ข่าวด่วน บทกวี เรื่องจากใจ tiki_ทิกิ ที่นี่ค่ะ บันทึก ummm My Novel too.(In Thai).
 
วัดบัวขวัญ..ระฆัง...อาจารย์วัฒน์..และ อาจารย์ ฮัมปาว

เรื่องนี้ เป็นเรื่องอันเกิดขึ้นอย่างที่ข้าพเจ้าเห็นกับตา...เป็นเรื่องแปลก
อันหาเหตุและผลไม่ได้ เป็นสิ่งเหลือเชื่อหากเล่ากันปากต่อปาก
และ เป็นเรื่องซึ่งบุคคลผู้เกี่ยวข้องมิได้อยากจะพูดถึง และ ข้าพเจ้าขออนุญาต เล่า..
ให้หลายคนได้ฟัง...ตั้งใจให้เป็นเรื่องอันควรแก่การใช้
วิจารณญาณในการพิจารณาอย่างถ้วนถี่

เพราะชีวิตของคนเรานี้
ยังมีอีกมากซึ่งยากจะรู้

tiki_ทิกิ
เริ่มบันทึก ณ เวลา ๑๑:๑๕ นาฬิกา พระพุธ
๑๑ มีนาคม พระพุทธศักราช ๒๕๕๒
เรือนนนทบุรี สยาม ราชอาณาจักรไทย

นำมาจากเรื่องเขียนหน้าจอพันทิป เช้านี้ค่ะ
W7614991 วัดบัวขวัญ..ระฆัง...อาจารย์วัฒนา..และ อาจารย์ ฮัมปาว [ความเรียง] tiki_ทิกิ (5 - 11 มี.ค. 52 16:16) //www.pantip.com/cafe/writer/topic/W7614991/W7614991.html

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%


Create Date : 11 มีนาคม 2552
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2552 21:17:52 น. 14 comments
Counter : 1203 Pageviews.  
 
 
 
 
วัดบัวขวัญ..ระฆัง...อาจารย์วัฒน์..และ อาจารย์ ฮัมปาว

ก่อนจะเขียน ข้าฯ ขอไหว้ครูทุกทิศา นับแต่คุณบิดามารดา บรรพบุรุษปู่ย่าตายาย
ทั้งตาทวด ปู่ทวดของข้าฯ ไหว้พระคุณบุรพคณาจารย์นับแต่โบราณกาลจนจวบกาลปัจจุบัน
อาจารย์บุษฯ อาจารย์เทพวิ ฯ อาจารย์พระบุญฯ อาจารย์หลวงพ่อ สฯ อาจารย์ ส. รัตนฯ
อาจารย์ ศักดิ์ฯ อาจารย์วัฒน์ ตลอดจนครูบาอาจารย์ทุกท่านทุกพระองค์ผู้เคยให้ความรู้
การศึกษาในเรื่องเบื้องหน้าเบื้องหลังจนข้าฯ เข้าใจ

ข้าฯ ไหว้พระคุณครูสั่งครูสอน ครูคำ ครูกลอน ครูอักษรา
ครูพักลักจำ ครูน้อมครูนำ ครูเทพ ครูธรรม ครูปู่ฤๅษี ปู่มหาฤๅษี ทั้งสิบหกช่องฟ้าสิบห้าช่องดิน
แม่ธาตุทั้งสี่ทั่วหล้า ไหว้ท้าวพระยายมราช ไหว้ท้าวจตุโลกบาลทั้งสี่ แห่งยามะราชา

กราบเบื้องบาทองค์พรหมธาดาผู้ยิ่งใหญ่
องค์พรหมา สามสิบสองช่องฟ้า
ไหว้องค์พิฆเณศวร์เจ้า พระแม่สุรัสวดีเจ้า
องค์กฤษณะเจ้า พระแม่สาวิตรีเจ้า องค์ณารายณ์เจ้า พระแม่ลักษมีเทวีเจ้า
องค์ศิวะเจ้า พระแม่สตีเจ้า เสด็จแม่อุมาเทวีผู้ยิ่งใหญ่ โดยมีองค์อินทราธิราชเจ้า
พระตรีมูรติเจ้าทรงเป็นพระประธาน


คำใดกล่าวมาหากแม้นเป็นการดี
ช่วยส่งกุศลนี้แก่ พระบิดา พระมารดาของข้าฯ หากคำใดกล่าวไปเป็นที่
ขัดข้อง ขอฝ่าละอองฯ โปรดได้เมตตาอย่าลงทัณฑ์พิพากษาข้าฯ ไปทาง
นรกหมกไหม้

กราบเบื้องบาท ครูบาอาจารย์ทุกสถานศึกษา ครู กอขอ กอกา ผู้
เคยจับมือข้าฯ เขียนได้ กราบครูผู้เลิศทุกองค์ กราบส่งเบื้องบน เบื้องล่าง
กราบครูทุกทิศทาง กราบอ้างครูไหว้

กราบองค์พิฆเณศวร์ แล พระแม่สุรัสวดี โปรดเมตตาปรานีให้ลูกนี้
เขียนได้ เขียนถูกเขียนต้อง ไม่หมองไม่หมาง เขียนดีเบิกทางให้กุศลสร้างใส่
กราบเสด็จแม่อุมา ผู้ทรงเลิศอักษรา ทรงพินิจพิจารณาคำข้าฯ ขอไหว้

กราบองค์พรหมทุกพระองค์ ผู้ทรงพิทักษ์โลก ปลดทุกข์ปลดโศก
วิญญาณอันหมองไหม้

กราบอริยบุคคล พระสงฆ์ อริยะเจ้า พระ อรหันต์เจ้า พระธรรมเจ้าทุกองค์ไว้
กราบบูชา พระพุทธเจ้า องค์บรมครู สูงสุด ณ บัดนี้

๏ เมื่อข้าฯ ได้กราบก้มบังคมหมาย
หวังคำความอันจักร่ายเป็นสักขี
สนองบาทเบื้ององค์พระจักรี
แลพสกทุกชีวีมีสัญญา ๚

๏ คืนความคำจำได้และหมายรู้
ประพฤติอยู่ในธรรมกันถ้วนหน้า
ฝากอักขระนี้ไว้ในโลกา
เพื่อรักษาธรรมไว้ให้ยืนนาน ๚ะ๛


เรื่องนี้ เป็นเรื่องอันเกิดขึ้นอย่างที่ข้าพเจ้าเห็นกับตา...เป็นเรื่องแปลก
อันหาเหตุและผลไม่ได้ เป็นสิ่งเหลือเชื่อหากเล่ากันปากต่อปาก
และ เป็นเรื่องซึ่งบุคคลผู้เกี่ยวข้องมิได้อยากจะพูดถึง และ ข้าพเจ้าขออนุญาต เล่า..
ให้หลายคนได้ฟัง...ตั้งใจให้เป็นเรื่องอันควรแก่การใช้
วิจารณญาณในการพิจารณาอย่างถ้วนถี่

เพราะชีวิตของคนเรานี้
ยังมีอีกมากซึ่งยากจะรู้

tiki_ทิกิ
เริ่มบันทึก ณ เวลา ๑๑:๑๕ นาฬิกา พระพุธ
๑๑ มีนาคม พระพุทธศักราช ๒๕๕๒
เรือนนนทบุรี สยาม ราชอาณาจักรไทย


 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 11 มีนาคม 2552 เวลา:16:43:29 น.  

