Welcome to my blog
3 วัน 2 คืน ปีนัง สีสันมรดกโลกบนดินแดนไข่มุกมาเลย์ (ตอนที่ 1: เมืองเก่าจอร์จทาวน์)

 
สถานที่ท่องเที่ยว : เมืองเก่าจอร์จทาวน์ รัฐปีนัง, Malaysia
พิกัด GPS : 5° 24' 52.28

ถ้าพูดถึงเมืองเก่ามรดกโลกในประเทศแถบอาเซียน หลายคนอาจจะนึกถึง สุโขทัย หรืออยุธยา รวมทั้งเมืองมรดกโลกในประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ว่าจะเป็น ฮอยอันของเวียดนาม, เสียมราฐของกัมพูชา หรือ หลวงพระบางของลาว กัน แต่สำหรับประเทศมาเลเซียนั้น ที่นี่ก็มีเมืองเก่าที่เป็นมรดกโลก และที่เป็นที่เชิดหน้าชูตาอยู่ด้วยกันถึง 2 แห่ง นั่นก็คือ มะละกา (Malacca) และ ปีนัง (Penang) 

สำหรับมะละกานั้น ผมเคยรีวิวการเดินทางของผมที่เมืองนี้ไปแล้ว ดังนั้น ในรีวิวชุดนี้ ผมเลยจะขอมารีวิวอีกหนึ่งเมืองมรดกโลกของประเทศมาเลเซีย นั่นก็คือ ปีนัง (Penang) ครับ โดยการเดินทางของผมในทริปนี้ ผมใช้เวลาในช่วงวันหยุดเดือนกรกฎาคม 2565 เป็นระยะเวลาสั้นๆ 3 วัน 2 คืนบนเกาะเล็กๆแห่งนี้ ซึ่งระยะเวลาแค่นั้นก็มากพอที่จะเก็บไฮไลท์สำคัญๆในเมืองเก่ามรดกโลกแห่งนี้ได้เกือบทั้งหมด โดยผมจะมารีวิวทั้งข้อมูลการเดินทาง สถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก รวมทั้งทริคต่างๆในการท่องเที่ยวที่ปีนังโดยละเอียด หวังว่าจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่วางแผนจะไปเที่ยวปีนัง แต่มีเวลาน้อยแบบผมนะครับ

รู้จักกับปีนัง (Penang)

ปีนังเป็น 1 ใน 13 รัฐของประเทศมาเลเซียครับ ซึ่งรัฐนี้ประกอบไปด้วยพื้นที่ 2 ส่วนหลักๆด้วยกัน นั่นก็คือ ส่วนที่เป็นเกาะ เรียกว่า เกาะปีนัง (Pulau Penang) กับส่วนที่อยู่บนแผ่นดิน ติดกับรัฐเคดาห์ (Kedah) เรียกว่า สมารังไพร (Seberang Perai) โดยรัฐนี้จะมีเมืองหลวงของรัฐชื่อว่า จอร์จทาวน์ (Georgetown) ครับ
 
 
ปีนังถือเป็นอีกหนึ่งเมืองประวัติศาสตร์ครับ บริเวณตัวเมืองเก่าของจอร์จทาวน์จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้ นอกจากนี้ ประวัติศาสตร์ของรัฐนี้ก็ยังเกี่ยวข้องกับประเทศไทยอีกด้วย กล่าวคือ ในสมัยรัชกาลที่ 1 ปีนังยังเป็นเพียงเกาะเล็กๆที่เป็นส่วนหนึ่งของ รัฐสุลต่านเคดาห์ (Kedah Sultanate) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ เมืองไทรบุรี ซึ่งในสมัยนั้นเป็นเมืองประเทศราชของสยามในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์

