Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2552
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
5 สิงหาคม 2552
 
All Blogs
 

บลัวส์... ในหนึ่งเสี้ยวประวัติศาสตร์ไทย


ด้านหนึ่งของปราสาทเมืองบลัวส์

เมื่อวันที่ 22-23 กรกฎาคม พ.ศ. 2229 หรือเมื่อ 323 ปีมาแล้ว...
ประวัติศาสตร์หน้าหนึ่ง ต้องบันทึกไว้ถึงการเจริญสัมพันธไมตรีของ 2 ประเทศ
คือ กรุงสยาม รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กับ ฝรั่งเศส ที่ปกครองโดยพระเจ้าหลุยส์ ที่ 14 สมัญญาว่า
หลุยส์ พระอาทิตย์ (Le Roi de Soleil)

คณะราชทูตสยามที่มีออกพระวิสุทธิสุนทร (ปาน) เป็นอัครราชทูต เดินทางโดยทางเรือใช้เวลา 7 เดือน
เพื่อไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส เมื่อกลับมาออกพระวิสุทธิสุนทร (ปาน) ได้เลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นเจ้าพระยา
โกษาธิบดีแทนพี่ชายคือ เจ้าพระยาโกษาธิบดี (เหล็ก) และเราคุ้นกับชื่อของท่านคือ เจ้าพระยาโกษาปาน นั่นเอง

คณะทูตเหยียบแผ่นดินฝรั่งเศสที่เมืองแบรสต์ แคว้นบริตานี ทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2229 แล้วเดินทางเรื่อยลงมาทางใต้เพื่อไปยังปารีส
ช่วงหนึ่งได้ลัดเลาะตามเมืองต่างๆ ริมฝั่งน้ำลัวร์ และมาพักที่เมืองบลัวส์ ใน 2 วันดังกล่าว


เมืองบลัวส์มองจากบนปราสาท

เมือง บลัวส์ (Blois) ที่คนฝรั่งเศสออกเสียงกระเดียดไปทาง “บล๊วกส์” เป็นเมืองเก่าแก่ตั้งแต่สมัยโกล (Gaul)
เข้ามาอยู่แถบนี้ อยู่ห่างจากปารีส 180 กิโลเมตร เป็นเมืองหลวงของเขตลัวร์ เอต์ แชร์ (Loir-et-Cher)
ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำลัวร์ (Loire) ระหว่างเมืองออร์เลอองส์ (Orléans) กับเมืองตูร์ส (Tours)

ท่านที่เคยอ่านเรื่องมหา ปราสาทชอมบอรด์ (Chambord) ที่ผมเขียนไปเมื่อไม่นานนี้
คงจำได้ว่าเจ้าพระยาโกษาปาน เคยพักที่ชอมบอร์ดด้วย แต่ก่อนที่ท่านจะไปพักที่นั่น
ได้แวะพักที่เมืองบลัวส์ 2 คืนดังกล่าว โดยเดินทางมาจากเมืองตูร์ส แล้วแวะเมืองบลัวส์
ซึ่งเป็นเมืองที่บรรดาลูกหลวงเดินทางมาศึกษาหาความรู้ หลังจากนั้นจึงเดินทางไปพักต่อ ณ ปราสาทชอมบอร์ด
ที่อยู่ห่างจากเมืองบลัวส์ประมาณ 15 กิโลเมตร


ด้านหลังปราสาทเรียกว่า Les Loges มองเห็นตัวเมือง

เมืองบลัวส์มี ชาโต เดอ บลัวส์ (Château de Blois) หรือปราสาทแห่งเมืองบลัวส์ เป็นเสน่ห์สำคัญในการดึงดูด
นักท่องเที่ยว และผู้ที่หลงใหลเสน่ห์ของศิลปะแห่งชาโตลุ่มน้ำลัวร์ ดังนั้นทริปนี้จึงขอโฟกัสที่ปราสาทบลัวส์
ซึ่งเป็น 1 ใน 29 กลุ่มปราสาทงดงามแห่งลุ่มน้ำลัวร์ และเป็นหนึ่งในชาโตที่มีชื่อเสียงของฝรั่งเศส

ปราสาทเมืองบลัวส์ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบลัวส์ ใช้เวลาในการสร้างถึง 4 ศตวรรษ ประกอบด้วยปราสาท 4 หลัง
ในสไตล์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เชื่อมโยงกันด้วยศิลปะแบบโกธิกส์ เรอเนสซองส์ อิตาเลียน
และเฟรนช์คลาสสิก เป็นสถาปัตยกรรมที่ผสมศิลปะในช่วงเวลาดังกล่าวได้อย่างลงตัว
โดยส่วนที่มีชื่อเสียงที่สุดคือบันไดวน และลวดลายศิลปะด้านหน้าอาคาร

