|
ลิเก มีกำเนิดในกรุงเทพฯ และประชาธิปัตย์
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
สุจิตต์ วงษ์เทศ
แก้บน กร่อนจากคำว่าแก้สินบน เมื่อต้องการสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จตามต้องการก็ติดสินบนอำนาจเหนือธรรมชาติ เช่น ผี เทวดา ฯลฯ ครั้นได้สิ่งนั้นตามปรารถนาแล้วก็ต้องเอาสินบนที่สัญญาว่าจะให้ไปเซ่นวักถวาย อย่างนี้เรียกแก้สินบน แล้วกร่อนเหลือเป็นแก้บน
รูปที่เอามาลงประกอบได้จากไทยโพสต์ (หน้า 1 ฉบับวันจันทร์ที่ 14 สิงหาคม 2549) มีบรรยายใต้ภาพว่าสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์รำแก้บนต่อหน้ารูปปั้นแม่พระธรณีของพรรคประชาธิปัตย์ แสดงว่าติดสินบนเอาไว้ว่าตัวเองจะรำถวาย เมื่อสำเร็จแล้วต้องแก้บน โดยตัวเองรำถวาย
คนแต่ก่อนมักติดสินบนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีทั่วไปทั้งผี พุทธ พราหมณ์ ตามหมู่บ้านหรือชุมชนนั้นๆ ทำให้ต่อมาเกิดมีละครเร่หรือลิเกเร่รับแก้บนให้ไปตามชุมชนหมู่บ้าน แต่ในกรุงเทพฯมีสถานที่ประจำตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 คือที่ศาลหลักเมือง ตรงสนามหลวง
ศาลหลักเมืองเคยเป็นศูนย์กลางของการแก้บนราว 100 ปี ต่อมาถูกพระพรหมแย่งลูกค้าไปแก้บนกันที่ศาลพระพรหม ตรงสี่แยกราชประสงค์ สืบจนทุกวันนี้ และยากที่ศาลหลักเมืองจะแย่งคืน
คุณอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯกรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ ควรปรึกษาคุณพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รองผู้ว่าฯ หาช่องทางให้ศาลหลักเมืองมีชีวิตชีวาเหมือนแต่ก่อนหรือใกล้เคียงก็ได้ โดยร่วมมือกับกองการทหารผ่านศึก ทำบริเวณรอบศาลให้เป็นแหล่งเรียนรู้กรุงเทพฯศึกษา ความเป็นมาของกรุงเทพฯและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของเมืองตามประเพณีโบราณดึกดำบรรพ์ แล้วมีรำแก้บนกับละครแก้บนเป็นประจำหมุนเวียนไป จะช่วยให้คนเรามีจิตวิญญาณผ่องใสขึ้น แล้วได้ความรู้พร้อมๆกันไป
ลิเก มหรสพกรุงรัตนโกสินทร์
มีกำเนิดกรุงเทพฯ
ลิเก หรือ ยี่เก เป็นการแสดง"ลูกผสม"รวมเข้าด้วยกัน จากการละเล่นหลายๆอย่างของสามัญชนชาวสยามในกรุงรัตนโกสินทร์ มีพัฒนาการจากการละเล่นในพิธีกรรมทางศาสนาอิสลามของกลุ่มชนมุสลิม เรียกการละเล่นด้วยคำพื้นเมืองมลายูที่รับจากอาหรับ-เปอร์เซียว่าดิเกร์ ผสมเข้ากับการละเล่นดั้งเดิมของชาวสยามที่มีเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว เรียกชื่อด้วยภาษาปากว่า ลิเก
เริ่มมีครั้งแรกในกรุงเทพฯ สมัยรัชกาลที่ 5 ราว พ.ศ. 2440 ที่ตรอกพระยาเพชร ชานกำแพงพระนคร ตรงป้อมมหากาฬ ริมคลองโอ่งอ่าง (หรือคลองรอบเมืองสมัยรัชกาลที่ 1) มีลักษณะเฉพาะ คือ
ชุดลิเก ประดับประดาแพรวพราวตามใจชอบแล้วใส่ถุงเท้ายาวสีขาว เรียกกันติดปากว่า"ชุดลิเก"
ออกแขก เสมือนไหว้ครู เพราะได้แบบอย่างจาก"แขก"มุสลิม และ
ร้องรานิเกลิง ทำนองร้องด้นอย่างเสรีที่สร้างสรรค์ขึ้นใหม่โดยเฉพาะ ต้องมีปี่พาทย์รับเมื่อถึงกลอนลงหรือกลอนส่งของแต่ละบทแต่ละตอนตามที่กำหนด ชื่อรานิเกลิงเป็นภาษาปากจากคำมอญ แล้วกลายมาจนหาเค้าเดิมไม่พบ
ประชาชนต้องมาก่อน
ประเทศต้องพัฒนาใหม่
"ประเทศไทยจะเป็นแบบอย่างของประเทศพัฒนาใหม่ หากพรรคประชา ธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาล" ข้อความยกมานี้เป็นถ้อยคำบอกกล่าวของคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (โพสต์ TODAY หน้า A6 ฉบับวันพุธที่ 9 สิงหาคม 2549)
เชื่อได้หรือไม่ได้ ต้องเหลียวหลังดูไปในประวัติศาสตร์ที่พรรคประชาธิปัตย์เคยเป็นรัฐบาล โดยเฉพาะคราวหลังสุดที่มีท่านชวน หลีกภัย เป็นนายกฯ และคุณอภิสิทธิ์ก็ร่วมเป็นรัฐบาลด้วย ว่ามีวี่แววแนวโน้มอย่างไร? พัฒนาใหม่หรือพัฒนาเก่า?
