All Blog
[09/02/2019] ทุ่มสุดตัวกับ Bodyslam #BODYSLAMFEST #วิชาตัวเบาliveinราชมังคลากีฬาสถาน


หลังจากถูกพี่คริสแห่ง Coldplay เปิด sing ไปเมื่อเกือบ 2 ปีที่แล้ว (https://pantip.com/topic/36318105) หัวใจเราก็ร้อนรุ่มต้องการคอนเสิร์ตอย่างหนัก แต่เราก็ไม่ค่อยมีใครที่ชอบเป็นพิเศษขนาดนั้น จนกระทั่งรู้ข่าวว่าบอดี้สแลมจะมีคอนใหญ่ที่ราชมังฯ โอ๊ยยย ใกล้บ้านอีกแล้ว แต่ยอมรับว่าตอนนั้นเรายังสองจิตสองใจ ด้วยความที่เราเคยเห็น(แม่ดู)เทปคอนเสิร์ตศิลปินไทยที่มีช่วงพูดคุยเยอะ เหมือนเป็นความกลัวเบื่อส่วนตัวไปเอง แต่พอเราชวนเพื่อนแล้วเพื่อนจะไปด้วย ก็เลยเป็นจุดที่ทำให้เราตัดสินใจไปนั่นเองค่ะ (ขอบคุณนะแก)

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เราเพิ่งเคยกดบัตรในคอมเองด้วย ถึงอาจจะไม่เหนื่อยเท่าคนต่อคิวรอ แต่ลุ้นแบบประสาทเสียมาก น้ำตาจิไหล แถมก่อนวันคอนไม่กี่วันมีคนขโมยรูปบัตรเราไปขายอีก น้ำตาไหลของจริง (เขียนนิยายมายังไม่เคยโดนก๊อปแบบนี้เลยโว้ยยย) แล้วเราก็จองโรงแรมหลังสนามตามสเตปเดิมกับที่เคยไปดู Coldplay เพราะพยายามออมพลังสุดๆ และที่เหมือนเดิมอีกอย่างคือ...นกของที่ระลึกอีกแล้วจ้า นกแม้แต่กระบอง M150 แหะๆ ขนาดไปสนามตอนเย็นแถวยังยาวมาก น้องสู้ไม่ไหวจริงๆ พี่ๆ T-T


วิวจากโรงแรมค่ะ ปลุกเร้ามากเว่อร์

นี่เป็นคอนเสิร์ตที่ 2 ในชีวิตเราที่ผู้จัดคนละเจ้ากัน อันนี้ขอชื่นชมว่าสตาฟฟ์ที่เจอช่วยเหลือดีมากกกค่ะ ตั้งแต่ประตูหน้าสุดเลยที่มีคนพาเราออกจากแถวทันทีที่เห็นวีลแชร์ แล้วพาไปเข้าอีกช่องนึง รวมทั้งตรงบันไดทางขึ้นสนามก็มีสตาฟฟ์มาช่วยยกรถเข็นโดยไม่ต้องขอแรงเลย มีประตูเข้าสนามเฉพาะ มีสตาฟฟ์มาช่วยเข็นไปโซนวีลแชร์ (ซึ่งใหญ่มากกก) ขอบคุณในความใส่ใจมากๆ ค่ะ

เวลาที่คนกระโดดพร้อมกัน พื้นโลกสั่นสะเทือนไหมนะ แต่เวลาที่บนสแตนด์พวกเราโยกตัวพร้อมกัน สั่นมันส์มากเด้อออ 5555 แล้วที่เรากลัวว่าจะนานไปไหม จะเหนื่อยไหม คือตรงข้าม ไม่มีอะไรที่ไม่ควรอยู่ในคอน 4 ช.ม.กว่า! ทุกคำพูดของพี่ตูนมีทั้งกระตุกความคิดและจับใจ หรือพาร์ตที่เล่นเวฟด้วยแสงจากโทรศัพท์ มันอีปิกมาก แล้วเกสต์ทั้งสามก็ร่วมโชว์ได้เดือดทุกคน เราได้ร้องเพลงสุดปอดสมใจ จนที่ตั้งใจจะมาร้องเพลงแสงสุดท้าย แต่พอมาอยู่เพลงสุดท้าย คือปากไปแต่เสียงไม่ออกแล้ววว 5555

พี่ตูนขอบคุณบ่อยมาก ขอบคุณไปถึงพ่อแม่คนที่ไป ตอนที่พี่ตูนให้ส่งเสียงให้พ่อแม่ทุกคนที่บ้าน เรานึกถึงแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วใจมันนิ่มเหมือนหมูได้รับสารบอแร็กซ์อะค่ะพี่ > < พี่ตูนบอกว่าถ้าเหนื่อยนิด ลำบากนิด แล้วเลิกพยายาม แปลว่าสิ่งนั้นมีค่ากับเราแค่ไหน สำหรับเรา...การไปคอนพี่มันคุ้มเหนื่อยมากกกกก เป็นคอนที่ soulful มากๆ แล้วยัง uplift จิตวิญญาณ ทุกคนเล่นกันเต็มที่มากกก เห็นเหงื่อพี่ๆ แล้วเราลืมเหนื่อยไปเลยค่ะ (แต่หิวนิดหน่อย 55) ทุกครั้งที่พี่ตูนค้อมตัวไหว้ ทุกครั้งที่พี่ขอบคุณคนอื่น เราอยากจะทำอย่างนั้นกับพี่เหมือนกันค่ะ ดีใจที่เกิดมาในยุคที่มีบอดี้สแลม ❤



