เครดิตภาพจากอินเตอร์เน็ต (Partridge Brahma)
ประวัติ
ไก่บราห์มาเป็นสายพันธุ์ Asiatic เป็นไก่สายพันธุ์ดั้งเดิมของแถบ Brahmaputra ของประเทศอินเดียและจะรู้จักกันในชื่อ Grey Chittagongs เทือกเถาหล่ากอมาจากใหนนั้นไม่ทราบชัด แต่เชื่อกันว่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับไก่ป่า (Gallus gigantus) ไก่บราห์มานั้นสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งเป็นไก่เนื้อ และไก่ไข่ มีนิสัยใจคอเยือกเย็น เป็นมิตร เพศผู้เองก็ไม่แสดงท่าทีดุร้ายกับคน
น้ำหนัก
• Cock 5.47 Kgs (12 pounds)
• Cockerel 4.56 Kgs (10 pounds)
• Hen 4.10 Kgs (9 pounds)
Pullet 3.65 Kgs (8 pounds)
ไก่บราห์มามี 3 สายพันธุ์ที่ทาง ASP ยอมรับ คือ light, dark, and buff. ส่วนของออสเตรเลีย APA ยอมรับ black, blue, partridge, crele and even barred varieties
เป็นไก่ที่มีขนบริเวณขาและเท้า มีผิวสีเหลืองให้ไข่สีน้ำตาล การเจริญเติบโตพัฒนาเต็มที่อาจจะใช้เวลาถึง 2 ปี ด้วยเหตุนี้บางครั้งก็ไม่ถือว่าเป็นสัตว์เศรษฐกิจ
เครดิตภาพจากอินเตอร์เน็ต (Black Australorp)
ประวัติ
เป็นไก่ที่ถูกพัฒนาขึ้นจากไก่พันธุ์ Black Orpington กับ Rhode Island Red ในออสเตรเลีย และนักปรับปรุงพันธุ์ในพื้นที่ได้ใช้ Minorca Leghorn และ Langshan มีรายงานว่ามีการใช้ Plymouth Rock ผสมเข้าไปด้วย ไก่ออสตราลอร์ปมีปากสีดำ ขาสีดำ เล็บสีขาว หงอนจักรขนาดใหญ่ 5 แฉก เชื่อง ใช้เป็นไก่ไข่ได้ดีเช่นเดียวกับใช้เป็นไก่เนื้อ ออสตราลอร์ปเป็นไก่ไข่ที่โลกให้ความสนใจเมื่อปี 1922 – 1923 เมื่อทีมแม่ไก่ 6 ตัว ให้ไข่เฉลี่ยอยู่ที่ 309.5 ฟองต่อตัวต่อปี ไก่พันธุ์นี้ถ้าเลี้ยงในสภาพอย่างดีจะให้ไข่เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 250 ฟองต่อปี มีประวัติศาสตร์ใหม่เมื่อมีแม่ไก่ตัวหนึ่งสามารถให้ไข่ได้ถึง 364 ฟองใน 365 วัน ไก่พันธุ์นี้ให้ไข่สีน้ำตาลอ่อน แม่ไก่มีนิสัยฟักไข่
ไก่ตัวผู้ 3.9 – 4.7 กก. แม่ไก่ 3.3 – 4.2 กก.
ไก่หนุ่ม 3.2 – 3.6 กก. ไก่สาว 3.0 – 3.6 กก.
เครดิตภาพจากอินเตอร์เน็ต (Lavender Orpington)
ประวัติ
ไก่พันธุ์ออร์พิงตั้นดั้งเดิมถูกพัฒนาพันธุ์โดย นายวิลเลี่ยม คู๊ก ในปี 1886 โดยใช้ไก่พันธุ์ Minorca Langshan และ Plymouth Rock คู๊กได้เลือกลูกผสมที่มีขนสีดำเนื้องจากไม่ต้องการให้เห็นความสกปรก และรอยเขม่า ออร์พิงตั้นยุคแรกจะหน้าตาคล้าย แลงชานมาก สีสมัยแรกๆจะมี ดำ ขาว เหลืองอ่อน เทา และเทาเปรอะ (splash) อย่างไรก็ตามได้มีการผสมพันธุ์เพิ่มขึ้นและเป็นที่รู้จักทั้วโลกอีกหลากสายพันธุ์มาตรฐานอเมริกายอมรับเฉพาะสีดั้งเดิมเท่านั้น และสีเหลืองอ่อนเป็นสีพื้นๆที่สุด
การให้ไข่ ออร์พิงตั้นให้ไข่สีน้ำตาลอ่อน ประมาณ 175 – 200 ฟองต่อปี ตัวเมียมีนิสัยฟักไข่
น้ำหนัก
ไก่เพศผู้ 3.8 – 4.5 กก. เพศเมีย 3.2 – 4.8 กก.
