Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
23 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 

เที่ยวไขปริศนา “โมอาย” ที่ “เกาะอีสเตอร์”


โมอาย Ahu Akivi แปลกกว่าบริเวณอื่นเนื่องจากหันหน้าออกทะเล

ความลี้ลับของ “เกาะอีสเตอร์” (Easter Island) ประเทศชิลี เป็นหัวข้อหนึ่งที่นักประวัติศาสตร์
และนักวิชาการทั้งหลายพยายามหาข้อพิสูจน์ และถกเถียงกันมายาวนานนับร้อยปี เกี่ยวกับปริศนาเกาะอีสเตอร์
รวมถึงหินแกะสลักขนาดยักษ์ที่ตั้งเรียงราวอยู่ตามชายหาด และทั่วบริเวณเกาะ


โมอายน้อยตัวที่ยังมีตา และมี Pukao

คำถามที่ว่า ใครเป็นคนแกะสลักสิ่งเหล่านี้? แกะสลักเพื่ออะไร? หินเหล่านี้มาจากไหน?
เคลื่อนย้ายหินขนาดยักษ์นี้ได้อย่างไร? ใช้เครื่องมืออะไรสลัก? แล้วเหตุอันใดการสร้างแกะศิลาเหล่านี้จึงยุติ?
รวมถึงความแน่ชัดของอารยธรรม และอีกหลากหลายปริศนาที่จนบัดนี้ก็ยังหาคำตอบไม่ได้
แต่ด้วยเหตุที่เต็มไปด้วยปริศนาลี้ลับนี้เอง
ที่เป็นเหตุจูงใจให้นักท่องเที่ยว และนักวิชาการทั้งหลายเดินทางมาเยือนเกาะอีสเตอร์อย่างไม่หยุดหย่อน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งความโด่งดังของหินสลักขนาดยักษ์ “โมอาย” หรือ โมอาอิ (Moai) ที่มีความน่าอัศจรรย์
เป็นตัวแทนซึ่งแสดงผลงานชิ้นเอก ที่จัดทำขึ้นด้วยการสร้างสรรค์อันฉลาด และเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงหลักฐานของ
วัฒนธรรมหรืออารยธรรมที่ปรากฏให้เห็นอยู่ ในปัจจุบันหรือว่าที่สาบสูญไปแล้ว
อีกทั้งยังเป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของวัฒนธรรมมนุษย์ ขนบธรรมเนียมประเพณีแห่งสถาปัตยกรรม
วิธีการก่อสร้าง หรือการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์
ซึ่งเสื่อมสลายได้ง่ายจากผลกระทบ จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมตาม กาลเวลา

จนได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกของโลก ในปี 2538
นอกจากจะได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกของโลก อันมีคุณค่าแก่การรักษาและอนุรักษ์ แล้ว โมอายยังติดโผ 21 สถานที่
ว่าที่ 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ที่ได้ทำการคัดเลือกไปแล้วเมื่อปี 2007 ที่ผ่านมาอีกด้วย

เจ้าหินโมอายนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไรไม่มีใครรู้แน่ชัด แต่ที่แน่แท้คือ หินเหล่านี้มีอยู่บนเกาะอีสเตอร์
เกาะเล็กๆรูปสามเหลี่ยมพื้นที่ประมาณ 160 ตารางกิโลเมตร ท่ามกลางมหาสมุทรแปซิฟิก
ห่างจากทวีปอเมริกาใต้ประมาณ 3,747 กิโลเมตร
นักภูมิศาสตร์เชื่อว่า เกาะนี้ถือกำเนิดจากการระเบิดของภูเขาไฟ ใต้มหาสมุทรเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว


(ภาพแรก)โมอายหันหน้าเข้าหาฝั่งเสมอทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองเกาะ ที่ Anakena Beach ,
(ภาพถัดมา)โมอาย ที่ Ahu Naunau 7 ตัว 4ใน7 ตัวนี้มี Pukao บนหัว