ต่อมา กัปตันฟรานซิส ไลท์ (Francis Light) หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ พระราชกปิตัน ได้เข้าเจรจากับสุลต่านแห่งรัฐเคดาห์เพื่อขอเช่าเกาะปีนังไปตั้งเป็นสถานีการค้าของอังกฤษ สุลต่านจึงอนุญาตเพราะต้องการให้อังกฤษมาคานอำนาจกับสยาม ปีนังจึงกลายเป็นอาณานิคมแห่งแรกของอังกฤษบนคาบสมุทรมลายู ในขณะเดียวกับ ฝ่ายไทยก็ถือว่า เหตุการณ์นี้ถือเป็น การเสียดินแดน ครั้งแรกในประวัติศาสตร์ยุครัตนโกสินทร์ เพราะถือว่าในเวลานั้น ไทรบุรีเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ปีนังจึงถือเป็นส่วนหนึ่งของสยามด้วย
 

ในยุคที่อังกฤษปกครองปีนัง ปีนังก็ได้พัฒนาขึ้นจนเจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองการค้า และเป็นประตูสู่ช่องแคบมะละกา ตัวเมืองจอร์จทาวน์ซึ่งเป็นเมืองหลวงก็มีการสร้างอาคาร และสถานที่ทางประวัติศาสตร์มากมายตามแบบตะวันตก จนได้รับสมญานามว่าเป็น ไข่มุกแห่งตะวันออก และต่อมาเมื่อมาเลเซียได้รับเอกราช ปีนังก็ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียมาจนถึงปัจจุบัน


 

 
การเดินทางเข้าสู่ปีนัง

1. จากกรุงเทพ

วิธีการเดินทางเข้าสู่ปีนังที่สะดวกที่สุด เร็วที่สุด แต่เสียค่าใช้จ่ายมากที่สุดก็คือ เครื่องบินครับ ปัจจุบัน (สิงหาคม 2565) มีสายการบินแอร์เอเชีย ซึ่งบินออกจากสนามบินดอนเมือง และสายการบินไทยสไมล์ ซี่งบินออกจากสนามบินสุวรรณภูมิ ทำการบินระหว่างกรุงเทพกับปีนัง โดยค่าตั๋วไปกลับ ราคาจะอยู่ที่ 3,000 ถึง 7,000 บาท ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่จอง และเวลาบินครับ


นอกจากนี้ อีกวิธีที่นิยมไม่แพ้กันคือ การเดินทางโดยรถไฟ จริงๆสมัยก่อนมีรถไฟจากกรุงเทพไปยัง สถานีรถไฟบัตเตอร์เวิร์ท (Butturworth train station) โดยตรงเลย แต่ปัจจุบันยกเลิกไปแล้วครับ ดังนั้นทางเลือกเดียวที่มีก็คือ นั่งรถไฟไปลงที่สถานีรถไฟหาดใหญ่ แล้วค่อยเดินทางต่อด้วยวิธีต่างๆตามที่ผมจะอธิบายในข้อ 2 ครับ

2. จากหาดใหญ่

การเดินทางจากหาดใหญ่ไปปีนังมีหลายวิธีครับ ถ้าเอาสะดวกที่สุดก็คือ รถตู้ ราคาจะอยูที่ 600บาท  (อัพเดทสิงหาคม 2565) จองตั๋วได้ที่นี่ครับ https://th.buson.me/busbooking

นอกจากนั้น อีกวิธีที่นิยมไม่แพ้กันคือ รถไฟครับ แต่อันดับแรกเราต้องเดินทางจากหาดใหญ่เพื่อไปยังด่านที่ปาดังเบซาร์ จากนั้นค่อยนั่งรถไฟจาก สถานีรถไฟปาดังเบซาร์ (Padang Besar) ไปยัง สถานีรถไฟบัตเตอร์เวิร์ท (Butturworth) โดยค่ารถไฟจะอยู่ที่ประมาณ 11 ริงกิต หรือประมาณ 90 บาทครับ

 