เอกสารหรือแผ่นพับเชิญชวนท่องเที่ยวก็ใช้ตรงนี้พิมพ์หน้าปก ปราสาทเมืองบลัวส์
กำเนิดเมื่อดยุค หลุยส์แห่งออร์เลอองส์ (Louis, duc d'Orléans) พระญาติพระเจ้าชาร์ลที่ 6 กษัตริย์พระองค์ที่ 4
แห่งพระราชวงศ์วาลัวส์ ได้ซื้อปราสาทเก่าของเมืองนี้ไว้เป็นสมบัติ ในปี ค.ศ.1391 ต่อมาทายาทชาร์ลส์แห่ง
ออร์เลอองส์ได้ตกเป็นเชลยของอังกฤษถึง 25 ปี จากสงครามอังกฤษ - ฝรั่งเศส ที่อาแซงกูร์
โอรสของชาร์ลส์แห่งออร์เลอองส์ซึ่งต่อมาคือพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 ทรงสร้างปราสาทใหม่ที่เมืองบลัวส์ โดยใช้วิธี
เสริมต่อกับปราสาทเก่า และตกแต่งให้สวยงาม สลักพระรูปพระองค์กำลังทรงม้าที่เหนือประตูทางเข้า เป็นต้น


หลุยส์ที่ 12 ทรงม้าเหนือประตูทางเข้าปราสาท - Salamander เหนือเตาผิงตราประจำพระองค์ฟรองซัวส์ที่ 1

หลังจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 12 สวรรคต ฟรองซัวส์ที่ 1 (François l) ขึ้นเป็นกษัตริย์ได้ประทับอยู่ที่นี่พักหนึ่ง
ก่อนจะไปสร้างปราสาทชอมบอร์ด ต่อมาแพ้สงครามต่อสเปน ถูกกักเป็นเชลย 1 ปี หลังจากเสด็จกลับมาก็ไม่สน
พระทัยปราสาทเมืองบลัวส์ โดยไปประทับที่ ออมบัวส์ (Château d'Amboise) และ ชอมบอรด์ ทั้งที่ยังไม่เสร็จ

อองรีที่ 3 (Henry III) ย้ายเมืองหลวงจากปารีสมาที่บลัวร์ ในช่วงสงครามกลางเมืองระหว่างกลุ่มนิกายคาทอลิก
และโปรเตสแตนต์ ก่อนหน้านั้นสมัยอองรีที่ 2 พยายามไกล่เกลี่ยแต่ไม่สำเร็จ
ส่วนหนึ่งเพราะเล่ห์เพทุบาย ของ แคธรีนแห่งเมดิชิ (Catherine de' Medici) พระชายาชาวฟลอเรนซ์, อิตาลี
ที่วางแผนสังหารหมู่กลุ่มนิกายโปรเตสแตนต์ในคืนของวันนักบุญเซนต์ บาโธโลมิว เมื่อปี พ.ศ. 2115
จนกลายเป็นตำนานเลือด

เรื่องราวมาตรกรรมพี่น้องตระกูลกีส (Guise) และร้อยเล่ห์ของแคธรีนแห่งเมดิชิ (Catherine de Medici)
พระมารดาของกษัตริย์ฝรั่งเศส 3 พระองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์วาลัวส์
(ถ้ารวมพระราชบุตรเขยด้วยก็เป็น 4 พระองค์) เป็นการสิ้นสุดราชตระกูลที่ 3 ที่ปกครองฝรั่งเศส คือ
ราชวงศ์วาลัวส์ (Valois)

อองรีที่ 3 เป็นกษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์วาลัวส์ ซึ่งถูกสังหารโดยบาทหลวงฌากส์ เกลมองต์
ต่อมาอองรีแห่งนาวารร์ หัวหน้าฝ่ายโปรเตสแตนต์ได้สืบราชสมบัติเป็นพระเจ้าอองรีที่ 4
เป็นต้นราชวงศ์บูร์บอง (Bourbon) และเปลี่ยนไปเข้านิกายคาทอลิกเพื่อเอาใจชาวฝรั่งเศส พร้อมกับให้ปารีส
เป็นเมืองหลวงของฝรั่งเศสตั้งแต่นั้น โดยกล่าวประโยคที่มีชื่อเสียงว่า Paris is worth a mass

รัชทายาทของพระเจ้าอองรีที่ 4 ที่คนไทยรู้จักกันดีคือพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่เจ้าพระยาโกษาปาน
นำคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีตามที่กล่าวในตอนต้น และพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 นี่เองที่พยายามชักชวนให้
สมเด็จพระนารายณ์มหาราช เปลี่ยนศาสนาไปนับถือคาทอลิก ในห้องหนึ่งของปราสาทเมืองบลัวส์
ยังมีเตียงบรรทมของอองรีที่ 3 มีม่านห้อยประดับล้อมรอบเตียง เพื่อกั้นให้เป็นส่วนตัวและช่วยเพิ่มความอบอุ่น
ขณะที่เตียงสั้นมากจนคนทั่วไปคิดว่าพระองค์มีพระวรกายเตี้ย
ความจริงก็คือ พระองค์มีพระประสงค์จะบรรทมในท่าครึ่งนั่งครึ่งนอน หลังเอนหนุนหมอนหลาย ๆ ใบ
ตามความเชื่อถือโชคลางว่าการนอนราบคือ ท่านอนของคนตาย