16.Ancona (แอนโคน่า)
เครดิตภาพจากอินเตอร์เน็ต
ประวัติ
แอนโคน่าเป็นชื่อที่มาจากเมืองแอนโคน่าในอิตาลี ซึ่งเป็นเมืองท่าที่ไก่พันธุ์นี้ถูกส่งไปสหราชอาณาจักรและได้ถูกนำมาแสดงในปี 1851 มีหลายคนเชื่อว่าสายพันธุ์นี้มีความเกี่ยวพันธ์กับไก่พันธุ์เล็กฮอร์นลาย (Mottled leghorn) ที่นำเข้ามาในช่วงปี 1890 ภายหลังทั้งอเมริกาและอิตาลี่จึงให้ความสนใจกับลักษณะไก่ขนลายๆเช่นในปัจจุบัน
ไก่พันธุ์นี้เข้าสู่อเมริกาโดยผ่านทางประเทศอังกฤษในปี 1888 ในอิตาลี่พบว่ามีพันธุ์สีแดง สีน้ำตาล สีขาวซึ่งบางครั้งก็มีขนคอสีออกทองแดงซึ่งเป็นลักษณะที่ถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ
มีหงอนแบบหงอนจักรหรือหงอนกุหลาบ และมีเหนียงยาวเช่นเดียวกับกลุ่มสายพันธุ์เมดิเตอร์เรเนียน ผิวสีเหลือง ไก่ตัวผู้ขุนให้อ้วนช้าและยากด้วย ปลายขนเป็นรูปตัววีและมีสีเหลือบเหมือนปีกแมลงทับ มีทั้งพันธุ์ใหญ่และพันธุ์เล็ก หากินเก่ง ให้ไข่ได้ดีมากเมื่อเทียบกับการเปลี่ยนอาหารเป็นไข่เนื่องจากตัวเล็กน้ำหนักเบา เป็นไก่ที่ไม่มีนิสัยฟักไข่ เปลือกไข่สีขาว ไก่แอนโคน่าใช้ประโยชน์เป็นไก่ไข่ ปริมาณไข่ขึ้นอยู่กับอาหารที่ให้ไก่กิน อัตราการให้ไข่อยู่ที่ 160 – 180 ฟองต่อปี
ที่มา
17. Andalusian
เครดิตภาพจากอินเตอร์เน็ต
ประวัติ
ถูกพัฒนาที่ Andalucia ประเทศสเปน ดังนั้นจึงได้ชื่อตามเมืองนี้ เป็นไก่พันธุ์ที่ขนแน่นไม่ฟู กระตือรือร้น และใช้ประโยชน์เป็นไก่ไข่ ให้ผลผลิตสูง ให้ไข่ฟองใหญ่สีขาว อัตราการให้ไข่ 160 ฟองต่อปี เนื้อหน้าอกมาก ถึงแม้ว่าโครงสร้างจะไม่ใหญ่มากก็ตามลูกไก่ขนขึ้นเร็วและโตเป็นหนุ่มสาวเร็วไก่ตัวผู้จะเริ่มขันเมื่ออายุประมาณ 7 สัปดาห์ มีขนาดตัวใหญ่กว่า Leghorn APA ของอเมริกายอมรับเฉพาะสีเทาเท่านั้น แต่เมื่อนำสีเทามาผสมกันจะได้ลูกออกมามีสีดำ 25 เปอร์เซ็นต์ สีขาวและสีเปรอะ(splash) 25 เปอร์เซ็นต์ ที่เหลือจะเป็นสีเทา ไม่เหมาะสำหรับเลี้ยงขังเล้าและมักจะชอบกินขน เป็นไก่พันธุ์ที่หายากอย่างยิ่ง เป็นสายพันธุ์เก่าแก่กลุ่มเมดิเตอร์เรเนี่ยน ซึ่งพัฒนามาจากไก่สีขาวและสีดำที่นำเข้าเมื่อราวๆปี 1846 ลูกที่ได้มีขาสีน้ำเงิน ไก่สีเทาจึงถือเป็นไก่พื้นเมืองของเมืองแอนดาลูเซีย ในคอร์นวอล และเดวอน ของอังกฤษ ก็มีคู่ผสมแนวนี้ที่ให้ลูกสีเทาเช่นกันแต่ก่อนที่จะมีการนำแอนนาลูเซียนเข้าประเทศ ซึ่งจะมีความคล้ายคลึงกับแอนนาลูเซียนในยุคแรกๆทั้งรูปร่างลักษณะและสี บังเอิญที่ไก่สายสีดำได้พัฒนาโดยผสมเข้ากับ Black Spanish และ Minorca ซึ่งทำให้รูปร่างเปลี่ยนแปลงไปจากยุคแรกๆ ไก่แอนนาลูเซียนปัจจุบันควรมีทรงร่างกายสมมาตร ระหง กะทัดรัด ตัวขนาดกลาง ดูสง่า ขนสีเทาด้านและไม่สม่ำเสมอทำให้กลายเป็นสีสันที่น่าสนใจปัจจุบัน ไก่สายพันธุ์นี้นักพันธุศาสตร์ เกรเกอร์ เมนเดล ได้ใช้ในการทดลองการสืบทอดทางกรรมพันธุ์สีขน อังกฤษนำเข้าประมาณปี 1846 – 1847 โดยนายลีโอนาร์ด บาร์เบอร์ จากนั้นปี 1851 นายโคล์ และนายจอห์น เทเลอร์ได้นำเข้าประเทศมาอีกและในปี 1855 จึงเข้าสู่อเมริกา
ไก่พันธุ์นี้โดยทั่วไปหางจะทำมุมกับร่างกายประมาณ 45 องศา และขนมีสร้อยจางๆและมีขอบสีดำ หากินเก่ง เพศเมียไม่มีนิสัยฟักไข่ แม่ไก่เป็นสาวเร็วอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว
มักใช้เป็นพ่อพันธุ์ผสมกับแม่พันธุ์แลงชานเพื่อทำลูกผสมพันธุ์ไข่ที่ให้ไข่สีน้ำตาลและเป็นสาวเร็ว
18. Minorca
เครดิตภาพจากอินเตอร์เน็ต
ประวัติ
ไก่พันธุ์มินอร์กา ถูกพัฒนาเพื่อเป็นไก่ไข่ แม่ไก่น้อยครั้งที่จะฟักไข่อย่างไรก็ตามบางสายก็มีแม่ไก่ที่มีนิสัยฟักไข่ ให้ไข่สีชอล์คขนาดใหญ่ แต่มิได้ให้ไข่ดกได้โล่ห์เช่นเดียวกับเล็กฮอร์นอย่างไรก็ตามก็ถือว่าเป็นไก่พันธุ์ไข่ ไก่พันธุ์นี้ไม่ได้ใช้ประโยชน์เป็นไก่เนื้อแต่ก็ให้เนื้อหนังมังสามากกว่าเล็กฮอร์น ไก่พันธุ์นี้มักไม่ค่อยเห็นเลี้ยงกันในฐานะสัตว์เลี้ยงเท่าไหร่ ตัวผู้ที่โตเต็มที่สูงเกือบๆสามฟุตรวมหงอนหนักราวๆ 8 - 9 ปอนด์ ส่วนตัวเมียนั้นหนักเกือบ 7 – 7.5 ปอนด์ ชื่อเดิมคือ ไก่สเปนขนดำหน้าแดง (Red Faced Black Spanish) ถือเป็นสายพันธุ์ที่ตัวใหญ่ที่สุดในกลุ่มเมดิเตอร์เรเนี่ยน เป็นไก่พื้นถิ่นของสเปน ส่วนชื่อมินอร์กานั้นมาจากชื่อเกาะ มินอร์กา นอกชายฝั่งสเปน ในทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน เป็นสายพันธุ์ที่เข้ามาจากแอฟริกาสู่สเปนโดนชาวมัวร์ความจริงแล้วบางครั้งก็มักจะเรียกไก่พันธุ์นี้ว่าไก่มัวร์ ประวัติศาสตร์อื่นๆที่นิยมพูดถึงก็คือไก่พันธุ์นี้มาจากอิตาลี่เข้ามาสู่สเปนโดยชาวโรมันที่รู้ๆกันอยู่ก็คือไก่พันธุ์นี้กระจัดกระจายอยู่ทั่วภูมิภาคที่เรียกว่าแคสทีลซึ่งเป็นพื้นที่ทางตอนเหนือของเมืองแมดริด เป็นที่ชัดเจนแจ่มใสว่ามินอร์กามาจากสายพันธุ์ ไก่เก่าแก่แห่งแคสทิเลียน