เมื่อมาถึงที่สถานีรถไฟบัตเตอร์เวิร์ท เนื่องจากตัวสถานีรถไฟไม่ได้อยู่บนเกาะปีนังซี่งเป็นย่านที่มีแหล่งท่องเที่ยว เราจึงต้องนั่งเรือเฟอร์รี่ต่อไปอีก โดยค่าเรือเฟอร์รี่จะอยู่ที่ 1.2 ริงกิต หรือประมาณ 10 บาทครับ

3. จากเมืองอื่นของประเทศมาเลเซีย

มาเลเซียเป็นเมืองที่มีระบบคมนาคมค่อนข้างดีครับ จากเมืองหลักของมาเลเซียตะวันตก (ฝั่งที่ติดกับภาคใต้ของไทย) แทบทุกเมืองมีรถบัส หรือรถตู้มาที่ปีนังเกือบทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีรถไฟจากกัวลาลัมเปอร์ อีโปห์ หรือยะโฮร์บาห์รูมายังสถานีรถไฟบัตเตอร์เวิร์ทอีกด้วยครับ (แต่จากบางเมือง อาจจะต้องต่อรถไฟมากกว่า 1 ครั้ง)

อีกวิธีที่แนะนำคือ เครื่องบินครับ เนื่องจากมาเลเซียเป็นประเทศที่ค่าตั๋วเครื่องบินถูกมาก และมีสายการบินต้นทุนต่ำหลายสายให้บริการ เช่น Air Asia Malaysia, Firefly, Batik air  ซึ่งจากสนามบินในเมืองหลักของมาเลเซียเกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น กัวลาลัมเปอร์ (KLIA/KLIA2), ยะโฮร์บาห์รู, ลังกาวี, โกตาบารู, โกตากินาบาลู และกูชิง มีเที่ยวบินมาลงที่ปีนังครับ

เที่ยวช่วงไหนดี

ปีนังเป็นเมืองที่อยู่ในเขตร้อนครับ อากาศเลยมีแค่ 2 แบบคือ ร้อนกับฝน ช่วงที่ฝนตกเยอะที่สุด คือช่วงเดือนกันยายนถึงตุลาคม นอกนั้นเที่ยวได้หมดครับ

ผมขอแนะนำอย่างหนึ่งสำหรับใครที่จะวางแผนมาเที่ยวปีนังครับ เนื่องจากปีนังเป็นเกาะที่อยู่ในเขตร้อน ทำให้ในช่วงตอนกลางวัน แดดจะร้อนมาก โดยเฉพาะในช่วงตอนเทีี่ยงถึงบ่าย แนะนำว่า ใครวางแผนจะมาเที่ยวที่นี่ ให้แพลนเวลาในช่วงบ่ายไว้ในที่ร่ม เช่น ตามคาเฟ่ พิพิธภัณฑ์ หรือห้างนะครับ อย่าออกมาเดินกลางแดด เดี๋ยวผิวไหม้ (เตือนแล้วนะ!)
 
ตั๋วเข้าชมสถานที่ต่างๆในปีนัง

ปีนังมีสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆอีกมากมาย  ไม่ว่าจะเป็น The Habitat Penang Hill, The Top Komtar, The Top Boutique Aquarium หรือ Entopia ซื่งแต่ละที่ ถ้าซื้อตั๋วแยกจะมีค่าเข้าชมที่แพงพอสมควร แต่ทั้งหมดนี้มันมีตั๋วรวม ซึ่งสามารถซื้อได้ผ่าน klook ครับ โดยเราสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าชม 2, 3 หรือ 4 สถานที่ ตามลิสต์ด้านล่างนี้เลยครับ



วิธีการใช้ก็คือ อันดับแรกเราต้องโหลดแอพ klook เข้ามาในมือถือก่อน จากนั้นก็ซื้อตั๋วรวมตัวนี้ตามลิงค์นี้

 https://www.klook.com/th/activity/69925-klook-pass-penang-attraction-pass/?spm=BookingDetail.ActivityCard&clickId=801657f956
 
เมื่อซื้อเสร็จแล้ว เราจะได้อีเมลล์ยืนยันการซื้อตั๋วรวมอันนี้ ซึ่งเราจะสามารถกดเลือกสถานที่ และวันเวลาที่เราต้องการเข้าชมได้ พอกดเลือกแล้ว ทาง klook ก็จะส่ง voucher ซึ่งจะมี QR code สำหรับใช้แลกตั๋วสำหรับเข้าชมสถานที่นั้นๆครับ

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองไปยังรัฐปีนัง ด้วยสายการบินไทยแอร์เอเชีย (FD323)
  • จากสนามบิน นั่งรถเมล์ แล้วเดินต่อไปยังที่พัก / เช็คอินเข้าที่พัก (Sweet cilli boutique hotel)
  • ช่วงบ่าย เดินเที่ยวในย่านเมืองเก่าจอร์จทาวน์, ถ่ายรูปกับสตรีทอาร์ต, ชมเมืองเก่า, หาของกิน โดยเดินจาก Chew Jetty ไปยังป้อมคอร์นวาลิส (Fort Cornwallis)
วันที่สอง
  • ตื่นแต่เช้าไปชมพระอาทิตย์ขึ้นบนปีนังฮิลล์ (Penang Hill)
  • เที่ยวชมสถานที่ต่างๆบนปีนังฮิลล์ ได้แก่ มัสยิด วัดแขก รวมทั้งเส้นทางศึกษาธรรมชาติ (The Habitat Penang Hill)
  • ลงจากปีนังฮิลล์ แล้วนั่งรถต่อไปยังวัดเก็กลกสี่ (Kek Lok si temple)
  • เที่ยวชมวัดเก็กลกสี่
  • เดินทางกลับเข้าเมืองจอร์จทาวน์/ พักผ่อน/ หาอาหารสตรีทฟู้ดทาน
วันที่สาม
  • เที่ยวชมคฤหาสน์เปอรานากัน (Penang Peranakan Mansion)
  • เดินเที่ยวรอเวลาขึ้นเครื่องกลับที่ The Top Komtar
  • ขึ้นเครื่องกลับไทยด้วยสายการบิน Thai Air Asia (FD322)

ที่พักที่ปีนัง

ทริปนี้ตลอด 2 คืน เราพักที่ Sweet Cilli Boutique Hotel ครับ ที่นี่เป็นโรงแรมที่เอาตึกเก่ามาปรับปรุงเป็นบูติกโฮเทล ข้อดีคือ ตกแต่งสวย มีความเก่าแต่คลาสสิค ให้เราได้บรรยากาศของการมานอนในย่านเมืองเก่ามรดกโลก ที่สำคัญคือ ทำเลดีมาก สามารถเดินไปเที่ยวสถานที่ต่างๆในเขตเมืองเก่าได้เกือบทั้งหมด และใกล้ๆมีแหล่งของกินค่อนข้างเยอะ แต่ข้อเสียคือ ห้องแคบมากครับ แต่อันนี้ก็เข้าใจได้ เพราะด้วยสภาพโรงแรม การปรับปรุงหรือการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างตึกเก่าที่เป็นมรดกโลกคงทำได้ลำบาก

 

ผมว่าที่นี่เหมาะกับคนที่ชอบของเก่า ชอบมาเที่ยวแบบเอาบรรยากาศความเป็นมรดกโลก แต่ไม่เน้นความสะดวกสบายมากนัก ถ้าใครชอบความสะดวกสบาย ห้องกว้างๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกเยอะๆ ที่นี่คงไม่เหมาะครับ
 



ผมจองที่พักนี้ 2 คืนในราคาคืนละ 1200 บาท สำหรับห้องที่นอนได้คนเดียว ซึ่งผมว่าราคาอาจจะแรงไปสักนิด แต่ถ้าคิดซะว่ามาเอาบรรยากาศ ผมว่าก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่ครับ