จากเหตุการณ์สะเทือนขวัญมาตกรรมดยุคแห่งกีส (Duc de Guise) ดังกล่าวทำให้จิตรกรหลายคนใช้จินตนาการ
วาดภาพจำลองเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ ครั้งนั้นไว้ ส่วนหนึ่งถูกนำมาแขวนไว้ ณ ปราสาทแห่งนี้ เช่น ในห้อง
บรรทมของพระเจ้าอองรีที่ 3 มีภาพดยุคแห่งกีส นอนตายอยู่ในห้องบรรทม วาดโดย ปอล เดลาโรซ เป็นต้น


โรงแรม Le Medicis

มาถึงเมืองบลัวส์แล้วต้องกินอาหารพื้นเมืองของเขา ที่แนะนำเป็นพิเศษคือพวกกุ้ง หอย ปู ปลา จากแม่น้ำลัวร์
ซึ่งมีให้เลือกตามร้านเล็กร้านน้อยไปจนถึงภัตตาคารตามโรงแรม และที่ขาดไม่ได้คือ
ต้องกินกับไวน์ขาวชื่อดังของแคว้นลัวร์คือ ซองแซร์ (Sancerre) และ ปุยญี - ฟูเม่ (Pouilly-Fumé) ที่ทำจาก
องุ่นโซวีญยอง บลอง (Sauvignon Blanc) กลับมาเมืองไทยท่านที่ไม่ชอบไวน์ขาวต้องเปลี่ยนใจ
ส่วนท่านที่ชอบไวน์ขาวอยู่แล้วยิ่งรักมากขึ้น แต่ถ้าชอบไวน์แดงก็ไม่ผิดหวัง
เพราะไวน์แดงของลัวร์ส่วนใหญ่ทำจากกาแบร์เนต์ ฟรอง (Cabernet Franc) และปิโนต์ นัวร์ (Pinot Noir)
ที่ดื่มง่าย ๆ หลายยี่ห้อเข้ากับซีฟู้ดได้ดีด้วย

หนึ่งในร้านอาหารที่ผมชอบอยู่ใน โรงแรมเลอ เมดิซิส์ (Le Medicis) เป็นโรงแรมระดับ 3 ดาว เล็ก ๆ แต่น่ารัก
อยู่ห่างจากปราสาทบลัวส์ประมาณ 1 กิโลเมตร ทำอาหารได้อร่อยมาก โดยเฉพาะอาหารประเภทปลาพื้นเมือง
จากแม่น้ำลัวร์ เช่น Muge de Loire ส่วนอีกจานเป็นเนื้อลูกวัวชื่อ Confit de Veau faom osso-buco เป็นต้น

จริง ๆ แล้วร้านที่ผมอยากไปมาก หลังจากไปครั้งแรกเมื่อประมาณ 4-5 ปี ก่อนหน้านี้คือร้าน
L’Orangerie du Chateau อยู่ตรงกันข้ามกับปราสาทบลัวส์นั่นเอง เป็นร้าน 1 ดาวมิชลิน ปรากฏว่าตรงกับวันพุธ
เขาหยุด ตัวร้านสวยมากสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 เป็นอาหารฝรั่งเศสตอนเหนือ (Haute Cuisine)
ท่านที่ไปเมืองบลัวส์ควรแวะร้านนี้


หนึ่งในเครปที่หอมหวานอร่อย - ชีสอร่อยในห้องอาหาร Le Medicis

ปัจจุบันปราสาทเมืองบลัวส์อยู่ในการ ดูแลของรัฐบาลท้องถิ่นเมืองบลัวส์ ตอนที่ผมไปนั้นเสียค่าเข้า 7 ยูโร
การเดินทางสนามบินที่ใกล้ที่สุดคือปารีส แล้วไปโดยทางรถยนต์ประมาณ 2 ชั่วโมง หรือโดยรถไฟ Austerlitz
ถ้าจะไปโดยรถด่วนเตเจเว่ (TGV) ต้องไปลงที่เมืองตูรส์ แล้วต่อรถอีกประมาณ 40 นาที

แล้วอยู่ที่นี่สักหลาย ๆ วัน ชมปราสาท อิ่มอาหารและไวน์ แสนอร่อย...

โดย : ธวัชชัย เทพพิทักษ์
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ




 

Create Date : 05 สิงหาคม 2552
0 comments
Last Update : 5 สิงหาคม 2552 11:11:01 น.
Counter : 790 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 200 คน [?]




Friends' blogs
[Add ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.