 
 
 
อารัมภบท

สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๑ ปีก่อน คณะ ฯ ที่บ้านน้องชายข้าพเจ้าได้เข้าไป
ทำบุญที่วัดบัวขวัญ ถนนทะลุซอยงามวงศ์วานไปออกถนนสามัคคีได้ เมื่อข้าพเจ้า
ไปขับรถวนไปวนมาหาที่จอดนั้น ไปจอดเอาตรงเสาปูนเหลี่ยมสูง ตรงหน้ากุฏิพระภิกษุ
รูปหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้เสาเหลี่ยมสี่เสานั้น

เมื่อรอเขาทำบุญเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็ย้อนรำลึกถึงวัตถุมงคลสิ่งหนึ่ง
คือระฆังทองเหลืองใบหนึ่งซึ่งเคยได้รู้ได้เห็น ได้แจ้งให้ผู้ร่วมบุญทราบว่าให้มาติดตั้ง
ไว้ที่วัดนี้ จึงอยากจะรู้ว่ายังอยู่หรือไม่ประการใด คิดแล้วจึงสอบถามพระสงฆ์รูปนั้นว่า
ข้าพเจ้ามองไม่เห็น ระฆังที่วัด ไม่ทราบอยู่ที่ใด พระภิกษุรูปนั้นผู้มาสร้างสรรค์ความเจริญ
ทางธรรมให้วัดบัวขวัญ ได้กล่าวตอบข้าพเจ้าว่า อยู่ที่เสาตรงหน้ากุฏินี้อย่างไรเล่า
ข้าพเจ้าให้แปลกใจที่ตนนั้น มองไม่เห็นระฆังนั้น

เมื่อเดินออกไปจะขึ้นรถซึ่งจอดอยู่ตรงเสาปูนใหญ่สี่ต้นนั้น ก็อดไม่ได้ ต้องเอ่ย
ปากให้กับ ผู้ชายท่านหนึ่งซึ่งไปทำบุญร่วมกับครอบครัวน้องชายและออกมายืนอยู่
แถวรถข้าพเจ้าเช่นกัน ให้มองขึ้นไปที่ระฆังดังกล่าว แล้วเอ่ยปากพูด

ถ้อยคำที่ข้าพเจ้าพูดนั้น เขาได้ยินแล้ว ทำหน้าแปลกพิกลอยู่ หากไม่คิดว่า
ข้าพเจ้าเป็นพี่สาวของน้องชายผู้เขาคบหาสมาคมมาหลายปี เขาคงคิดว่าข้าพเจ้านี้
สติเพี้ยนไปแล้วเป็นแน่ แต่เขาก็ยังรักษามารยาทในการฟัง และ เอ่ยปากร่ำลาไป

ต่อมาข้าพเจ้าไปพบเขาอีกครั้ง ที่โรงพยาบาลสงฆ์เมื่อไปทำบุญวันคล้าย
วันเกิดของคุณแม่ของน้องสะไภ้ เธอชี้ให้รู้ว่าเขาเป็นเจ้าของห้องอาหารในโรงแรม
แถวถนนประดิพัทธ์ ทั้งยังยกขบวนไปนั่งรับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ ที่ห้องอาหาร
ในโรงแรมดังกล่าวกันอีกด้วย ข้าพเจ้าจึงนึกละอายใจจนในครั้งนั้นว่า ตนเองออกจะ
รีบร้อนพูดไปเรื่องระฆังวัดบัวขวัญ บอกคนที่เขาไม่รู้เรื่อง แถมไม่เชื่ออีกด้วย

นึกขึ้นได้แล้วเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจและคิดว่า หากข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่
จักเล่าเรื่องนี้ด้วยภาษาอันเรียบเรียงให้ดีกว่านั้น น่าฟัง น่าอ่านกว่านั้น ให้หลายคนได้รู้
และไม่ใช่เก็บเรื่องนี้ไว้ในเครื่องคอมพิวเตอร์หลายครั้งแล้วหนแล้ว แล้วก็โดนไวรัส
เข้าทำลายเครื่องไปไม่รู้กี่เครื่องกี่ครั้งกี่หน ข้อมูลดังกล่าวสูญหายไป แต่ยังอยู่ใน
ความทรงจำของข้าพเจ้าไม่รู้ลืม

: tiki_ทิกิ - [ 11 มี.ค. 52 12:48:06 ]
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 11 มีนาคม 2552 เวลา:16:44:30 น.  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 2

ภาคหนึ่ง

ณ เรือนไม้ขนาดใหญ่ ในซอยถนนเส้นบางพลัด ไปทะลุ ส.น.บางพลัด
ในเวลานั้น หากย้อนกาลเวลาไป ข้าพเจ้ายังรำลึกเหตุการณ์อันเกิดที่นั่นได้ไม่เคยลืม
แม้นเวลาจะผ่านไปเกินกว่ายี่สิบหกปีไปแล้ว

ท่านอาจารย์ ศักดิ์ฯ ผู้เคยทำเครื่องเรือนเฟอร์นิเจอร์ได้เป็นผู้เช่าเรือนไม้เป็นคนแรกเพื่อ
ทำเป็นโรงงานทำเครื่องเรือนด้านล่าง ส่วนด้านบนท่านได้ทำเป็นสำนักปฏิบัติธรรมให้อาจารย์
ส. รัตน ฯ อาจารย์ฆราวาสผู้ที่ท่านเคารพรัก ได้ทำการ รักษาโรคคนด้วยวิชาการใช้วิชาน้ำมนต์ครู
แห่งหลวงพ่อแฉ่ง ณ วัดบางพัง ปากเกร็ด นนทบุรี คือใช้วิชาน้ำมนต์ครูวางปลายเท้าเรียกโรคทาง
วิญญาณทั้งหลาย ด้วยวิชาใช้มีดหมอ "เขาควายฟ้าผ่าตาย " ซึ่งมีทั้ง ปู่ฤๅษี ปู่มหาฤๅษีหลายองค์
ลงมาช่วยรักษาด้วย

ข้าพเจ้าเป็นคนหนึ่ง ผู้มีอาการบวมทั้งตัว และ ลุกมาดึก ๆ ทุกคืนร้องขอหย่า
กับคุณสามีทุกคืนจนเขาทนไม่ได้ ต้องปรึกษา ท่านอาจารย์ ศักดิ์ฯ จนท่านให้เขาพาไป
ยังเรื่อนไม้ขนาดใหญ่แห่งนั้น

จากนั้นนับเป็นเวลาเป็นปี ๆ ซึ่งข้าพเจ้า ต้องไปนั่งเหยียดเท้าอยู่หน้า รูปหล่อครูบา
อาจารย์พระภิกษุหลายองค์ และ ท่านปู่เทพ ฤๅษี มหาฤๅษี องค์พรหมต่าง ๆ นับไม่ถ้วน ทั้ง
ต้องต้มยาสมุนไพรไทยรักษาโรคเลือดในกายของข้าพเจ้าอันทั้งหมอจีน หมอไทย หมอฝรั่ง
ก็ลงความเห็นตรงกันไว้ว่า มีสารพิษในเลือด ซึ่งเมื่อได้ยาหม้อหลายสิบหม้อรวมทั้งการ
"นั่งน้ำมนต์" รักษามาเรื่อย อาการบวมในกายของข้าพเจ้าก็ลดลง ดีขึ้นเป็นอันมาก