เก็บตก:

- ตอนเห็นคนประมาณ 90% ใส่เสื้อสีดำ นี่ใส่สีน้ำตาลไปก็จะเขินๆ หน่อย แหะๆ
- โมเมนต์ kiss cam ก่อนเริ่มคอนคือน่ารักกก
- พี่ตูนตัวเล็กหรือใส่เสื้อดำหรือเราตาสั้นลงไม่รู้ เลยมองไม่เห็น ทั้งที่ตอนคอนพี่คริสเรามองเห็นพี่คริสนะ แต่ไม่เป็นไร แค่อยากไปให้พี่เห็น
- หลังจากโดนพี่วิลล์มือกลอง Coldplay ตก แม่ก็โดนพี่ชัฏ มือกลองตกอีกคน 5555
- ขอบคุณพี่ผู้ชาย 2 คนที่ช่วยยกรถเข็นตอนขากลับด้วยนะคะ ถ้าผ่านมาเจอโพสต์นี้ เรากับแม่ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
- ขอบคุณแน็ตที่ไปด้วยกัน ถ้าแกไม่ไปเราอาจพลาดคอนนี้ก็ได้
- สุดท้าย เรายังจำได้ว่าตอนที่แม่ปรึกษาหมอว่าเราจะไปดูคอน แต่แม่ห่วงเรื่องฝุ่นเรื่องคน หมอบอกว่า "ไปเถอะ ไม่สบายก็มาหาหมอ" มันคือความอุ่นใจมากๆ ที่มีคนเข้าใจ




Create Date : 11 กุมภาพันธ์ 2562
Last Update : 11 กุมภาพันธ์ 2562 15:56:02 น.
Counter : 691 Pageviews.

0 comment
[รีวิว+สปอยล์] A head full of dreams ... A film full of inspiration, passion and emotion


สรุปสิ่งที่ได้จากภาพยนตร์สารคดีวง Coldplay อย่าง #AHFODfilm ... สปอยล์นะคับ
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
- เปิดเรื่องมาด้วยฉากที่ผกก.โทรหาพี่คริส พี่คริสขอว่าอย่าเริ่มหนังด้วยฉากเดินขึ้นเวทีเพราะมันเชย ขณะเดียวกันภาพที่ฉายก็คือ Coldplay เดินขึ้นเวที 


- หนังเล่าแบบตัดภาพอดีตกับปัจจุบันไปทั้งเรื่อง


- นอกจากเรื่องทั่วไปที่แฟนๆ รู้ว่าทั้ง 4 คนเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกัน ความแรร์ของหนังคือมีฟุตเทจตั้งแต่สมัยอยู่หอหรือตอน gig 1 เพราะผกก.ก็เป็นเพื่อนมหาวิทยาลัยเดียวกันและบ้าถ่ายโฮมวิดีโอ


- พี่คริส (นักร้อง) เป็นคนที่โคตรอะเลิร์ต มีเป้าหมายชัดเจน มุ่งมั่น มั่นใจจนเกือบเหมือนคนบ้า 55 เพื่อนถึงขนาดบอกว่าต้องพยายามตามคริสให้ทัน


- จอนนี่ (มือกีตาร์) เป็นคนขี้อาย พูดน้อย และอะไรที่พี่คริสว่าดีจอนนี่ก็ว่าดี 5555


- กาย (เบส) ผู้หัวร้อนที่สุดในวง (ไม่อยากเชื่อเลย) มักขัดคอกันบ่อยเวลาเลือกเพลง มีช่วงนึงที่ฮีติดเหล้าและทะเลาะกันหลังเวที (แน่นอนว่าผกก.ก็มีฟุตเทจจ้า)


- วิลล์ มือกลองจำเป็น (จำเป็นมา 20 ปีแล้ว) เพราะตอนเริ่มวงนั้นขาดแต่มือกลอง เขาเลยยืมกลองรูมเมตมาตี มีดรามาตรงที่พอ Coldplay มีสังกัดแล้ววิลล์เลยเป็นจุดอ่อนของวงจนออกจากวงไปพักหนึ่ง


- เวลาจะเลือกเพลงใส่แต่ละอัลบั้มจะออกแนว #ทีมคริสจอนนี่ vs #ทีมกายวิลล์ คนตัดสินสำคัญเลยเป็นฟิล ผจก.วงที่ก็เป็นเพื่อนกัน


- ถึงจะรู้ว่าชื่อวงเดิมคือ starfish แต่ก็สงสัยมาตลอดว่า Coldplay มาจากอะไร ในหนังมีคำตอบจ้า ... มาจากการสวมชื่อวงคนอื่นนั่นเอง เขาไม่ใช้เพราะมันออกเสียงยากเลยสวมซะเลย โอ๊ยยย อย่างนี้ก็ได้หรอออ 5555