นักวิชาการหลายท่านสันนิษฐานไปในทิศทางเดียวกันว่า
มนุษย์ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานบนเกาะแห่งนี้ครั้งแรกคือชาว “โพลีนีเซียน” (Polynesia)
เมื่อคนเหล่านี้เดินทางมาถึงเกาะก็ได้บุกเบิกสร้างเมืองทันที โดยเอาสัตว์เลี้ยง และต้นไม้มาปลูกบนเกาะ

และในปี ค.ศ.380 ได้เริ่มมีรูปสลักคนนั่งคุกเข่า ซึ่งสลักจากหินบะซอลต์หรือกากแร่ภูเขาไฟ
ต่อมาในยุค ค.ศ.1100 ได้มีรูปสลัก “โมอาย” (Moai) ซึ่งสลักจากหินภูเขาไฟ “ราโน รารากู” (Rano Raraku)
ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะ ลักษณะเป็นครึ่งตัว ลำตัวส่วนบนเหมือนผู้ชาย หน้าตาคล้ายกันหมด
คิ้วโหนกออกมาจนเป็นสัน ดวงตาใช้วัสดุอื่นฝั่งลงไปในเนื้อหิน
ช่วงปลายจมูกเชิดขึ้นเล็กน้อยรับกับปากที่แบะและยื่น มีคางเป็นเหลี่ยม ติ่งหูยาว มีแขนที่แนบชิดติดลำตัว
สูงประมาณ 6-30 ฟุต หนักประมาณ 50 ตัน ตั้งอยู่บนฐานหินที่เรียกว่า “อาฮู” (Ahu)

ต่อมาก็มีการสร้างรูปสลักลักษณะแบบเดียวกันแต่สูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และได้มีการเติมส่วนจุกสีแดง
หรือที่เรียกว่า “พูคาโอ” (Pukao) บนศีรษะ โดยเชื่อกันว่ารูปสลักเหล่านี้เป็นสัญลักษณ์แทนเทพเจ้า
หรือหัวหน้าเผ่าผู้ล่วงลับไปแล้ว จนในปี ค.ศ.1680 ได้เกิดสงครามขึ้นระหว่างสองชนเผ่าที่อาศัยอยู่บนเกาะ
ทำให้ป่าไม้เริ่มหมด อาหารการกินร่อยหรอ เป็นปัจจัยที่ทำให้อาณาจักรนี้ล่มสลาย


โมอายที่ Ahu Tongariki มี 15 ตัวด้วยกัน

นอกจากนี้ บนเกาะอีสเตอร์ยังมีตำนานเก่าแก่เกี่ยวกับ “มนุษย์ปักษี” (Birdman)
โดยตัวแทนของแต่ละเผ่าจะต้องแข่งขันกัน เพื่อแย่งสิทธิ์ในการใช้ทรัพยากร
โดยวิ่งลงหน้าผาสูงชันแล้วว่ายน้ำข้ามไปยังเกาะโมโตนุย (Moto Nui) เพื่อหาไข่
แล้วนำไข่ว่ายน้ำกลับมาให้ผู้นำของเผ่านั้นได้ก็ถือว่าชนะ
ซึ่งผู้นำเผ่าของผู้ชนะนอกจากจะได้รับการยกย่อง ให้เป็นมนุษย์ปักษีประจำปี นั้นๆแล้ว ยังได้สิทธิ์การปกครอง
และการใช้ทรัพยากรอีกด้วย แต่นั้นก็เป็นเพียงตำนานหนึ่ง ที่เล่าสืบต่อกันมาถึงการล่มสลายของเกาะ
ซึ่งใน ปัจจุบันก็ยังหาข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนไม่ได้

ชื่อของเกาะนี้ก็เช่นกัน นักวิชาการบางคนเชื่อว่าเดิมเกาะอีสเตอร์มีชื่อพื้นเมืองว่า “Te Pito O Te Henua”
มีความหมายคือ “Navel of The World” หรือ “สะดือของโลก”
กระทั่งปี ค.ศ. 1722 ในช่วงเทศกาลอีสเตอร์ นักเดินเรือชาวดัตช์ซึ่งถือเป็นชาวยุโรปกลุ่มแรกได้เดินทางมาพบ
เกาะเล็กๆที่ มากด้วยรูปสลักหินขนาดยักษ์เรียงรายอยู่ตามชายหาดหันหน้าเข้าหาฝั่ง
จึงตั้งชื่อเกาะว่า “Easter Inland”