ข้าพเจ้าเป็นโรคแพ้ยาฝรั่งมาแต่เล็กด้วย แพ้ยาแก้อักเสบทุกชนิดแพ้ยาแก้ปวด
อย่างที่ชาวบ้านชาวช่องเขากินได้ ข้าพเจ้าก็กินไม่ได้ จึงไม่ต้องไปคิดรักษาทางยาฝรั่ง
นับว่าไร้ประโยชน์

แม้นว่าจักต้องไปนั่งเหยียดเท้าทั้งสองไปทางแก้วขุ่นเขรอะสองแก้วอันมี น้ำมนต์สีขุ่น ๆ
ตกตะกอนในแก้ว ซึ่งอาจารย์ทั้งหลายผู้เป็นศิษย์ท่านอาจารย์ ส. ฯ หรือ อาจารยฺ์ศักดิ์ ฯ มาช่วยรักษา
จะนำมาไว้ที่ปลายเท้าข้าพเจ้า พร้อมให้ว่าพระคาถา บูชาหลวงพ่อแฉ่ง ฯก่อน
แต่เมื่อนั่งไปนั่งมา ผู้คนมานั่งเรียงกันไปเป็นตับ ร่วมเข้ารักษาเหมือนข้าพเจ้า
ก็เลยต้องได้เห็นพิธีกรรมนานาประการอันไม่เคยได้เห็นมาก่อนเป็นอันมาก ซึ่งหากเล่าไปเรื่อย ๆ
คงเป็นความเรียงเล่มใหญ่หนาเอาการ..แต่ข้าพเจ้าก็จะค่อย ๆ ยินดีเล่าให้ท่านฟัง หากท่านอยาก
จะฟังต่อไป....

จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 11 มี.ค. 52 13:09:33 ]
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 11 มีนาคม 2552 เวลา:18:44:34 น.  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 3

ทุกค่ำ ทุกคืนในระหว่างการรักษาอาการของข้าพเจ้านั้น คุณสามี ถ้าไปด้วย ก็จะไปนั่ง
คุยกับครูบาอาจารย์ของเขา คือ ท่านอาจารย์ศักดิ์ ฯ ผู้เคยทำธุรกิจร่วมกันนับแต่ทำงานที่บริษัท
ออกแบบเฟอร์นิเจอร์แถวเอกมัยด้วยกันมา อาจารย์ศักดิ์ฯ ท่านชอบร้อยประคำไม้ ประคำงา
ประคำโลหะต่าง ๆ และ มีวิธีการร้อยตะกรุดหลายแบบ ข้าพเจ้าเสียดายมิได้เรียนรู้สิ่งเหล่านั้น
อย่างถ่องแท้ แต่ก็เห็นวิธีปั้นดินเหนียวเป็นรูปปู่ครูฤๅษีหลายองค์ของท่านอาจารย์ศักดิ์ ฯ อยู่
หลายองค์

แรก ๆ นั้น ข้าพเจ้ารู้จักอาจารย์ศักดิ์ ฯ แล้วก็ตามด้วย ท่านอาจารย์ ส. รัตนฯ ต่อมาก็มี
ท่านอาจารย์วัฒน์ พร้อมภรรยาของท่าน ผู้มาใช้มีดเขาควายลงอาคมเคาะพื้นโป๊ก ๆ เรียกครู
เสียงขรมให้มาช่วยดึงเอาปราณลมเปิดปราณให้ข้าพเจ้าบ้าง ใช้มีดซึ่งไม่ได้แหลมอะไรเลยจี้ลง
ที่ปลายเท้าทั้งสิบนิ้ว ทำเอาปวดร้าวแทบจะดิ้นกันอยู่ตรงนั้นบ่อย ๆ

ท่านอาจารย์วัฒน์ ก็เป็นอีกคนหนึ่ง ซึ่งเป็นเพื่อนเก่าของท่านอาจารย์ ส. รัตนฯ นับแต่
เรียนโรงเรียนฝรั่งแถวสะพานซังฮี้ ท่านมีธุรกิจทำกิจการร้านจิวเวลรี่อยู่แถวบ้านหม้อ บางทีภรรยา
ท่านก็มารับเอา พลอยที่ข้าพเจ้ามีไปใส่เรือนเงินเรือนทองใส่เพชรอะไรให้ข้าพเจ้า บางทีท่านก็
นำวัตถุมงคลบางชิ้น บางองค์ ที่ได้รับจากท่านอาจารย์ ส. รัตนฯ ไปเข้าเรือนให้ข้าพเจ้าไว้คล้องคอ
เหมือนกัน
อาจารย์วัฒน์ นี้ เป็นคนผิวขาว ท่าทางแหย ๆ ชอบพูดเล่นกระเซ้าเย้าแหย่เฮฮาสนุกสนาน
รื่นเริง ไม่ได้เข้มงวดอันใด ทำให้ข้าพเจ้าไม่ค่อยเกรงใจท่านเท่าไหร่ แถมมีอะไรก็ชอบออกปากสอบ
ถามท่านอยู่เป็นประจำ บางทีก็แวะไปร้านท่านดูเพชรดูพลอย แล้วก็สอบถามเรื่องโน่นนี่แล้วแต่อยาก
จะรู้ บางทีท่านก็บอกให้ บางทีก็ทำเฉย ๆ ไม่ได้ยิน ไม่ตอบอะไรก็บ่อย

พวกอาจารย์เหล่านี้ ปกติก็สวมเสื้อผ้าสีสดใส แต่งกายปกติกัน แต่เมื่อไปถึงสำนักฯ ก็
จะอาบน้ำอาบท่าที่ห้องน้ำใต้ถุนเรือนซึ่งมีหลายห้อง เปลี่ยนเป็นเสื้อขาวคอกลม กางเกงขายาวสีขาว
ขึ้นมาชั้นบน จุดธูปกำใหญ่ ไหว้พระ ควันโขมงไปทั้งเรือน จึงต้องติดพัดลม เป่าให้คน แล้วก็เป่าควัน
ด้วยต่างหาก

: tiki_ทิกิ - [ 11 มี.ค. 52 13:25:11 ]
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 11 มีนาคม 2552 เวลา:18:46:05 น.  

 
 
 
ความคิดเห็นที่ 4

การต้องไปที่นั่นเป็นประจำ ทำให้เหนื่อยพอสมควร เพราะขณะนั้น ข้าพเจ้ายัง ไป ๆ มา ๆ
ระหว่างบ้านคุณแม่ถนนสามัคคี ซึ่งยังมีสภาพถนนเป็นหลุมเป็นบ่ออยู่มาก กับเดินทางไปทำงานที่
ถนนคอนแวนต์สีลม แล้วก็ต้องเลยไปนั่งน้ำมนต์รักษาตนที่บางพลัด กว่าจะกลับบ้านก็ดึกมาก

ระหว่างไปที่สำนักท่านอาจารย์ทั้งหลายนั้น อาหารเย็นของเราก็มักเป็นร้านอาหารข้างถนน
เช่นข้าวต้มหน้าตลาด ก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ แล้วแต่จะสะดวก และเพื่อจะได้ซื้ออุปกรณ์ถวายพระพุทธ
เช่น ดอกบัว ธูป เทียน เหล่านั้นด้วย

บางวัน ท่านอาจารย์ ส. รัตนฯ ท่านมีพิธีเชิญองค์พรหมฯ ลงประทับทรงร่างท่าน
ข้าพเจ้าก็ไปดูด้วยความสนใจ จนแม้นถึงแก่ถูกเรียกไป "แสดงธรรม" คือเป็นตัวอย่างคนมีเวร
มีกรรมในอดีตชาติ ให้ผู้คนแถบนั้นดูกันก็เคยมี