ปล. การนอนค้างคืนที่ย่านเมืองเก่าจอร์จทาวน์จะมีค่าธรรมเนียมการค้างคืนคนละ 2 ริงกิตต่อคืนด้วยครับ ผมนอน 2 คืนก็จ่ายไป 4 ริงกิต หรือประมาณ 32 บาทครับ

วันที่หนึ่ง

 
สำหรับในทริปนี้เราออกเดินทางจากกรุงเทพ บินมายังปีนังด้วยสายการบิน Air Asia ครับ โดยจะออกเดินทางจากดอนเมืองแต่เช้า ไปถึงที่ปีนังตอนสายๆ ตามเวลาที่อยู่ด้านล่างนี้เลยครับ
 
สนามบินปีนังห่างจากย่านเมืองเก่าประมาณ 18 กิโลเมตร ซึ่งจากสนามบินจะมีรถเมล์สาย 401 และ 102 ไปยังตึก Komtar ใจกลางเมืองจอร์จทาวน์ ค่ารถแค่ 2.7 ริงกิต หรือประมาณ 23 บาทเท่านั้นครับ

ใครจะเดินทางด้วยวิธีนี้ เตรียมเหรียญมาให้พอดีด้วยนะครับ แต่ถ้าไม่มีจ่ายธนบัตร 1 ริงกิต 3 ใบก็ได้ แต่เค้าไม่ทอนนะ


จากตึก Komtar เราก็ลากกระเป๋ากลางแดดร้อนๆ ไปที่โรงแรมของเรา ซึ่งอยู่ห่างออกไป 750 เมตร


ที่พักของเราอยู่ใน ย่านเมืองเก่าจอร์จทาวน์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐปีนัง ซึ่งเราสามารถเดินเท้าชมเมืองได้ครับ เนื่องจากที่เที่ยวต่างๆอยู่ระยะทางไม่ไกลเท่าไหร่ (ไม่เกิน 3 กิโลเมตร) 

เมื่อเราเก็บของเสร็จ เราก็ไปหาอะไรทานแถวนั้น แล้วก็ไปนั่งตรงคาเฟ่ใกล้ๆ รอแดดร่มลมตก ก็ได้เวลาเดินเที่ยวครับ

 

คาเฟ่ที่เราไปนั่งชื่อว่า The Kazan ครับ อยู่ใกล้ๆกับที่พักเราเลย สิ่งที่อร่อยที่สุดของคาเฟ่นี้คือ ขนมปังชีสยืด ครับ ใครมาปีนัง แนะนำให้มาทานกันนะ
 

พอแดดร่มลมตก ผมก็เดินเที่ยวบนตามเส้นทางในย่านเมืองเก่าจอร์จทาวน์ครับ

แผนที่ข้างล่างนี้เป็นเส้นทางที่ผมเดินเที่ยวนะครับ อาจจะไม่ใช่เส้นทางที่ดีที่สุด แต่เป็นเส้นทางที่เก็บสถานที่ๆผมสนใจในย่านเมืองเก่าจอร์จทาวน์ได้ทั้งหมด ใช้เวลาเดิน+พัก+ถ่ายรูปเล่น ประมาณ 3-4 ชั่วโมง รวมระยะทางทั้งหมด 2.3 กิโลเมตรครับ

 

เส้นทางที่ผมเดิน เริ่มจาก หมู่บ้านท่าเทียบเรือชาวประมง (Chew Jetty) จากนั้นข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามเพื่อเข้า ถนนอาร์เมเนียน (Armenian street) ซึ่งเป็นถนนเส้นทางที่มีสตรีทอาร์ต ของขึ้นชื่อของเมืองจอร์จทาวน์ จากนั้นเดินเลี้ยวตรง วัดเชียะกงสี (Cheah Kongsi Temple) ผ่านถนนมัสยิดกปิตันเกลิง (Jalan Masjid Kapitan Keling) ซึ่งเป็นถนนสายวัฒนธรรมที่ศาสนาพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์-ฮินดูมาอยู่รวมกันได้บนถนนเส้นเดียว ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของปีนังที่เป็นสังคมพหุวัฒนธรรม เดินไปอีกนิด จะถึงทางเดินริมทะเล ที่ใกล้ๆจะมี ศาลาว่าการเมืองปีนัง (Penang City Hall) ซึ่งเป็นตึกเก่าตั้งแต่สมัยที่ปีนังยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ รวมทั้ง ป้อมคอร์นวาลิส (Fort Cornwallis) และ หอนาฬิกาอเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินีวิกตอเรีย (Queen Victoria Memorial Clock tower)  ก่อนจะเดินกลับที่พัก