ปี 1834 เซอร์โธมัส แอคแลนด์ ได้นำเข้าอังกฤษแต่ก็ปรากฏว่าที่เดวอนและคอร์นวอลก็มีไก่สายพันธุ์นี้อยู่ก่อนแล้วอาจจะประมาณปี 1780 ในทางตะวันตกเฉียงใต้ของอังกฤษเมื่อราวๆปี 1900 ไก่พันธุ์นี้เป็นที่นิยมมากในฐานะไก่ไข่ และเป็นที่โปรดปรานของ T.E.Lawrence ทำให้ถูกขนานนามว่า Lawrence of Arabia ปัจจุบันสายพันธุ์ถูกเก็บรักษาเอาไว้ในฐานะไก่สวยงามเท่านั้นแต่ก็ยังคงให้ไข่ฟองขนาดใหญ่มากเช่นเคย ทรงตัวแคบยาว หางเต็ม หงอนจักรและเหนียงสีแดง หูขาว ไก่สีดำเป็นที่นิยมที่สุดพันธุ์นี้มีหงอนแบบกุหลาบด้วยเช่นกัน ไก่มินอร์กาเวอร์ชั่นไก่แจ้ก็ได้รับการพัฒนาขึ้นมาในเยอรมันและอังกฤษ ราวๆปี 1910 อเมริกานำเข้าไก่พันธุ์นี้จากอังกฤษ เมื่อปี 1884 โดย นาย เจ.เจ. ฟัลท์ซ แห่ง Mount Vernon โอไฮโอ้ ชนิดสีขาวก็ตามมาในปี 1885 โดย ฟรานซิส เอ. มอติเมอร์ ชนิดหงอนกุหลาบนั้นได้รับการพัฒนาในอเมริการาวๆปี 1900
19. Dominique (โดมินิค)
เครดิตภาพจากอินเตอร์เน็ต
ประวัติ
โดมินิกเป็นไก่ที่มีประวัติมากมายและน่าตื่นเต้น เริ่มจากการเป็นสายพันธุ์ที่ไม่มีราคาค่างวด คุ้ยเขี่ยหากินบนกองขยะ ถือเป็นไก่สายพันธุ์แรกของอเมริกา และปัจจุบันประสบชะตากรรมอยู่ในสภาวะถูกลืม และสุ่มเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ จริงๆแล้วไม่มีใครทราบว่าสายพันธุ์ดั้งเดิมมาจากใหนแม้ว่าการสร้างสายพันธุ์สมัยเริ่มแรกจะเกี่ยวข้องกับสายพันธุ์ทางยุโรปและต่อมาได้มีการใช้สายพันธุ์ทางเอเชียเข้ามาปรับปรุงสายพันธุ์ด้วย ชื่อโดมินิก นั้นน่าจะมาจากไก่ที่นำเข้ามาจากประเทศอาณานิคมฝรั่งเศส เซนต์โดมินิก (ปัจจุบันรู้จักกันในนาม เฮติ) และได้นำมาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างสายพันธุ์ ลักษณะขนลายทั้งหงอนจักรและหงอนกุหลาบเหมือนจะเป็นสายพันธุ์ทั่วไปของทางอเมริกาตะวันออกในยุคต้นปี 1750 ขณะที่การปรับปรุงพันธุ์สัตว์ปีกได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้นได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีความคงที่ เป็นไปในรูปแบบเดียวกัน ชื่อในยุคแรกๆก็จะมี Blue Spotted Hen, Old Grey Hen, Dominico, Dominic และ Dominicker ส่วนทางชายฝั่งตะวันออกของอเมริกาจะรู้จักกันอย่างแพร่หลายในชื่อ Dominique ในยุคต้นๆช่วงปี 1820 เป็นไก่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากทั้งเป็นไก่ไข่และไก่เนื้อ เพศเมียมีนิสัยฟักไข่ ในปี 1871 สมาคมสัตว์ปีกแห่งนิวยอร์ค ได้ตัดสินให้เฉพาะหงอนกุหลาบขนาดสั้น โค้งเป็นตะขอชี้ขึ้นด้านบน(เป็นลักษณะเด่นประจำพันธุ์ และเป็นข้อแตกต่างระหว่างไก่บาร์พลีมัธร็อค) เท่านั้นที่เป็นมาตรฐานสายพันธุ์ส่วนพวกมีหงอนจักรก็ถูกขับไล่ใสส่งและม้วนเข้าสู่พันธุ์บาร์พลีมัธร็อคโดยนำไปผสมกับไก่จาว่า(Java) ซึ่งเป็นที่นิยมในนิวอิงแลนด์ ไก่โดมินิกนี้ไม่เคยถูกนำมาใช้เป็นสายพันทางเศรษฐกิจเลย จนในที่สุดก็ค่อยๆถูกบดบังโดยไก่สายพันธุ์พลีมัธร็อคแทน ในปี 1874 ไก่สายพันธุ์นี้ได้ถูกยอมรับเข้าสู่ สมาคมสัตว์ปีกแห่งอเมริกา และนิยมจนกระทั่งประมาณช่วงปี 1920 ก็เริ่มแผ่วเนื่องมาจากระยะเวลาที่ผ่านล่วงเลยเป็นเวลานาน คราวเกิดมหาพายุดีเปรสชั่นในช่วงปี 1930 เนื่องจากความทรหดอดทน กินง่ายอยู่ง่าย จึงทำให้อยู่รอดมาได้ หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองขณะที่การดำเนินการด้านอุตสาหกรรมสัตว์ปีกเริ่มเข้าสู่อเมริกาสายพันธุ์นี้ก็เริ่มเสื่อมความนิยมอีกครั้ง ปี 1970 สายพันธุ์นี้หลงเหลือแค่ 4 ฝูงเท่านั้นซึ่งเป็นไก่ของนายเฮนรี่ มิลเลอร์ นายเอ็ดเวิร์ด อูเบอร์ นายโรเบิร์ต เฮนเดอร์สัน และนายคาร์ล กัลลาเฮอร์ ดังนั้นจึงได้มีความพยายามที่จะดำรงรักษาพันธุ์เอาไว้โดยความร่วมมือจากเจ้าของสายพันธุ์ทั้งสี่ที่หลงเหลืออยู่ จากปี 1983 ได้มีเอกสารตีพิมพ์เกี่ยวกับสายพันธุ์นี้ตามมาหลายฉบับโดย ALBC ทำให้จำนวนเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอจนปี 2006 ในปี 2007 ความนิยมเริ่มที่จะเสื่อมถอยลงอีกครั้งในขณะที่นักปรับปรุงพันธุ์ไก่โดมินิกก็แก่เฒ่าลงและก็อำลาวงการกันไป ทำให้สายพันธุ์นี้ไม่ได้รับการเอาใจใส่ดูแลสนับสนุนอีกต่อไป