อะไรที่ไม่เคยพบเคยเห็น ก็ได้พบได้เห็นกันที่นั่น
มีทั้ง คนที่"ถูกของ" มาร้องกรี๊ด ๆ พูดภาษาประหลาด ๆ ให้ดูระหว่างทำการรักษา มีทั้ง
พระบวชใหม่ ตามจังหวัดชายแดน ถูกคู่อาฆาต "ทำของ" ใส่บาตร เป็นกระดูกผีตายโหงมาผสม
อาหารใส่บาตรพระ พวกพระบวชใหม่ไม่ท่องคาถาปัดตลอดป้องกันของเข้าตัวก่อนฉันข้าวก็โดนเข้าไปเต็ม ๆ
จำได้ว่าพระองค์นั้นมาจำวัดที่วัด ฝั่งบางลำพู มีพระผู้ใหญ่พาไปให้รักษา พอนั่งน้ำมนต์แล้ว ก็พูด
ภาษาอื่นคล่องไปเลย ทั้ง ๆ ที่องค์จริง เวลาเป็นฆราวาสนั้นเป็นเด็กซุกซนไม่เรียนหนังสือ อ่าน
ไม่ค่อยออก แต่เวลานั่งน้ำมนต์รักษา กลับพูดภาษามอญคล่องปรื๋อ ท่านอาจารย์ ส. รัตนฯ ท่านก็
ช่วยรักษาไปสักพัก ก็หายไป ไม่เห็นกลับไปรักษาอะไรอีก

บางคนมากรี๊ด ๆ ใส่ท่านอาจารย์ ส.ฯ ญาติพี่น้องบอกว่า เธอถูกผีเข้า อาจารย์ท่าน
กลับบอกว่า คนนี้ เป็นโรคคลอดลูกแล้วไม่อยู่ไฟ น้ำคร่ำเข้าเลือด เสียสติไป อย่างนี้เป็นต้น
อาจารย์ ส. รัตนฯ ให้ยาไปบอกว่าให้ไป ต้มกินหลายหม้อ แล้วจะหาย บอกว่าไม่มีผีสางอะไรหรอก ก็มี

บางคน เป็นพนักงานบริษัท ฯ อยู่ดีไม่ว่าดี เห็นอาจารย์มี "ตาทิพย์" มองเห็นทุกอย่างไปหมด
ทั้งปัจจุบัน ทั้งอดีต แถมยังยกมาใส่ฝ่ามือคนที่จ้องดูให้เห็นได้ด้วย เธอก็เกิดกิเลส ไม่รู้ว่านั่นเป็นธรรมชาติ
ของพวกนักปฏิบัติกรรมฐานที่เขาจะได้จะมีตามวิสัยบารมีเขา เธอก็เซ้าซี้ท่าน อาจารย์ ส. รัตนฯ ว่า
อยากได้ "ตาทิพย์" อย่างอาจารย์บ้าง ตอนนั้น อาจารย์ ส. รัตนฯ ท่านยังไม่เคยรู้ว่าให้ไปเฉย ๆ แล้วจะ
เป็นอย่างไร อาจารย์ก็ทนรบเร้าเซ้าซี้ของเธอคนนั้นไม่ได้ ก็ใจอ่อน ให้ไป"ทดลองใช้" แค่เจ็ดวันดู

คุณผู้หญิงคนนั้น ได้"ตาทิพย์" ซึ่งอาจารย์ หยิบไปจากลูกนัยน์ตาท่านไปแปะไว้ที่ตาเธอ อย่างนั้น
ไปแล้ว เที่ยวไปมองเห็นวิญญาณต่าง ๆ สติแตกเที่ยวไปชี้หน้าชี้ตาคนโน้นคนนี้มีผีอยู่ด้วย เป็นที่วุ่นวายไป
ทั่วบ้านทั่วสำนักงานเขา อาจารย์รู้เข้าก็ว่าจะต้องถอนวิชาคืนเสียแล้ว ท่านก็ว่าคาถาดึงคืนมาจากในอากาศ
โดยเจ้าตัวไม่อยู่ตรงนั้นนั่นแหละ อีกวันต่อมา อาจารย์ ส. รัตนฯ ท่านเกิดทำพิธีลงร่างทรงองค์พรหมฯ ซึ่ง
ขณะนั้น ดูเหมือนองค์ณารายณ์ท่านมาลงพอดี ผู้หญิงคนนั้นก็วิ่งพรวดขึ้นบันไดมา ร้องว่ากล่าวอาจารย์
เสียงดังลั่นเรือนไม้นั้น พอชี้หน้าอาจารย์เสร็จ ทุกคนก็เห็น องค์ท่านยกนิ้วชี้ที่กำลังหมุนอยู่ในอากาศ
ชี้ไปที่ตัวเธอที่ตรงหัวบันได แปลก แท้ ๆ ที่ข้าพเจ้าเห็นคุณผู้หญิงคนนั้น หน้าตาเนื้อตัวเขียวปื๋อ เป็นที่น่า
หวาดกล้ว ถูกผู้คนที่มากับเธอ หามลงบันไดไป

อาจารย์ ส. ฯ พูดเสมอว่า ท่านไม่ได้เล่นของ หรือ ทำของ มีแต่วิชาช่วยรักษาคนที่เขา
ไป"ถูกของ" หรือ "โดนทำของ" มา แต่หลายคนไม่เชื่อ และว่าอาจารย์ ส. รัตนฯ ทำไสยศาสตร์
ก็ดูท่านอาจารย์ ส. รัตนฯไม่เดือดร้อนคำว่ากล่าวของใคร

จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 11 มี.ค. 52 16:11:42 ]
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 11 มีนาคม 2552 เวลา:18:46:34 น.  

 
 
 
ถึงจะเห็นอะไรมากขนาดนั้น ทุกวัน ข้าพเจ้าก็มิได้มีความปราถนาจะได้วิชาอะไรอย่างนั้น
แต่ก็สนใจไปหาหนังสือตำรับตำราวิชาพุทธศาสนามาอ่านมาค้นยิ่งขึ้นว่า ทำไม ผู้คนธรรมดา จึงจะมี
ตาทิพย์ หูทิพย์ แถมรู้ใจคน มีเจโตปริยญาณอะไรแบบผู้วิเศษอย่างนั้นได้ ค้นหาอ่านจนท่าน อาจารย์ ส. รัตนฯ
ท่านว่าเอาบ่อย ๆ ว่า ดีแต่อ่านไม่รู้จักปฏิบัติจะมีประโยชน์อะไร ไม่ดอก ข้าพเจ้าไม่เคยคิดจะไปเป็น
อาจารย์อะไรแบบท่าน แค่ไปรับการรักษาก็เหนื่อยหนักหนาสาหัสแล้ว ยิ่งจะให้ไปลงทรงนั่นข้าพเจ้า
ยิ่งเลี่ยงไปสุด ๆ จะให้ฝึกนั่งสมาธิ ก็พอได้ แต่หากจะดิ่งลงญาณอะไร แล้วไม่รู้สึกตัวอย่างนั้น ข้าพเจ้า
รู้สึกไม่ค่อยยอมรับ