ทะเลสาบปากปล่องภูเขาไฟราโน รารากู

จากนั้นในปี ค.ศ.1770 นักเดินเรือชาวสเปนได้ค้นพบเกาะแห่งนี้อีกครั้ง และพบว่ามีประชากรอยู่นับพันคน
อีกไม่กี่ปีต่อมา กัปตัน James Cook ก็ได้มาพบเกาะอีสเตอร์ แต่ขณะนั้นประชากรบนเกาะเหลือเพียงไม่กี่ร้อยคน
ซึ่งคาดว่าเหตุที่ประชากรลดลงอย่างรวดเร็ว น่าจะมาจากการที่ประชากรแย่งกัน ใช้ทรัพยากรจนหมดไปนั้นเอง

เวลาผ่านไปจนถึงปี ค.ศ.1862 รัฐบาลเปรูได้กวาดต้อนชาวพื้นเมืองไปเป็นทาสบนแผ่นดินใหญ่
และเมื่อทาสบางส่วนถูกปล่อยตัวกลับเกาะ ก็ได้นำเชื้อไข้ทรพิษกลับไปด้วย
ทำให้ประชากรชาวเกาะทีมีอยู่น้อยยิ่งลดจำนวนลงอย่างมาก บวกกับที่ชาวพื้นเมืองไม่ได้บันทึกเรื่องราวอะไรไว้
ทำให้อารยธรรม ความเป็นอยู่ของชาวพื้นเมืองบนเกาะอีสเตอร์ เลือนหายไปพร้อมๆกับผู้คนและกาล เวลา


(ภาพแรก)แหลม Poike, (ภาพถัดมา)เส้นฝั่งทะเลบนเกาะอีสเตอร์บางเรียกว่าสะดือโลก

จนในศตวรรษ ที่ 19 ประเทศชิลี (Chile) ก็ได้ผนวกเกาะอีสเตอร์เข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศในปี ค.ศ.1888
และในเวลาต่อมาได้มีการสร้างสนามบินขึ้นบกเกาะแห่งนี้
เกาะอีสเตอร์ก็กลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ที่สำคัญอีกแห่งของโลกนับแต่นั้นมา

ปัจจุบันบนเกาะอีสเตอร์แห่งนี้มีภูเขาไฟที่ดับแล้วอยู่ 3 ลูกได้แก่ ภูเขาไฟราโน รารากู (Rano Raraku),
ภูเขาไฟราโน กาโอ (Rano Kao) และ ภูเขาไฟราโน อาโรย (Rana Aroi) สำหรับภูเขาไฟราโน กาโอ
ตั้งอยู่ตรงปลายเกาะ หากจะขึ้นไปชมด้านบนต้องเดินขึ้นเนินเลียบทะเลขึ้นไปที่ปากปล่อง
ด้านบนสามารถชมวิวอันสวยงามของเกาะได้ ส่วนภูเขาไฟราโน รารากู
ด้านบนปากปล่องภูเขาไฟเป็นทะเลสาบที่สวยงาม และมองเห็นวิวทิศทัศน์ได้กว้างไกล
ว่ากันว่าแหล่งกำเนิดของโมอายอยู่ที่ภูเขาไฟแห่งนี้นี่เอง