ไก่โดมินิก เป็นไก่ขนาดกลางสีดำลายสลับขาว (หรือรู้จักกันในนาม คักคู ) สีขนลายแบบนี้คล้ายกับสีของนกเหยี่ยวทำให้โดมินิกเป็นเป้าจากนักล่าน้อยลงเช่นกัน ไก่เพศผู้หนักประมาณ 7 ปอนด์ เพศเมีย 5 ปอนด์ ปรับตัวได้ดีกับอากาศแบบร้อนและชื้น ถึงแม้จะใช้ประโยชน์เป็นได้ทั้งไก่ไข่และไก่เนื้อแต่ไก่พันธุ์นี้แรกเริ่มเดิมทีใช้เป็นไก่ไข่ที่มีประวัติการให้ไข่เฉลี่ย 230 – 275 ฟองต่อปี ไข่สีน้ำตาลขนาดเล็กถึงกลาง
20. Jersey Giant
เครดิตภาพจากอินเตอร์เน็ต
ประวัติ
ไก่สายพันธุ์นี้มีขนาดใหญ่ตามชื่อและถูกพัฒนาในนิวเจอร์ซี่และก็เป็นพี่เบิ้มในโลกของไก่อย่างแท้จริงแม้ว่าจะใช้เป็นได้ทั้งไก่ไข่และไก่เนื้อแต่ก็ไม่ได้ใช้ในฟาร์มเพราะต้องใช้เวลาเลี้ยงถึง 6 เดือนกว่าจะโตเต็มที่ซึ่งถ้าเป็นไก่สายเศรษฐกิจนั้นจะใช้เวลาเลี้ยงเพียงแค่ 5 สัปดาห์ ให้ไข่สีน้ำตาล ไก่สายพันธุ์นี้ถูกพัฒนาขึ้นมาระหว่างปี 1870 – 1890 โดยสองพี่น้อง จอห์น และ โธมัส แบล็ค ที่เมืองเบอร์ลิงตั้น นิวเจอร์ซี่ วัตถุประสงค์ในการผสมพันธุ์ขึ้นมาเพื่อต้องการให้ได้ไก่ที่มีขนาดใหญ่ที่สามารถใช้แทนไก่งวงได้ โดยใช้ไก่พันธุ์ Black Java, Black Langshan และ Dark Brahma แรกๆไก่พันธุ์นี้มีชื่อว่า Black Giant จริงๆแล้วชื่อนี้มาจากนามสกุลของสองพี่น้องผู้เป็นผู้ผสมพันธุ์ขึ้นมามิใช่จากสีขนของมัน ส่วนชื่อ เจอร์ซี่ไจแอนท์ ใช้อย่างเป็นทางการเมื่อปี 1921 เมื่อก่อตั้งกลุ่มสมาคมผู้เพาะพันธุ์ไก่แบล็คไจแอนท์ของเจอร์ซี่แห่งอเมริกาขึ้น APA รับรองสายพันธุ์เมื่อปี 1922 ปัจจุบันมี 3 สีที่เป็นที่รู้จักกันคือ ดำ ขาว และ เทา เป็นไก่ที่สุภาพและเป็นมิตร เนื่องจากเป็นไก่ที่ตัวใหญ่บางครั้งการฟักไข่อาจจะใช้เวลามากกว่าปกติ 1 – 2 วัน ลูกเจี๊ยบมีแนวโน้มที่โตช้ากว่าสายพันธุ์อื่นๆเนื่องจากขนาดของสายพันธุ์นี้ ในช่วง 6 เดือนแรก จะเป็นการพัฒนาทางด้านโครงกระดูกเพื่อรองรับน้ำหนักเมื่อโตเต็มที่ ในช่วง 6 สัปดาห์ลูกเจี๊ยบจะมีรูปร่างและขนาดเท่ากับไก่สายพันธุ์อื่นๆแต่หลังจากนั้นก็จะโตกว่า เมื่ออายุประมาณ 4 เดือนจะดูผอมบางแต่เมื่ออายุได้ 9 เดือนก็เริ่มจะมีเนื้อมีหนัง เมื่ออายุประมาณ 18 – 24 เดือน ก็จะมีน้ำหนักเต็มที่ ไก่เพศผู้จะขันเสียงยาวกว่าไก่สายพันธุ์อื่นๆ แม่ไก่ให้ไข่ฟองใหญ่ถึงใหญ่มากสีน้ำตาล มีนิสัยฟักไข่แต่มักจะฟักไม่เก่งเมื่ออายุยังน้อย อาจเพราะน้ำหนักตัว