วันหนึ่ง ไปนั่งน้ำมนต์ธรรมดา พอไปจัดเบาะลงนั่ง ก็เห็น อาจารย์วัฒน์เดินตัวแข็ง ๆ ไปมา
ไม่พูด ไม่จา ไม่เล่นหัว ก็รู้สึกแปลกใจ มองอาจารย์วัฒน์ ซึ่งเป็นเพื่อนสนิท ท่านอาจารย์ ส. รัตนฯ
ซึ่งกำลังถือมีดหมอ มาแถวนั้น ข้าพเจ้าก็ทักท่าน อาจารย์วัฒน์เหมือนเดิม ว่า
"อาจารย์คะ ช่วย เรียกแก้วน้ำมนต์ให้ด้วยค่ะ "
แปลกแฮะ ท่านอาจารย์วัฒน์ ไม่ยักกับหันมามองข้าพเจ้า มิหนำซ้ำยังทำเสมือนไม่ได้ยิน
และไม่รู้จักข้าพเจ้าอีก

สักพัก ก็เห็นภรรยาอาจารย์วัฒน์ เดินไปมาทำหน้าเคร่ง ๆผิดปกติอีก แล้วก็เห็นอาจารย์
หลายคนก็ทำท่าแปลก ๆ กันไปหมด สักพัก อาจารย์วัฒน์ เดินมาหยุดตรงหน้าข้าพเจ้าที่นั่งอยู่กับ
เบาะบนพื้น แล้วท่านก็ทรุดตัวลง ทำเสียงเคร่งให้ข้าพเจ้า ว่าคาถา ตามเสียงขรึมมาก ข้าพเจ้าก็พูด
ตาม แล้ว กล่าวว่า
" ขอบคุณ อาจารย์วัฒน์ มากค่ะ "
อาจารย์วัฒน์หันมองข้าพเจ้าทันทีแล้วตอบเสียงต่ำเข้มผิดกับเสียงอาจารย์วัฒน์ซึ่งค่อนข้าง
แหลมร่าเริงว่า
" เราชื่อ ฮัมปาว เราไม่ได้ชื่อ วัฒน์"
" อ้าว อาจารย์ไปเปลี่ยนชื่อเหรอคะ "
ข้าพเจ้ายังถามถ้อยคำตามประสาคนช่างพูดต่อ คราวนี้ อาจารย์วัฒน์พูดเสียงหนักแทบเป็น
ตะคอกเอาเลยว่า
" เราชื่อ ฮัมปาว ไม่ได้เปลี่ยนชื่อ "

อือม์ เมื่อรู้สึกว่าอะไรพิกล ๆ อยู่ ข้าพเจ้าก็เลยนั่งนิ่ง หันมองพระพุทธรูปที่โต๊ะหมู่บูชา หลับตา
ไปบ้าง จนรู้สึกว่า อาจารย์วัฒน์ มายืนใกล้ ๆ ท่านเอามีดหมอเขาควายฟ้าผ่าตายมาจิ้มบนศีรษะข้าพเจ้า
อย่างเบา แต่เจ็บร้าวไปทั่วกายทีเดียว

จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 11 มี.ค. 52 16:15:48 ]
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 11 มีนาคม 2552 เวลา:18:47:10 น.  

 
 
 
แวะมาอ่านค่ะ จริงๆแล้วเรื่องพวกนี้ก็เคยประสบกับคนรอบข้างมาบ้างนะค่ะ กันตัวเองเมื่อ 4 ปีมาแล้วตอนนี้ได้ไปฝึกนั่งสมาธิใหม่ๆก็จะเห็นอะไรต่อมิอะไรเยอะแยะแต่ว่าเราก็ต้องบังคับจิตเราเอง ถ้าใครไม่รู้ก็คิดว่าเราเป็นบ้าไปแต่พอผ่านจุดนั้นมาแล้วตอนนี้ก็สบายแล้วค่ะทำจิตนิ่งๆ มันก็บอกยากเหมือนกันนะค่ะแล้วแต่ความเชื่อของแต่ละบุคคลค่ะ เอาเป็นว่าเราจะประกอบแต่กรรมดีก็พอทำอะไรแล้วเรามีความสุขก็พอแล้วค่ะ แล้วจะแวะเวียนมาคุยอีกนะค่ะ คิดถึงเสมอค่ะ
 
 

โดย: นู๋ดีค่ะ (kun_isara ) วันที่: 11 มีนาคม 2552 เวลา:20:09:59 น.  

 
 
 
วันนั้นน่าจะเป็นวันแรก ซึ่ง ข้าพเจ้าเกิดความรู้สึกเกรงอกเกรงใจ อาจารย์วัฒน์ ขึ้นมา แม้นจะ
รู้สึกขำในใจว่า วันนี้ อาจารย์ทำท่าทียืนตัวตรงเป็นสง่า ผิดกับกิริยา หลังไหล่ค้อมลงน้อย ๆอย่างสำรวม
และอ่อนน้อมของอาจารย์วัฒน์ที่ผ่านมา

แต่จู่ ๆ อาจารย์วัฒน์ ก็มานั่งเคาะน้ำมนต์ตรงหน้าข้าพเจ้าบ้าง ดูท่าทางไม่ชำนาญเหมือน
ไม่เคยทำการรักษามาก่อน ทีท่าหันไปดูอาจารย์อื่นทำอยู่เรื่อย ๆ

ข้าพเจ้าจึงพูดกับท่านว่า
"อาจารย์วัฒน์คะ ทำไมอยู่ ๆ หายใจไม่ค่อยออกเรื่อยเลยคะ อาจารย์ ส. ว่าแพ้ตัวไร ในฝุ่นบ้าน
หรือคะ อาจารย์วัฒน์ เอ๊ย อาจารย์ฮัมปาว ว่าอย่างไรคะ "

อาจารย์วัฒน์ ในภาค อาจารย์ฮัมปาว - คนอะไรเลือกชื่อประหลาดมาเปลี่ยนชื่อ ข้าพเจ้าคิดอยู่
ในใจ แปลว่าอะไรก็ยากจะเดา ดีที่เปลี่ยนเรียกท่านให้ทัน มิฉะนั้นท่านคงตอบอีกดอกว่า เราชื่อฮัมปาว...
หันมาสั่งให้ข้าพเจ้าหลับตา แล้ววางมีดหมอนั้นอย่างเบามือบนศีรษะข้าพเจ้าอีกครั้ง
ท่าทางที่พูดดูให้เกียรติข้าพเจ้าขึ้นอีกนิด

"ถ้าครั้งแรกทำให้หายก็แปลว่าเป็นโรคธรรมดา คงหายได้.."