คงต้องขอคำอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า"พัฒนาใหม่"ของพรรคประชาธิปัตย์คืออย่างไร? เป็นอย่างเดียวกับข้อความอมตะว่า"ทันสมัย แต่ไม่พัฒนา"หรือเปล่า? เพราะดูจากสิ่งที่แสดงออกล้วนมีแนวโน้มอย่างนั้น คือยึดมั่นอนุรักษนิยมแนวจารีตล้าหลังและยังตกอยู่ในกรอบของ"ข้าอาณานิคม" มีตัวอย่างให้เห็นในวิธีบริหารกรุงเทพมหานคร(กทม.) ที่ยังภักดีต่อ"เจ้าอาณานิคม"ยุคล่าเมืองขึ้น
ประเทศพัฒนาใหม่ต้องทันสมัยอย่างมีพัฒนาการทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจการเมืองและสังคมวัฒนธรรม ไม่ใช่กระโดดข้ามขั้นโสโครกอย่างทุนนิยมสามานย์ของรัฐบาลปัจจุบัน
ตรงนี้พรรคประชาธิปัตย์มีบุญเก่าเป็น"ทุนทางวัฒนธรรม"รองรับงามหรู น่าเสียดายที่ขาดคณะทำงานอย่างลุ่มลึกและอย่างต่อเนื่อง ที่พยายามทำอยู่บ้างก็เป็นไปอย่างเสียมิได้ ทั้งฉาบฉวย ผิวเผิน เลเพลาดพาด หาแก่นสารจริงจังไม่ได้ เลยไม่ต่างจากระบอบทักษิณ
ข้อบกพร่องในอดีตนับแต่หลัง พ.ศ. 2500 แล้วเริ่มมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับแรกที่ทุ่มเทงมงายกับเศรษฐกิจเพื่อ"ส่งออก"ด้านเดียว โดยตัดขาดพัฒนาการทางสังคมวัฒนธรรม ส่งผลให้เกิดระบอบทักษิณในทุนนิยมสามานย์จนป่นปี้เห็นชัดๆอยู่แล้ว พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นรัฐบาลก่อนทักษิณก็มีส่วนผลักดันให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นด้วย เพราะไม่ได้จริงใจและจริงจังต่อการวางรากฐานทางสังคมวัฒนธรรม เห็นได้จากระบบการศึกษาล้าหลัง-คลั่งชาติ โดยที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้คิดแก้ไขอะไรแม่แต่น้อย
ที่เขียนบอกมานี้มิใช่ไม่ชอบ เพียงแต่ยังไม่เชื่อ จะเปลี่ยนใจเชื่อได้ก็ต่อเมื่อแสดงออกให้เห็นชัดเจนจริงจังกว่าที่ลอยชายอยู่ขณะนี้ ขอแนะนำให้เร่งแสดงฝีมือผ่านการบริหารจัดการงาน กทม. ในเร็ววัน จะได้ช่วยกันป่าวร้องให้เปลี่ยนใจเชื่อว่าประชาชนต้องมาก่อนจริงๆ เพื่อสร้างสรรค์ประเทศ"ต้อง"พัฒนาใหม่
หน้า 24
Create Date : 22 สิงหาคม 2549 |
Last Update : 22 สิงหาคม 2549 11:28:23 น. |
|
1 comments
|
Counter : 737 Pageviews. |
|
|
|
โดย: merf1970 วันที่: 22 สิงหาคม 2549 เวลา:17:00:36 น. |
|
|
|
| |
|
|
ผมว่ามันไม่ถูกต้องเสียที่เดียวนะครับ
ผมคนหนึ่งครับที่เชื่อในสิ่งที่เห็นและเป็นอยู่ต่อหน้า
ในเมื่อตอนนี้มันไม่ดี ก็ควรต้องมองหาสิ่งที่คิดว่ามันน่าจะดีกว่าปัจจุบัน ..
เมื่อเปลี่ยนแล้ว ถ้ายังไม่ดีอีก ก็ต้องมองหาตัวเลือกใหม่อีก ..
ไม่ลองไม่รู้ครับ