า 0.1Agf?c และ เสา คือองค์อาคารที่มีแรงตามแนวแกนซึ่งปรับค่าแล้วมากกว่า 0.1Agf?c
- กำาลังต้านทานแรงเฉือน : ต้องมีค่าไม่น้อยไปกว่า
- แรงเฉือนที่เกิดขึ้นเมื่อแรงดัดที่ปลายขององค์อาคารทั้งสองถึงค่าโมเมนต์กำลังระบุรวมกับแรงเฉือนจากน้ำหนักบรรทุกโน้มถ่วง
- แรงเฉือนสูงสุดที่ได้จากการรวมน้ำหนักบรรทุกออกแบบ ที่พิจารณาแรงจากแผ่นดินไหวเป็น 2 เท่าของแรงที่กำหนดในกฎหมายควบคุมอาคารที่ว่าด้วยแรงแผ่นดินไหว
- เหล็กเสริมในคาน : มีข้อกำหนดดังนี้
1. กำลังต้านทานโมเมนต์บวกที่ขอบของข้อต่อจะต้องไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของกำลังต้านทานโมเมนต์ลบที่ขอบของข้อต่อเดียวกัน นอกจากนี้กำลังต้านโมเมนต์บวกและโมเมนต์ลบที่หน้าตัดใดๆ ตลอดความยาวของคานจะต้องไม่น้อยกว่า 1 ใน 5 ของกำลังต้านทานโมเมนต์สูงสุดที่ขอบของข้อต่อที่ปลายทั้งสองด้านของคาน 2. ภายในบริเวณปลายคานที่ห่างจากขอบของจุดที่รองรับเป็นระยะ 2 เท่าของความลึกคานจะต้องเสริมเหล็กปลอกที่มีระยะ ไม่มากกว่า - 1 ใน 4 ของความลึกประสิทธิผล - 8 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของเหล็กเสริมตามแนวยาวที่มีขนาดเล็กสุด - 24 เท่าของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเหล็กปลอก - 300 มิลลิเมตร 3. ระยะเรียงของเหล็กปลอกนอกเหนือจากข้อ 2 จะต้องไม่มากกว่าความลึกประสิทธิผล 4. ควรหลีกเลี่ยงการทาบเหล็กเสริมตามแนวยาวทั้งบนและล่างภายในระยะ 2 เท่าของความลึกคาน (เมื่อวัดออกจากขอบที่รองรับ) - เหล็กเสริมในเสา : มีข้อกำหนดดังนี้
1. กรณีเหล็กปลอกเดี่ยวจะเสริมไม่มากกว่าระยะ s0 ตลอดความยาว l0 ที่วัดจากขอบของข้อต่อเสา โดยที่ระยะ s0 จะต้องไม่มากไปกว่า - 8 เท่าของเส้นผ่านศูนย์กลางของเหล็กเสริมตามแนวยาวที่มีขนาดเล็กสุด - 24 เท่าของขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของเหล็กปลอก - ครึ่งหนึ่งของมิติที่เล็กสุดของหน้าตัดเสา - 300 มิลลิเมตร และเหล็กปลอกแรกจะต้องอยู่ห่างจากขอบของข้อต่อเป็นระยะไม่มากกว่า 0.5s0 2. สำหรับความยาว l0 ในข้อ 1 จะต้องไม่น้อยไปกว่า - 1 ใน 6 ของความสูงจากขอบถึงขอบเสา - มิติที่มากที่สุดของหน้าตัดเสา - 500 มิลลิเมตร 3. เหล็กปลอกเกลียว ให้ใช้ตามข้อแนะนำในมาตรฐาน วสท. 4. ยกเว้นในข้อต่อระหว่างเสาคานที่ไม่ได้เป็นส่วนหลักของระบบรับแรงแผ่นดินไหว และมีการยึดโยงโคนเสาทั้ง 4 ด้านด้วยพื้นหรือคานที่มีความลึกเท่ากันตลอด ข้อต่อต้องเสริมเหล็กไม่ต่ำกว่า Av = (1/3)bcs/fy 5. ระยะเรียงของเหล็กปลอกเดี่ยวในส่วนที่นอกเหนอจากข้อ 1 จะต้องไม่มากกว่า2 เท่าของระยะ s0 6. พื้นที่หน้าตัดของเหล็กเสริมตามยาวของเสาต้องไม่น้อยกว่า 0.01 และไม่มากกว่า 0.06 ของพื้นที่หน้าตัดเสาทั้งหมด 7. การต่อทาบเหล็กเสริมเสาให้ต่อบริเวณช่วงกลางความสูงเสา - การออกแบบเหล็กเสริมในข้การออกแบบเหล็กเสริมในขอ้อต่อ่อเสาคาน : มีข้อกำหนดดังนี้