- ในหนังมีดรามาประปราย แค่หัวตาอุ่นๆ น้ำตาไม่ทันกลั่นตัวก็ขำหรือยิ้มซะก่อน


- ได้รู้ที่มาและการทำงานแต่ละอัลบั้ม เช่น ได้รู้ว่าอัลบั้ม ghost stories เป็นอัลบั้มที่พี่คริสแต่งตอนเลิกกับกวินเน็ธและอยู่ในภาวะซึมเศร้า เพื่อนทุกคนบอกว่าสื่งเดียวที่พวกเขาทำได้คือเล่นดนตรีเป็นเพื่อน ส่วนฟิลบอกว่าเขาโล่งใจที่ตื่นมาแล้วได้รับข้อความจากคริส T_T


- อัลบั้มที่หลายคนยี้ (แต่เราชอบสุด) อย่าง A head full of dreams คือสิ่งที่พวกเขาอยากทำมาตลอด และตั้งใจทำเพื่อให้เหมาะกับการทัวร์คอนเสิร์ต


- มีตัวละครลับและห้องลับในหนัง เช่น ฉากที่บียอนเซ่อัดเสียงในเพลง Hymn for the weekend ในห้องนอนลูกชายพี่คริส หรือกวินเน็ธร้องเพลง Everglow


- พี่คริสบอกว่าเพลงดังๆ ส่วนมากใช้เวลาแต่ง 10 นาที ส่วนเพลงที่คิดนานมักจะไม่ดัง


- เอ็นดูการที่พี่คริสอยากใส่ชื่อลีโอนาร์โดในเพลง พอเพื่อนถามว่าลีโอทำอะไรในเพลง แกก็บอกว่าเกี่ยวกับการตามหาดวงดาว เพื่อนบอกนั่นกาลิเลโอ โอ๊ยยย 555555


- เป็นหนังที่จะซิงอะลองก็ย่อมได้ มีภาพจากทัวร์ล่าสุดค่อนข้างเยอะ


- อีกความดีงามของหนังคือแปลดีมากกกกก


- สุดท้าย (ที่คิดออกตอนนี้) ฟุตเทจที่กรุงเทพฯ เยอะมากจ้าาา กี๊ซซซ ตั้งแต่ภาพคอนที่ราชมังฯ สนามมวย และพี่คริสยังนั่งถ่ายทำบนอัฒจันทร์ของสนามราชมังฯ ภาพสวยมากกก ไทยแฟนนี่ยืดดดเลยอะจุดนี้

____________________

สำหรับเรา ถ้าให้คะแนนหนังแบบไม่ติ่งคงให้สัก 7-8/10 แต่ด้วยความติ่งจึงขอให้ 20/10 คะแนนจ้า 55 เป็นหนังที่เต็มไปด้วยพลังบวกและมิตรภาพ no sex no drug สมกับเป็นวงร็อกออร์แกนิก 5555


Coldplay ก็คือ Coldplay ที่มักทิ้งประกายไฟบางอย่างให้เราเสมอ การได้รับรู้ปัญหาตลอดจนวิธีคิดวิธีรับมือของคนที่เรา look up to ตอบคำถามหลายอย่างในใจเรา แค่นี้ก็มีความหมายที่สุดแล้ว


"We are in this together, we are one big band"






Create Date : 17 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2561 15:57:51 น.
Counter : 550 Pageviews.

0 comment
3 พ.ย. 61 เมื่อสวรรค์ให้รางวัลฉัน ❤ No cake, no cry... 'cause I met DAVID BECKHAM on my birthday!


  เรื่องมันเริ่มต้นจาก... เราส่งจดหมายผ่านตัวแทน AIA ไป ไม่ใช่สิ มันอาจจะเริ่มมา 20 ปีแล้ว ไม่มีใครที่รู้จักเราไม่รู้ว่าเราติ่งเดวิด เบคแคม นั่นแหละ แล้วเรื่องนี้ก็รู้ไปถึงพ่อเพื่อนที่เขารู้จักตัวแทน AIA 

เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เพื่อนได้นัดเราไปพบกับคุณกาญ (นางคงเห็นเราเฮิร์ตที่ปีที่แล้วไปดักรอพี่เบคหน้ารร. แล้วนกเลยเวทนาเพื่อน 55) คุณกาญแนะนำให้เราเขียนจดหมายทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษให้เขาเพื่อยื่นต่อไปที่ AIA บอกตรงๆ เราไม่เคยคิดถึงวิธีนี้มาก่อน จนถึงตอนเขียนจดหมายส่งไปก็คิดว่าเขาคงไม่อ่านหรอกมั้ง แต่ขอแค่มีโอกาสเราทำหมด เราส่งจดหมายไป 2 ฉบับ (ไทยและอังกฤษ) โดยเฉพาะฉบับภาษาอังกฤษนั้นเราเขียนด้วยสรรพนามประหนึ่งพี่เบคเป็นบุคคลที่สองเลย

สองเดือนผ่านไปโดยไร้ฟีดแบกใดๆ เราทำใจแล้ว (อันที่จริงเผื่อใจตั้งแต่วันที่ส่งอีเมล) จนกระทั่งอาทิตย์ก่อนมีคนทักข้อความมาในเฟซฯ บอกว่า AIA ได้รับจดหมายและมอบสิทธิ์ให้เรามาดูกิจกรรมคลินิกฟุตบอลกับเดวิด เบคแคม แล้ววันงานดันตรงกับวันเกิดเรา กรี๊ดดดดดดด ร้องไห้สิ รออะไร ฮือออ