เครดิตภาพจากอินเตอร์เน็ต
ประวัติ
ครีม เล็กบาร์เป็นไก่ลูกผสมระหว่างพันธุ์เล็กฮอร์นสีน้ำตาลกับไก่พันธุ์บาร์พลี มัธร็อค และอร็อคคาน่าทำให้ไข่มีสีฟ้า ถิ่นกำเนิดดั้งเดิมของพันธุ์นี้ต้องย้อนกลับไปในช่วงปี 1920 เมื่อ แคลเรนซ์ เอลเลียต ได้ท่องไปในที่ต่างๆทั่วโลกเพื่อเก็บพันธุ์ไม้หายากเขาได้นำไก่ตัวเมียและ ตัวผู้จาก Patagonia สู่ Gloucestershire ในปี1927 ไก่ตัวผู้ตายส่วนไก่ตัวเมียสามตัวถูกใช้ในมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ในปี 1930 โดย ศ. อาร์.ซี. พันเน็ตต์ ซึ่งขณะนั้นกำลังศึกษาด้านพันธุกรรมสัตว์ปีกและลูกผสมไก่เหล่าพาตาโกเนียน ผลที่ได้ก็คือไก่ครีมเล็กบาร์นั่นเอง ต่อมาลูกผสมเหล่านี้ก็ถูกใช้ในการพัฒนาสายพันธุ์อื่น ซึ่งรู้จักกันในนาม Cotswold Legbar เป็นพันธุ์ที่ให้ไข่สีแตกต่างออกไปจากครีมเล็กบาร์
ลูก เจี๊ยบครีมเล็กบาร์สามารถแยกเพศได้ตั้งแต่ฟักออกจากไข่ทำให้มันเป็นหนึ่งใน ไม่กี่สายพันธุ์ที่สามารถแยกเพศได้ตั้งแต่เกิด ปัจจุบันครีมเล็กบาร์เลือดร้อยนั้นมีไม่มากเนื่องจากความเห่อ ความแปลกใหม่ของสีไข่ทำให้ถูกนำไปพัฒนาไปเป็นไก่เศรษฐกิจเพื่อให้ได้ไข่ที่ ฟองใหญ่ขึ้นและดกขึ้น ไก่ตัวผู้มีกล้ามเนื้อและตื่นตัว และดูสง่า ตัวทรงรูปลิ่ม ไหล่กว้าง หางทำมุม 45 องศากับแนวหลัง มีหงอนจักรขนาดใหญ่ เหนียงยาวและบาง ผิวหนังสีเหลือง เพศเมียจะมีสีออกส้ม(แซลมอน) มากกว่าตัวผู้ ขนหน้าอกมีสีสันสดใส หงอนแดงสดใสและมีกระจุกขนบนหัวดูคล้ายสวมหมวก หูออกสีฟ้าจางซึ่งจะสัมพันธุ์กับสีของเปลือกไข่ในหลายๆสายพันธุ์ ถ้าลูกไก่ฟักออกมาในช่วงต้นปีจะสามารถให้ไข่ได้เมื่ออายุราวๆ 20 สัปดาห์ แต่ถ้าฟักออกมาหลังเดือนเมษายนจะได้รับอิทธิพลจากจำนวนชั่วโมงของกลางวันที่ ลดลงทำให้ไก่ไข่ล่าออกไปจนกว่าจะเลยฤดูหนาวไป (อันนี้เมืองไทยอาจจะไม่มีผลเพราะเมืองไทยฤดูกาลมันไม่ชัดเจนเหมือนเมือง นอก) มีแนวว่าไก่พันธุ์นี้จะขี้ตื่นตกใจ ปัจจุบันเทรนการพัฒนาไก่พันธุ์นี้เพราะภาพลักษณ์มากกว่าการใช้ประโยชน์ ทำให้ไก่พันธุ์ไข่ฟองไม่ใหญ่กว่าจะได้ขนาดกลางถึงใหญ่ก็ปาเข้าไปปีที่สองและ ให้ไข่อย่างมากที่สุดก็ราวๆ 180 ฟองต่อปี ตัวเมียไม่มีนิสัยฟักไข่