1. แรงเฉือนในแนวนอนสูงสุดที่กระทำต่อข้อต่อ (Vj) ต้องไม่มากไปกว่ากำลังต้านทานแรงเฉือนที่ออกแบบ (?Vn) 2. แรงเฉือน Vj คำนวณจาก 3. กำลังรับแรงเฉือนระบุ มีค่าดังต่อไปนี้ - ข้อต่อได้รับการยึดรั้งจากคานทั้ง 4 ด้าน - ข้อต่อได้รับการยึดรั้งจากคานทั้ง 2 หรือ 3 ด้าน - ข้อต่ออื่นๆ เมื่อ Aj เป็นพื้นที่ต้านทานแรงเฉือนในแนวนอนประสิทธิผลของข้อต่อ การออกแบบเหล็กเสริมในแผ่นพื้นการออกแบบเหล็กเสริมในแผ่นพื้นไร้คาน : สำหรับแผ่นพื้นที่พิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของระบบโครงสร้าง 1. ปริมาณเหล็กเสริมที่คำนวณได้จากโมเมนต์ดัด (Ms) ที่แผ่นพื้นถ่ายให้กับจุดรองรับจะต้องอยู่ในแถบเสาทั้งหมด 2. ปริมาณเหล็กเสริมสำหรับต้านทานสัดส่วนโมเมนต์ ?fMsจะต้องอยู่ในความกว้างประสิทธิผล 3. ปริมาณเหล็กเสริมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเหล็กเสริมในแถบเสาบริเวณจุดรองรับจะต้องวางอยู่ภายในความกว้างประสิทธิผลของแผ่นพื้น 4. ปริมาณเหล็กเสริมต้องไม่น้อยกว่า 1 ใน 4 ของเหล็กเสริมบนในแถบเสาบริเวณจุดรองรับจะต้องต่อเนื่องตลอดความยาวช่วงและ จะต้องมีเหล็กเสริมบนไม่น้อยกว่า 2 เส้นวางผ่านแนวเสาในแต่ละทิศทาง 5. เหล็กเสริมล่างในแถบเสาที่มีความต่อเนื่องจะต้องมีปริมาณไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของเหล็กเสริมบนในแถบเสาบริเวณจุดรองรับ 6. ปริมาณเหล็กเสริมไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งของเหล็กเสริมล่างที่กึ่งกลางช่วงจะ ต้องยื่นต่อเนื่องและสามารถพัฒนาให้เกิดกำลังครากที่ขอบของจุดรองรับได้ 7. ที่ขอบของแผ่นพื้นที่ไม่ต่อเนื่อง เหล็กเสริมบนและเหล็กเสริมล่างที่จุดรองรับจะต้องสามารถพัฒนากำลังครากที่ขอบของจุดรองรับได้ แรงเฉือนทะลุแผ่นพื้นไรค้าน : 1. การคำนวณให้มาตรฐานการออกแบบของ วสท. โดยวิธีกำลัง 2. แรงเฉือนที่เกิดจากน้ำหนักแนวดิ่งซึ่งเท่ากับ 1.2D+1.0L จะต้องไม่เกิน 0.4?Vc โดยตัวคูณเพิ่มสำหรับ L สามารถลดจาก 1.0 เป็น 0.5 ได้ ยกเว้นในกรณีที่จอดรถ พื้นที่ชุมชนและพื้นที่ๆรับน้ำหนักบรรทุกจรมากกว่า 4.90 กิโลนิวตันต่อตารางเมตร เมื่อ ? ใช้เท่ากับ 0.75และ Vc คำนวณดังนี้ โดยที่ ?s = 40 สำหรับเสาภายใน 30 สำหรับเสาภายนอกและ 20 สำหรับเสามุม
โดยที่ ?p = Min{0.29, (?sd/b0+ 1.5)/12} 3. ข้อกำหนดสำหรับ Vc ข้างต้น ไม่จำเป็นต้องพิจารณาหาก Factored Two-Wayshear stress ณ ตำแหน่งที่ให้ค่าสูงสุดมีค่าไม่เกินครึ่งหนึ่งของหน่วยแรงเฉือน?Vn ซึ่งคำนวณดังนี้ (ก) สำหรับองค์อาคารที่ไม่ได้เสริมเหล็กรับแรงเฉือน (ข) สำหรับองค์อาคารที่เสริมเหล็กรับแรงเฉือนอกเหนือจาก Shearhead - การวิบัติอย่างต่อเนื่การวิบัติอย่างต่อเนื่อง (Progressive Collapse) : เพื่อป้องกันการวิบัติอย่างต่อเนื่องจุดรองรับในแต่ละทิศทางต้องมีเหล็ก เสริมอย่างน้อย
1. เมื่อ wu เป็นน้ำหนักบรรทุกปรับค่า แต่ทั้งนี้จะต้องไม่น้อยกว่า 2 เท่าของน้ำหนักบรรทุกใช้งาน 2. จุดรองรับที่ขอบหรือที่มุม เหล็กเสริมล่างที่จัดวางผ่านหรือฝังเข้าไปในแกนเสาจะต้องมากกว่า 1 ใน 2ของปริมาณ ที่กำหนดไว้ข้างต้น 3. เหล็กเสริมดังกล่าวจะต้องวางผ่านเข้าไปในเสา ทั้งนี้สามารถนำเหล็กเสริมตามข้อ 5 (การออกแบบเหล็กเสริมในแผ่นพื้นไร้คาน) มาเป็นส่วนหนึ่งของ Asm ได้ ของอ (Hook) : จะตอ้ งใช้ของอ 90 องศาและ 135 องศา สำหรับอาคารทั่วไปและอาคารสาธารณะตามลำดับ ที่มาบทความและรูปภาพ : สมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดาวน์โหลดเอกสาร : มาตรฐานประกอบการออกแบบอาคาร เพื่อต้านทานการสั่นสะเทือนจากแผ่น่นดินไหว มยผ. 1301-50 ชอบกด Like & Share เป็นกำลังใจให้ด้วยน่ะจ๊ะ
Create Date : 18 สิงหาคม 2557 |
Last Update : 21 สิงหาคม 2557 14:06:52 น. |
|
0 comments
|
Counter : 973 Pageviews. |
|
|
|