มีเวลาเตรียมตัวแค่ 9 วัน นี่รีบออกแบบเสื้อกับเพื่อนและคิดหาของขวัญให้พี่เบค ทำการ์ดด้วย ตอนนั้นไม่รู้ว่าจะมีโอกาสให้ไหม แต่มันต้องทำอะ! ไม่ได้ไม่เป็นไร แล้วทุกอย่างก็เสร็จไปแบบเฉียดฉิว แถมงานนี้น้องยังจองและออกค่ารร.แถวสนาม SCG ให้ด้วย (รู้สึกมีแต่คนสนับสนุนการติ่ง ฮือออ) ยิ่งใกล้วันที่รอก็นอนไม่หลับหลายคืน มือนี่ชุ่มเหงื่อตลอดเวลา

และแล้ววันที่รอก็มาถึง ไปถึงสนามด้วยความตกใจมากกก คนเยอะมากกกกก ไอ้ที่ซ้อมมาว่าจะตะโกน "David! I love you!" ต้องไม่ถึงหูพี่เบคแน่เลย แต่เอาวะ ขอแค่เห็นไกลๆ ในระยะสายตาก็ดีใจแล้ว แต่!! หลังจากไปลงทะเบียนรับสติ๊กเกอร์เข้างานก็มีคนพาไปนั่งเก้าอี้ใกล้เวที ใกล้กับทางที่พี่เบคจะลงสนาม แล้วสักพักก็มีคุณโอ๋ AIA มาบอกว่าได้อ่านจดหมายเราแล้ว รวมถึงส่งต่อไปให้พี่เบคด้วย เฮ้ยยยยยยย ความรู้สึกที่ได้รู้ว่าพี่เบคอ่านจดหมายเรามันยิ่งใหญ่มากอะ ไม่มีคำไหนจะมาเปรียบ คิดย้อนไปน้ำตาก็จะไหลทุกครั้ง 

ความดีใจต่อมาคือ คุณโอ๋จะให้เราตั้งแถวต่อจากน้องนักเตะและมาสคอตต้อนรับพี่เบคตอนลงสนาม กรี๊ดดด นี่รีบซักซ้อมกับแม่ว่ากดถ่ายรัวๆ เลยนะตอนพี่เบคเดินผ่านหนู แล้วระหว่างรอนั้นเองก็เห็นชาวต่างชาติทั้งผู้หญิงผู้ชายมาดูสถานที่ ในใจก็คิดว่าทีมพี่เบครึเปล่า มาถึงแล้วแน่เลย หายตื่นเต้นจนตื่นเต้นอีกรอบ 

หลังจากนั้นก็มีคนของ AIA อีกคนมาคุยกับเรา คุณเอมี่บอกว่าทาง AIA ส่งจดหมายไปให้พี่เบค แล้วพี่เบคคือคนอนุญาตให้เรามาในวันนี้... ประโยคนี้ก้องในหัวเราจนความรู้สึกทุกอย่างชาไปหมด หันไปมองแม่แบบจะร้อง แต่!!! ยังไม่แค่นั้น เราจะได้ขึ้นไปหาพี่เบคที่ห้องข้างบน!!!

มีคนมานัดเวลาและถามว่าจะให้เซ็นอันไหนให้ของขวัญอันไหน ฮือออ ที่วาดฝันไว้กำลังจะเป็นจริงหมดเลย พอถึงเวลาก็มีคนมาพาขึ้นไปที่ VIP Box ของสนาม SCG เมืองทอง เราได้ไปรออีกห้องก่อน แล้วก็มีคนมาตามไปห้อง AIA ที่มีผู้บริหารอยู่ สักพักพี่เบคก็เข้ามา...เหมือนหลุดมาจากโทรทัศน์เลย ทั้งหน้าตา รูปร่าง เสียง รอยยิ้ม ทุกอย่างคือพี่เบคโคตรๆ ฮือออ ฮึบน้ำตาปากสั่นจนต้องเม้มปากอ่า พอพี่เบคหันมาเห็นเรา คำคำแรกที่เขาพูดคือ "Happy birthday"

ตอนนั้นในหัวเหมือนมีพลุระเบิดปุงปัง ตอนพี่เบคยิ้มแล้วเดินมาหาเหมือนมีดาวอยู่ในห้องนั้นวิบวับไปหมด พี่เบคถามว่าสบายดีไหมแล้วก็กอดเรา ฮือออออออ นี่ตอนแรกตอบว่าแอมกู้ด พอพี่กอดเลยตอบไปอีกว่าเรียลลีกู้ด โว้ยยย ตอบในอ้อมกอดข้างคอพี่เบคอะ (เพลงพี่ชายที่แสนดีต้องมาอะจุดนี้ ฮือออ) พี่เบคถามว่าอายุเท่าไร บอกว่าดูเด็ก ไม่เหมือนฮี (โถ พี่ของน้องงง) แล้วแม่ก็เอาของขวัญออกมาให้ พี่เบคอ่านการ์ดในถุงบนตักเราด้วยยย 