หมู่บ้านท่าเทียบเรือชาวประมง (Chew Jetty) เป็นที่แรกที่เรามาเยือนในทริปปีนัง เพราะอยู่ตรงข้ามกับ Jetty Food court ซึ่งเราฝากท้องไว้สำหรับมื้อกลางวันครับ ที่นี่เป็นท่าเทียบเรือของตระกูล Chew 
 
 

สมัยก่อนคนมาเลย์เชื้อสายจีนที่อพยพมายังปีนัง มักจะทำอาชีพประมง และอยู่รวมกันเป็นตระกูลครับ คนจีนที่นี่ส่วนใหญ่อพยพมาจาก เมืองฝูโจว (Fuzhou ) แถบมณฑลฝูเจี้ยน และถ้าใครมีแซ่ไหน ก็จะไปอาศัยอยู่กับคนแซ่นั้น คล้ายๆกับคนไทยเชื้อสายจีนสมัยก่อน ทีนี้พอบางตระกูลมีจำนวนคนเยอะๆ ก็จะสร้างเป็นหมู่บ้าน และมีท่าเทียบเรือ ซึ่งในปัจจุบัน มีท่าเทียบเรือลักษณะนี้อยู่ด้วยกัน 6 ท่า แต่ที่ท่าเรือนี้ เป็นท่าที่ทางชุมชนทำการปรับปรุงให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว


ด้านในจะมีร้านค้าต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นของที่ระลึก รวมทั้งคาเฟ่ และร้านขนม
 
 
 

เหม็นความรัก


ที่นี่มีสตรีทอาร์ตด้วยครับ ดูน่ารักดี

 

ที่ท่าเรือนี้จะมีศาลเจ้าประจำชุมชนอยู่ 2 แห่งครับ เป็น ศาลเจ้าแม่ทับทิม ซึ่งเป็นเทพเจ้าที่คนเชื้อสายจีนทั่วทั้งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ความเคารพนับถือ เพราะเชื่อว่า จะทำให้การเดินเรือปลอดภัย และช่วยปกปักรักษาชาวจีนโพ้นทะเลที่ต้องอพยพมาอยู่ไกลบ้านไกลเมืองครับ

 

 

ปลายสุดจะเป็นที่นั่งชิลล์ๆ มองวิวทะเล ซึ่งเราจะเห็น สะพานปีนัง (Penang Bridge) ซึ่งเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างเกาะปีนังกับส่วนแผ่นดินของประเทศมาเลเซีย สะพานนี้เป็นสะพานที่ยาวที่สุดเป็นอันดับสองของมาเลเซีย และยาวเป็นอันดับห้าของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยระยะทางถึง 8.4 กิโลเมตร


ถ้าพูดถึงปีนัง สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงก็คงเป็น สตรีทอาร์ต (Street art) กัน แม้ส่วนตัวผมไม่ได้อินกับสตรีทอาร์ตมากนัก แต่ไหนๆเดินผ่านมาที่ถนนเส้นนี้ก็ของแวะดูซะหน่อย เพราะอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือที่เราเพิ่งเที่ยวมา