ท่านถอนมีดออกจากศีรษะแล้วถามข้าพเจ้าว่า
" รู้สึกดีขึ้นไหม ?"
ข้าพเจ้าแบบไม่ค่อยเชื่อถืออาจารย์วัฒน์ ภาค อาจารย์ ฮัมปาว ก็เลยรู้สึก "สนุก" ไปกับท่าน
คิดว่า อาจารย์ท่าจะเพี้ยนไปเล็กน้อย จึงตอบว่า
" ไม่ค่ะ "

"ครั้งที่สองนี้ไม่หาย แปลว่าเป็นโรคกรรม "

คราวนี้มองหน้านิ่งสนิท

" ไม่เคารพพ่อแม่เลยนี่...จำไว้นะ ทำอะไรให้พ่อแม่เจ็บใจ ทำให้โกรธ ล่วงเกินพ่อแม่ก็จะเป็น
อย่างนี้ตลอดไป "

ข้าพเจ้าเรียบเรียงคำพูดนี้ไม่ถูก แต่จำได้ขึ้นมาทีละนิดว่า เหตุการณ์ตรงนี้ น่าจะเป็นอาจารย์วัฒน์
ภาคอาจารย์ฮัมปาว มาดูให้มากกว่าจะเป็นตอนอื่นที่ไปรักษาตัวที่นั่น

หลังจากนั้น ดูท่าทาง อาจารย์ ฮัมปาว ก็จะเริ่มพูดจากับข้าพเจ้าขึ้นมามากกว่าเดิม แม้นว่าจะทำ
เหมือน พูดคำ ตอบคำ อยู่ก็ตาม ข้าพเจ้าเลยคิดเหมาเอาว่า สงสัยอาจารย์จะถือศีลห้ามพูดเกินจริงด้วยหรือ
เปล่า จึงพูดน้อย เดินตัวตรงไปมาอย่างนั้น


นับจากวันนั้นเป็นต้นมา อาซ้อ ภรรยาอาจารย์วัฒน์ ก็ยิ่งนิ่งเงียบมากขึ้น นัยน์ตาแดงช้ำ หน้าซีด
เซียว มีน้ำตาคลอคลองบ่อยครั้ง หลายครั้งข้าพเจ้าเห็นเธอไปนั่งปรึกษาอะไรกันเงียบ ๆ กับอาจารย์
ส. รัตน ฯ ส่วนอาจารย์ วัฒน์ นั้น นับวันยิ่งดูท่าทางเปลี่ยนไปหลายอย่างจนต้อง
ถามถามทุกคนว่าทำถึงเป็นเช่นนั้น ได้รับคำตอบจาก
ทั้งภรรยา อาจารย์วัฒน์ และ ท่านอาจารย์หลายท่านว่า อาจารย์วัฒน์เปลี่ยนชื่อเป็น ฮัมปาว เพื่อ
แก้เคล็ดให้ทำบุญใหญ่ได้สะดวก...และต้องปรับเปลี่ยนบุคลิกให้เรียบร้อยขึ้น

นี่นับเป็นนิสัยไม่ค่อยอยากรู้อยากเห็นอะไรของใครของข้าพเจ้า อันไม่เคยมีการเปลี่ยน
แปลง หากเขาบอกก็รู้ ไม่บอกก็ไม่ถาม นับว่าไม่ค่อยดีที่ไม่รู้เบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรใครนัก
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 11 มีนาคม 2552 เวลา:20:44:34 น.  

 
 
 
ภาคหนึ่ง- ต่อ

ในการไม่รู้เบื้องหลังอะไรของใครเสียบ้างนั้น ย่อมเป็นการดีต่อคนผู้นั้น
โดยเฉพาะต่อข้าพเจ้าเอง เพราะน่าจะไม่กี่วันต่อมา ท่านอาจารย์ ส. รัตน ฯ
ท่านก็ได้ทำการป่าวร้องบอกกล่าวลูกศิษย์ลูกหา และ เหล่าผู้คนผู้มา
นั่งรักษาน้ำมนต์นั้น และ อาซ้อ ภรรยาอาจารย์วัฒน์ ก็เดินไปมาบอกกล่าว
เรื่องนี้ด้วยเช่นกัน
ท่านอาจารย์ ส. รัตน ฯ ท่านจะให้ อาจารย์วัฒน์ ทำบุญให้กับตนเอง
ในภาคชื่อใหม่ อาจารย์ฮัมปาว ด้วยการสร้างวัตถุมงคล ข้าพเจ้าจำได้ราง ๆ
ว่า น่าจะมีการพูดจาบอกกล่าวกำหนดการทำดังกล่าวในทำนองว่า เพื่อให้
ท่านอาจารย์ฮัมปาว ได้ทำบุญใหญ่ในสิ่งซึ่งเป็นคุณประโยชน์แก่ทางพุทธ
ศาสนา

ในช่วงเวลานั้น ข้าพเจ้าก็ สร้างพระพุทธรูปอยู่หลายองค์ เป็นองค์ใหญ่
หน้าตัก ๑๙ นิ้วบ้าง ๒๙ นิ้วบ้าง แล้วแต่ว่า ท่านอาจารย์ ส. รัตน ฯ ท่าน
จะสร้างองค์ใดอยู่ ก็จะขอสั่งเช่าท่านไว้ รวมแล้วก็กว่า ๗ องค์ คิดเป็นเงินก็
นับว่าหลายอยู่ แต่ช่วงนั้น ข้าพเจ้าทำงานบริษัทฯ โฆษณา นับว่าเงินเดือนแพง
กว่าพนักงานบริษัทฯทั่วไป มากกว่าข้าราชการ และมากกว่าคนที่จบด็อคเตอร์
มาจากต่างประเทศเสียด้วยซ้ำ จึงสามารถหาเงินหาทองมาจัดสร้างวัตถุมงคล
ดังกล่าวนำไปถวาย หลายวัด

และ วัดหนึ่งในหลายวัดซึ่งได้อัญเชิญพระพุทธรูปไปถวายนั้นคือ วัดบัวขวัญ
อันอยู่ทิศทางไม่ไกลบ้านของคุณแม่ข้าพเจ้านัก ในวาระหนึ่งน่าจะเป็นการถวาย
พระพุทธรูปสององค์ องค์หนึ่งเป็นพระประธานหน้าตักกว้าง นำไปถวายในพระอุโบสถ
ซึ่งมีพระภิกษุชราองค์หนึ่งอาพาธ จำวัดอยู่หน้าพระพุทธรูปองค์ไม่ใหญ่นักที่นั่น

เมื่อข้าพเจ้าอัญเชิญพระพุทธรูปองค์ใหม่ไปตั้งที่พระอุโบสถ ก็ถามถึงท่าน
เจ้าอาวาสเพื่อจะไปถวายสังฆทานแก่ท่าน ก็ทราบว่า ท่านเจ้าอาวาสเวลานั้นท่านชรามาก
และอาพาธหนักอยู่ในกุฏิท่านเอง อยู่ห่างจากอุโบสถมามากอยู่
ข้าพเจ้าและคุณสามีจึงได้นำพระพุทธรูปองค์ดำองค์ไม่ใหญ่ ไปถวายท่านเจ้าอาวาสรูปนั้น
ผู้นอนป่วยอาพาธ ไม่มีแรงแม้นจะลุกขึ้นมานั่งรับ แต่เห็นท่านยิ้มนัยน์ตาแจ่มขึ้นทันทีเมื่อได้เห็น
องค์พระพุทธรูปซึ่งข้าพเจ้านำไปถวาย แล้วจึงได้ลากลับ และ ได้ทราบว่า ท่านเจ้าอาวาส
ท่านได้ถึงแก่มรณะภาพในวันรุ่งขึ้น ก็รู้สึกดีใจแทนท่านว่าท่านคงได้รอเวลาดี ๆ เช่นนี้อยู่
ข้าพเจ้าไปถวายท่านทันกาล

ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่รู้จักวัดบัวขวัญมากนัก ไม่ค่อยศรัทธา เห็นจะเป็นคำที่น่าถูกต้อง
เพราะเคยเข้าไปเห็นพระภิกษุหนุ่มบางรูป นั่งขูดล็อตเตอรี่แบบขูดหาเลขซึ่งโรงพยาบาลภูมิพล
ให้กองสลากทำออกขายฮือฮาทั่วประเทศในช่วงนั้น เลยไม่ชอบเข้าไปวัดบัวขวัญนัก แต่วาระนั้น
ก็ได้ทำบุญทำทานและ ได้พาพระภิกษุอาพาธพบความปิติใจในองค์พระพุทธรูป สององค์ ซึ่ง
นำไปถวาย