ตอนพี่เบคเซ็นหนังสือให้คือตอนที่เราแอบมองได้นานที่สุดแล้ว พี่เบคพูดงุ้งงิ้งว่าเซ็นตรงไหนดี หน้าปกแล้วกัน เซอร์ไพรส์ที่เขาเขียนชื่อเราถูกโดยที่เราไม่ได้บอกด้วย (หรือเพราะอ่านการ์ด 55) พี่อวยพรให้เรามีวันที่ดี แน่นอนอยู่แล้ว เพราะพี่ไง! แถมตอนถ่ายรูปยังขยับมาใกล้มากกก ใกล้จนเราต้องย่นคอหนี ทั้งไม่กล้ามองหน้าและกลัวหน้าเราโดนหน้าเขา หัวใจก็เต้นแรงไปอีกกก ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่เบคโอบไหล่จนมาเห็นในรูป มัวโฟกัสแต่จะโดนหน้าพี่ชาย ฮือออ

พี่เบคถามถึงแม่ด้วยว่าเป็นแม่เราหรือ แล้วก็จับมือแม่ (ขนาดหนูยังไม่ได้จับเลย!) ตอนพี่เบคบอกว่าข้างนอกร้อน นี่อยากตอบเหลือเกินว่านี่วินเทอร์ค่ะพี่ชาย แต่ตอบไปว่าช่าย แต่หนูไม่ร้อน แล้วพี่เบคก็ถามว่าเราจะยังอยู่แถวนี้ใช่ไหม เราตอบว่าใช่ พี่เบคก็บอกว่าดีแล้วยิ้มให้ (ที่จริงก็ยิ้มตลอดเลย ละมุนใจมากกก) ก่อนออกจากห้องนั้นผู้ติดตามพี่เบคก็นึกว่าเราลืมของ พอมีคนบอกว่าอันนั้นให้พี่เบค เขาก็ยิ้มและชมว่าน่ารัก 

เราหยุดยิ้มไม่ได้ตั้งแต่กลับลงมา ใจฟูจนรู้สึกว่าถ้าตายตอนนั้นต้องไปสวรรค์แน่ๆ ถึงจะไม่มีสติจนลืมให้พี่เบคเซ็นเสื้อ แต่เราดีใจโคตรที่ได้คุยงุ้งงิ้งกับพี่เบค ไม่มีล่ามหรือใครช่วยเลย มันอาจเป็นบทสนทนาจิ๊บจ้อยแต่มันโคตรบริสุทธิ์ ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกนี้ยังไง

ตอนพี่เบคลงมาที่สนาม เราก็ไปเกาะราวกั้นดูอยู่ห่างๆ มีช่วงนึงที่พี่เบคพูดบนเวทีแล้วหันมาตรงจุดที่เรานั่งอยู่แล้วยิ้มให้ ใจบางโคตรรร ฮือออ น้องรออยู่ตามที่บอกแล้วนะพี่จ๋า รู้สึกโชคดีมากที่ได้เจอพี่เบคก่อนด้วย เพราะตอนทำกิจกรรมมองไม่เห็นเลย ถ้าการ์ดไม่กันให้กลับพี่เบคก็คงเซ็นให้ทุกคนที่รอ ซึ้งโคตรที่รักพี่มานานปี

ตอนเรากลับไปถึงรร. ขณะรอกาแฟที่สั่ง ในร้านก็เปิดเพลง The scientist พอดี ที่ฮึบน้ำตาไว้เป็นอันหมดท่า ร้องไห้คาแก้วกาแฟ

______________________________

ขอบคุณ AIA มากๆ เลยค่ะ ขอบคุณจากใจ เป็นความทรงจำที่มีค่ามาก

______________________________

บันทึกไว้เตือนความจำ ถ้ามีโอกาสเจอพี่เบคอีกครั้งจะต้องตั้งสติพูดให้ได้มากกว่านี้ อยากถามพี่เบคว่าเหนื่อยไหม ฝากความรักถึงครอบครัว และจะต้องปริ๊นต์รูปครั้งนี้กับใส่เสื้อไปให้พี่เบคเซ็นด้วย 







Create Date : 07 พฤศจิกายน 2561
Last Update : 7 พฤศจิกายน 2561 15:39:48 น.
Counter : 405 Pageviews.

0 comment
Thank you party @เรือนจำกลางบางขวาง


- สิ้นหวังไม่เคยหมดหวัง -

เสียงนักเรียนบางขวางกว่า 30 คนนั่งล้อมวงในห้องกระจกประสานเสียงร้องเพลง มีพี่อรสม สุทธิสาครนั่งอยู่กลางวงล้อม (และเรากับแม่ที่โชคดีได้เป็นประจักษ์พยานความผูกพันระหว่างครูกับศิษย์) เหมือนเป็นบทเพลงส่งท้ายก่อนเลิกค่ายลูกเสือ

...