(ภาพแรก)บริเวณหมู่บ้าน Hanga Roa, (ภาพถัดมา)สถานที่แข่งขัน Bird Man ในอดีต

โมอายทั้งหมดบนเกาะอีสเตอร์แห่งนี้ มีประมาณ 887 ตัว กระจัดกระจายอยู่ทั่วเกาะ
บ้างก็ทำเสร็จและตั้งอยู่บนฐานอาฮูสมบูรณ์แล้ว บ้างก็ยังแกะไม่เสร็จ บ้างก็ยังล้มอยู่ก็มี
โมอายตัวที่ใหญ่ที่สุดที่ยังไม่ตั้งอยู่ที่ ราโน รารากู สูง 71.93 ฟุต หนัก 145-165 ตัน
ส่วนโมอายตัวใหญ่ที่สุดที่ตั้งขึ้นเรียบร้อยแล้วอยู่ที่ Ahu Te Pito Kura สูง 32.63 ฟุต

การเรียกโมอายจะเรียกตาม อาฮู (Ahu) ที่โมอายตั้งอยู่ มีหลายแห่ง
อาทิ บริเวณ Ahu Tahai ซึ่งอยู่ใกล้เมืองมากที่สุด, บริเวณ Ahu Akivi เป็นฐานที่มีโมอาย 7 ตัว
แปลกกว่าบริเวณอื่นเนื่องจากหันหน้าออกทะเล, Ahu Tongariki มีโมอาย 15 ตัวด้วยกัน,
Ahu Naunau ฐานโมอาย 7 ตัว 4ใน7 ตัวนี้มี Pukao บนหัวด้วย


ภาพสลัก Bird Man ที่หมู่บ้าน Orongo

นอกจากโมอายแล้ว เกาะอีสเตอร์แห่งนี้ยังมีสถานที่ที่น่าสนใจมากมาย เช่น หมู่บ้าน Hanga Roa,
หมู่บ้าน Orongo, แหลม Poike, สุสาน Ahu Vinapu และชายหาด Anakena ที่สวยงาม เป็นต้น

จากความลี้ลับ อดีตที่ไม่แน่ชัด และปริศนามากมายที่หาข้อพิสูจน์ไม่ได้ของเกาะอีสเตอร์ ทำให้เกาะแห่งนี้
กลายมาเป็นแหล่งศึกษาทางอารยธรรมของมนุษย์อีกแหล่งหนึ่ง ซึ่งในวันนี้ก็ยังมีการถกเถียงกันอย่างไม่รู้จบ
และยังคงเป็นปริศนา ที่ทิ้งไว้ให้ผู้คนทั่วโลกเดินทางมาค้นหาคำตอบกันต่อไป


Anakena Beach หาดอันสวยงามน่าเล่นบนเกาะอีสเตอร์

* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

เกาะอีสเตอร์ (Easter Island) หรือตามภาษาถิ่นเรียกว่า เกาะราปานุย (Rapa Nui) ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก
อยู่ในการปกครองของประเทศชิลี ซึ่งเกาะห่างจากฝั่งประเทศชิลีกว่า 3,600 กิโลเมตร ไปทางทิศตะวันตก
เกาะนี้ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่อันโดดเดี่ยวแห่งหนึ่งของโลก ลักษณะของเกาะมีขนาดเล็ก
มีพื้นที่เพียง 160 ตารางกิโลเมตร มีความยาว 25 กิโลเมตร เวลาต่างจากไทย ช้ากว่าไทยประมาณ 11 ชั่วโมง
ใช้เงินสกุลเปโซชิลี (Chilean Peso) อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐ ประมาณ 520.40 เปโซ
การเดินทาง จากประเทศไทยสามารถต่อเครื่องบินมาลงที่ Santiago Airport ซันติอาโก ประเทศชิลี
หรือลงที่ Faaa Airport, Papeete, ประเทศเฟรนช์โปลินีเซีย แล้วต่อเครื่องบินของสายการบิน Lan Airlines
มายังเกาะอีสเตอร์ได้


โดย : จุชดานิน
ผู้จัดการออนไลน์
ที่มา ://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9510000144641




 

Create Date : 23 พฤศจิกายน 2552
1 comments
Last Update : 2 ธันวาคม 2552 11:49:44 น.
Counter : 2948 Pageviews.

 

เกาะนี้สนุกมากค่ะ

 

โดย: นีร IP: 202.173.217.130 29 มกราคม 2553 12:52:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.