เพราะเหตุว่าได้ทำบุญหนัก ๆ ไปหลายครั้งแล้ว ครั้นถึงคิวที่อาซ้อ ภรรยาท่าน
อาจารย์วัฒน์ป่าวร้องเรื่องบุญที่จะทำ ข้าพเจ้าจึงได้ร่วมใส่ซองบริจาคไปไม่มากนัก ได้ยิน
แว่ว ๆ ว่า ท่านจะสร้างระฆัง
ข้าพเจ้ากำลังคิดเรียบเรียงความเป็นจริงอยู่ว่า วันไหนหนอซึ่งได้รับทราบถ้อยคำ
ความจริงจากปากท่านอาจารย์ ส. รัตน ฯ เอง หรือ ว่าได้ฟังจากท่านอื่น หรือว่าได้ยินในระหว่าง
การลงทรง ข้าพเจ้าก็จำอะไรไม่ได้มาก
ทราบแต่ว่า ช่วงนั้น ท่านอาจารย์ฮัมปาว มีสิทธิ์ในการช่วยรักษาโรค และพูดคุย
อย่างเคร่งขรึมกับผู้ป่วยทางวิญญาณทั้งหลายและอาจารย์ทั้งหลายอย่างเรียบร้อย และ เหินห่าง
ไม่ดูว่ามีความเป็นสุขในการที่จะได้ทำบุญทำทานใหญ่ดังที่ได้ยิน ดูเหมือนจะมีร่องรอยการถูก
กำหนดอะไรสักอย่างที่อธิบายไม่ถูกในวาระนั้นด้วย
: tiki_ทิกิ - [ 12 มี.ค. 52 12:02:17 ]
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 12 มีนาคม 2552 เวลา:19:49:03 น.  

 
 
 

และน่าจะเป็นวันหนึ่ง ซึ่งวันนั้น อาจารย์วัฒน์ หรือที่เรียกว่า อาจารย์ ฮัมปาวไม่ได้มา
ท่านอาจารย์ ส. รัตน ฯ ท่านทำเอ่ยปากบางอย่างซึ่งทำให้คณะศิษย์ของท่านรวมทั้งผู้เข้าไป
รับการรักษาอย่างข้าพเจ้า ต้องตะลึงงัน...ในเรื่องที่ทราบ

ท่านอาจารย์ ส. รัตน ฯ ท่านไม่ใช่คนพูดค่อย เสียงของท่านจึงดังกังวานก้องไป
ทั่วเรือนใหญ่ ใคร ๆที่ได้ยินย่อมรู้สึก หนักอกหนักใจ และอยากจะช่วยให้ท่านช่วยเพื่อนรัก
คือ อาจารย์วัฒน์ ผู้นับเป็นเพื่อนกันมาแต่เล็กที่โรงเรียนฝรั่งแถวสะพานซังฮี้..

ข้าพเจ้าฟังเรื่องเหล่านั้น แล้วก็ ลุ้นไปแทนท่านด้วย สอบถามว่า ท่านอาจารย์ ส. รัตน ฯ
ท่านช่วยอย่างใดแก่อาจารย์วัฒน์ได้บ้าง ท่านอาจารย์ ส. รัตน ฯ ท่านก็บอก ว่าได้ลงไปต่อรอง
ลงไปช่วยเหลือ เจรจา แผ่เมตตาให้อยู่แล้ว

ข้าพเจ้าเมื่อได้ยิน ก็รู้สึกหายใจไม่ค่อยทั่วท้อง แม้นว่าจะมีอาการหายใจหนัก ๆ ขัด ๆ
อยู่เป็นประจำในระยะนั้น ยิ่งเป็นมากขึ้น รู้สึกห่วงใย ในอาการของคณะศิษย์ และ ภรรยาอาจารย์
วัฒน์มากขึ้นกว่าเดิม ท่านอาจารย์ ส. รัตน ฯ ท่านก็ประกาศว่า ต้องทำทุกอย่างให้เสร็จสิ้นภาย
ในสามวันห้าวันนี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้น ก็ช่วยอาจารย์วัฒน์ไม่ได้

ดังนั้น ในวันนั้น ท่านจึงประกาศว่า ให้ทุกคนไปช่วยหาดูวัดใดที่ไม่มีระฆังมาบอกกล่าว
ด่วน เมื่อได้สถานที่แล้วอีกวันสองวันที่ระฆังจะมาเข้าพิธีนี้ ทุกคนต้องช่วยท่านอาจารย์ ส. รัตน ฯ
หาวัดที่จะนำระฆังไปติดตั้งให้ได้

เรื่องวัตถุมงคลอันนับว่า ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ของข้าพเจ้า เพราะไม่ใช่เรื่องของข้าพเจ้า
จึงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่สำหรับพวกเราไปโดยไม่รู้ตัว

: tiki_ทิกิ - [ 12 มี.ค. 52 12:13:36 ]
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 12 มีนาคม 2552 เวลา:19:49:29 น.  

 
 
 
ข้าพเจ้าก็อุตส่าห์ไปแวะวัดบัวขวัญใกล้บ้าน เพราะได้สอบถามพระวัดอื่นที่ข้าพเจ้ารู้จัก
ไปหมดแล้ว ทุกวัดต่างก็บอกว่าที่วัดมีระฆังแล้ว แต่ละวัดก็มีระฆังกันไว้ตีใบเดียวไม่ได้ต้องมีหลายใบ
วัดบัวขวัญก็บอกว่ามีแล้ว แต่พระภิกษุที่พาไปยืนดูระฆังซึ่งแขวนอยู่กับ หอระฆังไม้สีดำเก่า ๆ นั้นก็บอกว่า
ระฆังนี้ ร้าว

วันต่อมาทุกคนต้องไปพร้อมหน้าเพื่อจะบอกว่าวัดใดที่จะได้นำระฆังไปถวาย ลูกศิษย์ลูกหา
อาจารย์ทั้งหมด ต่างก็คอตก อ้อมแอ้มตอบบ้าง ตอบฉาดฉานชัดเจนบ้างว่า ไม่มีวัดใดที่ไปหามาที่จะไม่มี
ระฆังในวัดนั้น ๆ เลย
ข้าพเจ้านั่งฟังทุกท่านสรุปจบกันเช่นนั้นแล้ว ก็เลยตอบให้ฟังว่า

"ที่วัดบัวขวัญ เข้าทางงามวงศ์วานได้ ไปทะลุถนนสามัคคี อาจารย์ ส. จะพิจารณาหรือไม่
เพราะถึงวัดนี้จะมีระฆังแขวนอยู่ แต่เป็นระฆังร้าว "

นิ่งกันไปอึดใจ อาจารย์ ส. รัตนฯ ท่านก็ตบโต๊ะผางเลยว่า
"ใช่เลย จัดการเลย "