จริงๆแล้ว สตรีทอาร์ตที่ปีนังเพิ่งมีมาเมื่อปี 2012 นี่เอง เกิดจากศิลปินชาวเอสโตเนียที่ชื่อว่า Ernest Zacharevic ที่มาช่วยวาดสตรีทอาร์ตให้กับเมืองนี้ ตอนแรกก็มีอยู่แค่ 6 ภาพ แต่ทำไปทำมา สตรีทอาร์ตนี่แหละก็เป็นที่โด่งดังของเมืองนี้ จนกลายมาเป็นสัญลักษณ์ของปีนัง ทำให้ในปัจจุบันปีนังมีสตรีทอาร์ตอยู่มากมายทั่วทั้งเมือง และหลายๆเมืองในเอเชียตะวันอออกเฉียงใต้ เช่น ภูเก็ต สงขลา เบตง ก็หยิบเอาไอเดียนี้ไปทำ จนเป็นที่โด่งดังขึ้นมาเช่นเดียวกับปีนังครับ

 
 
 

 
 

บริเวณถนนอาร์เมเนียน จะมีมัสยิดของชาวมลายู และใกล้ๆกันนั้น ก็มี วัดจีนของตระกูลแยพ (Yap temple) ซึ่งถือเป็นลักษณะเฉพาะของปีนัง และหลายๆเมืองของประเทศมาเลเซีย ที่หลากศาสนาสามารถมาอยู่ร่วมกันได้ในที่เดียวกัน ได้อย่างสันติ
 
 

เดินไปซักพัก หมดแรง เพราะอากาศที่นี่ร้อนเหลือเกิน ขอแวะกินขนมหวานก่อนดีกว่า ที่ปีนังจะมีขนมที่เรียกว่า ไอซ์บอล (Ice ball) ที่คล้ายๆน้ำแข็งใสเป็นก้อนกลมๆ ข้างในเป็นไอศกรีม เหมาะสำหรับคลายร้อนครับ ไอซ์บอลมีให้เลือกหลายรสชาติ หลากสีนะ แต่วันนี้ผมขอทาน Rainbow Ice ball ที่เป็นสีรุ้ง เหมาะสำหรับวันอากาศร้อนๆแบบนี้ กินเสร็จ ฟิน มีแรงเดินเที่ยวต่อล่ะ
 

ที่ต่อมาคือ มัสยิดกปิตันเกลิง (Kapitan Keling Mosque) ซึ่งสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 19 โดยชาวมุสลิมเชื้อสายอินเดีย ด้วยศิลปะที่ผสมผสานทั้งแบบตะวันออกกลาง มัวร์ และโมกุล


เดินไปจากมัสยิดอีกนิดเดียว จะเป็นย่านของคนอินเดียที่นับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ที่นี่เลยมีสิ่งที่คนไทยเรียกว่า วัดแขก นั่นก็คือ วัดพระศรีมารีอัมมัน (Sri Mariamman temple) หรือพูดให้ง่ายที่สุดก็คือ วัดนี้เป็นที่บูชา พระแม่อุมาเทวี ซึ่งเป็นชายาของพระศิวะ
 

ที่เมืองเก่าจอร์จทาวน์ยังมี ศาลเจ้าแม่กวนอิม (Goddess of Mercy temple) เนื่องจากคนจีนคือ กลุ่มคนที่มีจำนวนมากเป็นอันดับสองในรัฐปีนัง และเป็นอันดับหนึ่งในเมืองจอร์จทาวน์ครับ สำหรับศาลเจ้านี้ ถือเป็นวัดจีนที่เก่าแก่ที่สุดในปีนัง สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1728 โดยชาวจีนฮกเกี้ยน ซึ่งตอนนั้นอังกฤษยังไม่มาปกครองปีนังเลย

 
 

โบสถ์เซนต์จอร์จ (St. George Church) โบสถ์นี้สร้างขึ้นในปี 1818 ซึ่งในเวลานั้นอังกฤษได้เข้ามาทำการปกครองปีนังแล้ว ผู้ปกครองชาวอังกฤษเลยต้องการสร้างศาสนสถานขึ้นเพื่อประกอบศาสนกิจในศาสนาคริสต์นิกายแองกลิกัน ซึ่งเป็นนิกายของอังกฤษครับ