ย้อนกลับไปตอนเช้า (27 เม.ย. 61) เราไปถึงเรือนจำกลางบางขวางราว 9 โมง ได้พบพี่อรสมและพี่ที่เป็นอาจารย์สอนปั้นพระมารออยู่แล้ว หลังจากฝากของที่ล็อกเกอร์จึงได้ผ่านประตูเหล็กสองชั้นเข้าไปสมทบกับคณะที่รอบริเวณเยี่ยมญาติ เรามองห้องกระจกแนวยาวที่ญาติจะได้พูดคุยกับคนหลังกำแพงผ่านกระจกกั้นเหมือนในหนังด้วยความสนใจ

เสียงแก๊กของประตูเหล็กอีกชั้นส่งความเย็นวาบเกาะกุมใจ หลังกำแพงที่พวกเราเข้าไปยังมีกำแพงสูงอีกชั้นแบ่งแดนนักโทษ แต่จุดที่เราไปนั้นเป็นเหมือนกองที่ดูแลด้านการศึกษา มีสนามหญ้าเล็กๆ สองข้างทาง หน้าอาคารหลังคาสูงมีวงเวียนน้ำพุเตี้ยๆ ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ตอนที่ไปถึงชายฉกรรจ์ในเสื้อสีส้ม สีเขียว และสีเทากำลังจัดสถานที่ มีห้องพักสำหรับนักข่าวและแขกที่มา



เรารออยู่ในห้องแอร์เย็นจัดสักพักก็อดใจออกมาดูข้างนอกไม่ไหว เก้าอี้ 6-7 แถวถูกจัดเรียงเป็นระเบียบหน้าเวที (ที่ไม่ได้ยกพื้น) มีเก้าอี้อีกหลายแถวหันข้างให้กับเวทีสำหรับคณะติดตาม เรากับแม่นั่งบริเวณนั้น ปกติแล้วเราไม่ใช่คนสู้ตาคนนัก แต่สังเกตว่าตอนนั้นก็ไม่มีผู้ต้องขังสบตาเราเหมือนกัน เมื่อเดินสวนกันเขาจะทำตัวลีบและถอยห่างทันที

งานที่พี่อรสมเรียกว่า Thank you party สำหรับนักเรียนปั้นพระรุ่นที่ 3 มีขึ้นหลังพี่อรสมและผู้บัญชาการเรือนจำกลางบางขวางกล่าวเปิดงาน นักเรียนบางขวางต่อแถวโค้งตามวงเวียนหน้าอาคารเพื่อใส่บาตรพระศากยวงศ์วิสุทธิ์ เราก็พลอยได้อานิสงส์ใส่บาตรในรอบหลายเดือนเหมือนกัน ภาพที่พวกเขาก้มกราบพระกับพื้นจับใจเรามาก ความนบนอบศรัทธางดงามที่สุดสำหรับเราเสมอ แต่เรากลับไม่ค่อยมีโอกาสได้เห็นภาพแบบนี้ในโลกรอบตัวเรา



พระศากยวงศ์วิสุทธิ์พรมน้ำมนต์และแสดงธรรมแก่นักเรียน ก่อนจะถึงเวลาที่เราต้องไปพูดคุยถ่ายทอดเรื่องราวของตัวเอง ต้องขอบคุณพี่อรสมและพี่อาทิตย์ บก.แพรวสำนักพิมพ์ที่ช่วยซักถาม ถ้ามีอะไรที่แพรวพูดไม่รู้เรื่องก็อยากขอโทษพี่ทั้งสองและคนฟังเป็นอย่างยิ่ง ในการนี้พี่อรสมได้มอบพระพุทธรูปให้เรากับแม่ด้วย แม่ประทับใจมากถึงกับชื่นชมคนปั้นและบอกเราว่าอยากไปเยี่ยมเขา



นอกจากนี้ การพูดวันนั้นสร้างความประทับใจให้เรามากที่สุดตรงที่ทุกคนกล้ามองเราแล้วและมีรอยยิ้มให้ทุกครั้งที่มองมา พี่คนหนึ่ง (ระดับน้าแล้วล่ะ) อายุ 56 ปีเข้ามาพูดคุยกับเราและแม่หลังกินข้าวเสร็จ และมีพี่อีกคนที่เข้ามาบอกว่าเราอยู่บ้านเดียวกันนะ เพราะพี่เขาเคยเขียนเรื่อง "คำสารภาพสุดท้ายก่อนเข้าห้องประหาร" ประกวดรางวัลนายอินทร์อะวอร์ด เขาเล่าถึงชีวิตในอดีต ถึงความรักเทิดทูนที่มีต่อในหลวงร. 9 ที่พระราชทานอภัยโทษลดโทษให้ฟังด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

ปิดท้ายด้วยดนตรีจากวงคาราวาน เก้าอี้แถวหน้าถูกเก็บออกไป นักเรียนหลายคนเลือกนั่งกับพื้น เราเองก็อยู่แถวหน้าปะปนกับพวกเขา ทุกคนปรบมือเข้าจังหวะ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม แล้วยิ่งครึกครื้นมากขึ้นเมื่อมีคนออกไปเต้น คนที่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเข้าค่ายกับโรงเรียนอย่างเรารู้สึกเหมือนกำลังเข้าค่ายกับเพื่อนเลย