แล้วอย่างเร็วที่สุด ข้าพเจ้าก็ได้เห็นพวกลูกศิษย์ชายตัวใหญ่ ๆ ยกระฆังใบนั้นมาที่เรือนไม้ใหญ่ ณ
บางพลัด นั้น ใหญ่ไม่น้อย หนักไม่น้อยเพราะเป็นโลหะทองเหลือง ข้าพเจ้าจำรูปใบหรือ หน้าตาระฆังไม่ได้
แต่ได้มีการเรียกอาจารย์ฮัมปาวหรืออาจารย์วัฒน์นั้น ให้มาจุดธูปทำพิธี อัญเชิญทวยเทพเป็นสักขีพยานว่าจัก
นำระฆังนี้ไปถวายที่วัดดังที่จะจัดการกันเร็วด่วน

จะเป็นเวลากลางวันวันใด ข้าพเจ้าได้ไปร่วมในพิธีการให้นำระฆังไปส่งวัดบัวขวัญเพื่อแขวนด้วยหรือ
ไม่ ถึงตอนนี้ข้าพเจ้าพยายามนึกภาพว่าได้ไปด้วย วิ่งเต้นรอบ ๆ ข้าง ๆ หรือเปล่า แต่กลับนึกภาพไม่ออกเอา
จริง ๆ จะด้วยไม่ได้บันทึกไว้ หรือ ไม่ได้ไปข้าพเจ้าตอบไม่ได้

แต่ที่จับอากัปกิริยา อาจารย์วัฒน์ในภาคอาจารย์ฮัมปาวนั้น สัมผัสได้อย่างหนึ่งว่า ดูเหมือนท่านจะ
ไม่กระตือรือล้นกับระฆังดังกล่าวสักเท่าไหร่ บางอย่างบอกว่า ท่านมีความรู้สึกกระอักกระอ่วน รวมไปถึง ท่าที
ด้วยหรือไม่ ? หรือท่านไม่อยากจะให้ระฆังเสร็จมา ? นั่นเป็นความรู้สึกของข้าพเจ้าเอง... ในความเป็นจริงเป็น
อย่างไร ? ข้าพเจ้าไม่อาจบรรยายได้
: tiki_ทิกิ - [ 12 มี.ค. 52 12:34:03 ]
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 13 มีนาคม 2552 เวลา:10:56:32 น.  

 
 
 
เรื่องบางเรื่องที่ ไม่ได้รู้ ไม่ได้เห็น ไม่ได้เจอด้วยตัวเอง
ก็ยากจะพูดจริงๆ...

แวะมาอ่านเรื่องครับ (ตาลายเลย หมุนติ้วๆๆ ฮ่าๆ)

........................
 
 

โดย: PSlovebird วันที่: 15 มีนาคม 2552 เวลา:22:36:38 น.  

 
 
 
เกริ่นก่อนภาคสอง

การเขียนเรื่องนี้ ข้าพเจ้ายอมรับว่า ลำบากใจในการเรียบเรียงเรื่องพอ
สมควร...
อย่างหนึ่งคือ สถานที่จริง ไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของระฆังใบนี้เลย

อย่างที่สองคือ เงื่อนไขนั้น .. ผูกพันกับหลายคน และ หลายการ
กระทำ ซึ่ง จำเป็นต้องใช้ภาษาและ วิธีการเขียนอันต้องหลบ อยู่พอสมควร
...เพราะข้าพเจ้ามิได้ขออนุญาตบุคคลในเรื่องผู้ยังมีชีวิตอยู่เลยสักคน

อย่างที่สาม เขียนเรื่องนี้ ผิด ไม่ได้ พลาดไม่ได้ ทุกถ้อยที่เปล่งไป
เป็นเรื่องที่ถ้าไม่รู้ ก็ต้องยอมรับว่าไม่รู้ บางถ้อยของข้าพเจ้า สันนิษฐาน
หรือคิดไปเองโน่นนี่..ยังกริ่งเกรง "โดนโทษ" อยู่

อย่างที่สี่ เวลาเขียน เวลาเคาะไป ไม่ขออนุญาต นึกอะไรไม่ออก
เขียนอะไรสับสน ผิดหมด พลาดหมด ก่อนเขียนต้อง จุดธูปถวายพระพิฆเณศวร์
ซึ่งยืนประทับตั้งอยู่ตรงหน้าข้าพเจ้าก่อนอื่นเลย
แม้นกระทั่ง คำไหว้ครูของข้าพเจ้า ยังลำดับตำแหน่งแห่งองค์แต่ละองค์
ผิดเพี้ยนไป ทันทีที่จุดธูปกำยาน บอกกล่าว จะเรียบเรียงดึงคำดึงความดึงลำดับที่
ถูกต้องกลับมาแก้วางใหม่ได้ และ ตอนนี้ ก็ยังมีอีกหลายองค์ซึ่งข้าพเจ้าไม่ได้ระบุ
นามเพื่อบอกกล่าว แต่หวังว่า ญาณท่านจะเข้าใจ ว่าสิ่งที่ข้าพเจ้าเขียนอยู่นี้กำลัง
บอกอะไร และพาดพิงถึงใครอยู่บ้าง

อย่างที่ห้า... ข้าพเจ้าอยากจะรีบปิดเรื่องเร็วที่สุด แต่ทำไม่ได้ ด้วย
เหตุผลดังที่หนึ่งถึงสี่ ที่กล่าวมา ถึงจะเขียนช้า อีกนิด แต่ขอเขียนให้ถูกต้อง
.....

ถึงแม้นว่าเรื่องนี้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล่น.. เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้ายัง
รำลึกถึงขั้นตอนได้...ยังคิดถึงสีหน้า ท่าทาง ของตัวเอกผู้ต้องตกเป็น
จำเลยพระเอกในเรื่อง และ ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าตัวอยากจะเอ่ยถึงไม่ว่าเมื่อใด
ก็ตาม

แต่ไฉนข้าพเจ้าต้องเขียน. ? จะว่าด้วยความอยาก หรือก็ไม่ใช่
แต่เสมือนว่า ...อยากจะบอกว่า ใครบางคนต้องทิ้งโอกาสและความ
ชอบธรรม ของเขาลงไป เพื่อคำมั่นสัญญา...และ เป็นคำมั่นสัญญาอัน
มนุษย์ธรรมดา มองไม่เห็น เพราะมนุษย์ผู้มีกายเนื้อและวิญญาน ขันธ์ ห้า
ครบพร้อม มองไม่เห็นวาระดีที่สุดในการได้เกิดเป็นมนุษย์

และ การเกิดเป็นคน อันสามารถที่จะดำเนินชีวิต ดีก็ดีสุดได้ ร้ายก็ร้ายสุดโต่งนั้น.
..เราลืมไปหรือเปล่าว่าเวลาแห่งการมีโอกาสนี้..เราได้ทำดี
ที่สุดให้สมกับการเกิดมาเป็นมนุษย์หรือยัง ?

เพราะชีวิตเรานี้น้อยนัก...
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 16 มีนาคม 2552 เวลา:1:56:18 น.  

 
 
 
%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%

ขอเชิญ แสดงความเห็นที่บล็อกรวมค่ะ

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=tiki&date=28-03-2009&group=2&gblog=34


กำลัง จัดกลุ่ม และ หมวดกระทู้ ทั้งหมด ใหม่อีกครั้งขอขอบคุณค่ะ

%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%%
 
 

โดย: tiki_ทิกิ วันที่: 29 มีนาคม 2552 เวลา:1:03:00 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

tiki_ทิกิ
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




สงวนลิขสิทธิ์งานเขียนในบล็อกนี้ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ห้ามคัดลอก ดัดแปลง หรือนำไปเผยแพร่ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นลายลักษณ์อักษร
H e L L o
free counters
[Add tiki_ทิกิ's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com