น้าหงาในวัย 70 ปีเล่นดนตรีเกือบ 2 ชั่วโมงโดยไม่ได้พัก นักเรียนหลายคนตามไปขอลายเซ็นน้าหงาในห้องหลังการแสดงจบลง นี่ก็อยากได้แต่ไม่กล้า ฮือออ แต่มีโอกาสได้ถ่ายรูปก็ดีใจแล้ววว และพี่อรสมยังบอกให้ไปถ่ายรูปกับหอคอย ไม่อย่างนั้นเหมือนมาไม่ถึงบางขวาง จากตอนแรกที่ถ่ายไม่กี่คนก็มีพี่นักเรียนมาแจม สำหรับเรา...รอยยิ้มพวกเขายังชัดเจนแม้ต้องเบลอหน้าในรูปถ่ายก็ตาม

หลังเก็บของเสร็จ หลายคนได้เข้ามาหาพี่อรสมในห้องพัก พวกเขาคุกเข่า ยื่นปากกาเมจิกให้ครูผู้เมตตาเซ็นเสื้อให้ บางคนขอถ่ายรูปกับพี่อรสมและเรา พี่คนหนึ่งบอกว่าเขาเปลี่ยนใจจะลงเรียนการเขียนเพราะเรา อยากบอกเหลือเกินว่าขอบคุณที่ทำให้เห็นว่าการเป็นแรงบันดาลใจที่เรานึกอคติกับมันตลอดมาเป็นรูปธรรมขึ้น เราไม่บังอาจคิดและไม่ชอบคิดว่าเรื่องของเราจะส่งผลต่อใครไหม แต่นาทีนั้นหัวใจมันพองฟู

เพลงที่นักเรียนร่วมร้องสิ้นสุดลง พวกเขาต้องออกไปต่อแถวรายงานตัวเพื่อกลับเข้าแดน เสียงตะโกนซ้ายหันดังขึ้นพร้อมกับที่ชายในเสื้อโปโลสีส้มราว 30 คนเดินแถวออกไป แต่เพียงไม่กี่ก้าวพวกเขาก็หันมาโบกมือลาด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มให้พวกเรา

...

ยิ่งโตขึ้น เราก็ยิ่งเชื่ออย่างหนึ่งว่ามนุษย์ทุกคนล้วนข้องเกี่ยวต่อกันทางใดทางหนึ่ง ถ้าไม่ใช่ทางสายเลือดก็อาจเป็นเพื่อนมิตร เชื้อชาติ ภาษา ศาสนา หรือหากไม่ใช่สิ่งเหล่านั้นก็คงเป็นแนวคิด ความสนใจ หรืออุดมการณ์ แต่ถ้าไม่ใช่อีกก็คงเป็นรอยยิ้มของมนุษย์ทุกคนที่งดงามไม่ต่างกัน มีเลือดสีเดียวกัน ถ้าจะช่วยให้ชีวิตใครดีขึ้นได้เราก็อยากทำ เพราะชีวิตของคนอื่นก็คือสังคมของเรา...โลกเรา ถ้าทุกคนมีชีวิตดี สังคมก็ดี





Create Date : 28 เมษายน 2561
Last Update : 28 เมษายน 2561 15:45:45 น.
Counter : 739 Pageviews.

1 comment
[รีวิวหนัง] Gleason ชีวิตยังไหว ตราบใดฉันมีเธอ




Gleason ชีวิตยังไหว ตราบใดฉันมีเธอ


เรื่องย่อ (เอง)

เมื่อหลายปีก่อนมีกระแส ALS Ice bucket challenge ที่โด่งดังมาก ที่มาของกิจกรรมนี้เกิดจากความคิดของอดีตนักกีฬาอเมริกันฟุตบอลที่ป่วยเป็น ALS และเพื่อนของเขา เขาคือ Steve Gleason 

สตีฟเป็นนักกีฬาอเมริกันฟุตบอล ตัวใหญ่ แข็งแรง หล่อ และเป็นที่จับตา แต่เขาเป็นคนติดดิน สมถะ แฟนสาวของเขาเป็นผู้หญิงร่าเริงสนุกสนาน พวกเขาแต่งงานกันหลังสตีฟรีไทร์จากกีฬา ก่อนที่ไม่กี่เดือนต่อมาสตีฟจะพบความผิดปกติกับร่างกายของตัวเอง

หมอวินิจฉัยว่าเขาเป็นโรค ALS เขาจะอ่อนแรงลงเรื่อยๆ จนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ พูดไม่ได้ และมีปัญหาด้านระบบหายใจ คนที่เป็นโรคนี้มักมีชีวิตอยู่ได้เพียง 2-5 ปี 

แต่ขณะที่เวลาชีวิตของสตีฟถดถอยลง เวลาชีวิตใหม่กำลังเริ่มต้นขึ้น ภรรยาของเขาท้อง สตีฟจึงตั้งใจถ่ายคลิปวีดีโอเหล่านี้ไว้เพื่อให้ลูกของเขาได้ดูในอนาคต หากเขาต้องจากแกไป ลูกจะได้รู้จักเขา รับรู้ถึงความรักของเขา และสายสัมพันธ์พ่อลูกนี้จะคงอยู่ตลอดไป

ความในใจ (สปอยล์)

เราเป็นคนหนึ่งที่เคยเอาถังน้ำแข็งมาราดตัวเองเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าคนคิดคือใคร รู้เพียงแต่จุดประสงค์ของกิจกรรมนี้ตามที่เห็นข่าวบ่อยๆ ตอนที่เราเห็นตัวอย่างหนังเรื่องนี้เราเลยตัดสินใจไปดูทันที ไม่ลังเล แล้วก็ไม่ผิดหวังจริงๆ

หนังทำให้รู้จักสตีฟผ่านวีดีโอที่เขาถ่ายไว้พูดคุยกับลูก และอีกส่วนก็เป็นการถ่ายสารคดีชีวิตของเขากับครอบครัว จากนักกีฬาหนุ่มแน่น เขากลับเดินกระย่องกระแย่งเหมือนคนเมา เริ่มใช้ไม้เท้า แต่นั่นหยุดสตีฟจากการใช้ชีวิตไม่ได้ เขาเดินทางท่องเที่ยวกับภรรยาและเพื่อนไปในที่ต่างๆ ดำน้ำ กระโดดร่ม หรือแข่งไตรกีฬา

สตีฟได้ลูกชาย เขาตั้งชื่อลูกว่า Rivers เพราะแม่น้ำเป็นต้นกำเนิดของไฟ เชื้อเพลิงที่ทำให้เกิดไฟก็คือต้นไม้ ต้นไม้เติบโตได้ด้วยน้ำหล่อเลี้ยง นั่นแหละ ริเวอร์สเปรียบเสมือนไฟให้ชีวิตเขาสว่างไสวอีกครั้ง (กรี๊ดมากกกกกจุดนี้)

หลังจากนั้นอาการของสตีฟก็แย่ลงเรื่อยๆ ภรรยาต้องป้อนข้าวทั้งเขาและลูก เริ่มให้อาหารทางสายยางผ่านหน้าท้อง เริ่มใช้วีลแชร์ เริ่มพูดไม่ได้ ใช้เครื่องช่วยหายใจ และเจาะคอ แต่สิ่งที่กระทบใจเราไม่ใช่อาการที่มีแต่แย่ลงของสตีฟ แต่เป็นหลายๆ ฉากที่เขาระบายความรู้สึกออกมา เช่น...

- ฉากที่เขาขัดแย้งกับพ่อผู้เชื่อในพระเจ้า (ลืมเกริ่นไปว่าเราเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดหนึ่ง ซึ่งเรามักได้ยินผู้ใหญ่บอกว่าเป็นกรรม สำหรับเรามันเจ็บปวดและน่าหงุดหงิดกว่าการยอมรับว่าเป็นโรคซะอีก) เรานี่น้ำตาไหลพรากๆ ตอนสตีฟพยายามให้พ่อเชื่อว่าเขาจะไม่ตกนรกหรอก 

- ฉากที่เขาพูดไม่รู้เรื่องแล้ว สตีฟได้แต่ตะโกนและร้องไห้ หัวใจเรานี้แทบแตกสลายตาม TT_TT

- ฉากที่ภรรยาเย็นชาเพราะเหนื่อย โดยสตีฟพยายามพูดคุยเปิดอกว่าเขาผิดอะไรเธอถึงเย็นชา เราได้เห็นสตีฟในมุมไม่มั่นใจอย่างที่ไม่เคยเห็น ฉากนี้อาจไม่มีความหมายกับคนอื่นก็ได้ ถ้าไม่ใช่คนพิการที่ต้องอยู่ด้วยความช่วยเหลือและความรักจากคนใกล้ตัว สำหรับเรามันจึงมีความหมายมาก น้ำตาแตกอีกตามเคย

- ฉากที่สตีฟใช้สายตาพิมพ์ข้อความบนคอมให้ภรรยาอ่าน สตีฟท้อจนแม้แต่การมองดูลูกก็ทำให้เขาเจ็บปวด สิ่งที่เคยทำให้มีความสุขก็ไม่ทำให้เขามีความสุขอีกต่อไป (ทำไมนายต้องพูดหรือคิดหรือทำอะไรแทนใจฉันหมดเลย orz)

แต่ต่อให้จิตใจเฟลขนาดไหนหรือร่างกายทรุดลง สตีฟก็กลับมาเป็นคนที่ทำอะไรเพื่อคนอื่นต่อไปทุกครั้ง สตีฟเคยถามพระเจ้าว่าทำไมต้องเป็นเขา แต่เราน่ะคิดว่าเพราะเป็นเขาที่มีหัวใจแบบนี้ไง เขาถึงทำอะไรที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ได้

สุดท้ายนี้เราอยากแนะนำหนังเรื่องนี้กับทุกคนจริงๆ ค่ะ โดยเฉพาะถ้าใครมีคนในครอบครัวหรือเพื่อนไม่แข็งแรง อยากรู้ว่าเขาคิดหรือรู้สึกยังไงมากขึ้น ลองดูหนังเรื่องนี้ก็ได้นะคะ สำหรับเราแล้วความคิด คำพูด และการกระทำของสตีฟเหมือนแทนใจเราไปแทบทั้งหมดอ่า T_T
#teamGleason #nowhiteflags #awesomeainteasy



Create Date : 19 มิถุนายน 2560
Last Update : 19 มิถุนายน 2560 16:26:10 น.
Counter : 1154 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  

thezircon
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]



New Comments