โบสถ์นี้สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างนีโอคลาสสิค จอร์เจียน และปัลลาดิโอ ถือเป็นโบสถ์คริสต์นิกายแองกลิกันที่เก่าแก่ที่สุดในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


ศาลาว่าการรัฐปีนัง (Penang City Hall) สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1903 ในยุคที่ปีนังยังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางการบริหารเกาะปีนัง ที่สมัยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของ อาณานิคมช่องแคบ (Straits settlement) ซึ่งเป็นอีกหน่วยการปกครองของอังกฤษที่ใช้ปกครองปีนัง ร่วมกับสิงคโปร์ และเมืองชายทะเลอีกหลายแห่งของประเทศมาเลเซีย

ปัจจุบัน อาคารนี้ถูกปรับปรุงเพื่อใช้เป็นสภาของรัฐปีนังครับ


ใกล้ๆกับศาลาว่าการรัฐ ยังมี ศาลาว่าการเมืองปีนัง (Penang Town Hall) เพื่อใช้เป็นศูนย์กลางการบริหารเมืองจอร์จทาวน์ในอดีต สิ่งทึ่น่าสนใจคือ อาคารนี้ยังเคยเป็นที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง แอนนากับพระเจ้ากรุงสยาม (Anna and the king) ฉบับเมื่อปี 1999 อีกด้วยครับ


จากศาลาว่าการเมือง เราจะเจอกับ ทางเดินริมน้ำ (The Esplanade) ซึ่งเป็นทางเดินเลียบชายทะเลตั้งแต่ศาลาว่าการเมืองไปจนถึงป้อมคอร์นวาลิส (Fort Cornwalis) ครับ ตรงนี้มีความสำคัญในแง่ประวัติศาสตร์ เพราะเป็นบริเวณที่ กัปตันฟรานซิส ไลท์ (Francis Right) ได้มาขึ้นฝั่งที่ปีนังเป็นครั้งแรก จนถึงทุกวันนี้ บริเวณนี้ก็ยังเป็นท่าเรือที่มีเรือขนส่งสินค้า และเรือเดินสมุทรมาจอดขนส่งผู้โดยสารอยู่เสมอ

 

บริเวณทางเดินนี้จะมี อนุสรณ์สถานรำลึกถึงผู้สูญเสียชาวปีนังจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง (The cenotaph) ด้วยครับ เพราะในช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นอังกฤษยังปกครองปีนังอยู่ ทางอังกฤษจึงมีการนำเอาชาวปีนังไปร่วมรบด้วย โดยอนุสรณ์นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงการสูญเสียในสงครามครั้งนั้น บริเวณทางเดินริมน้ำ (The Esplanade)

ต่อมาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง อนุสรณ์นี้ถูกระเบิดจากกองทัพญี่ปุ่นจนได้รับความเสียหายทั้งหมด จนต้องมีการสร้างขึ้นใหม่ทดแทนในปี 1948

 

ที่สุดท้ายคือ ป้อมคอร์นวาลิส (Fort Cornwalis) ป้อมนี้สร้างขึ้นหลังจากที่กัปตันฟรานซิส ไลท์ ได้เข้าเจรจากับสุลต่านไทรบุรี และทางสุลต่านได้ทการยกปีนังให้เป็นส่วนหนึ่งของ บริษัท อินเดียตะวันออก ของอังกฤษแล้ว

ในช่วงแรกป้อมนี้ยังไม่ได้เป็นแบบนี้ครับ จนกระทั่งเกิด สงครามนโปเลียน (Napoleonic war) ขึ้นในทวีปยุโรป ทางอังกฤษเลยกังวลว่า จะเสียปีนังไปให้กับชาติตะวันตกชาติอื่น เลยมีการปรับปรุงป้อม ให้มีโครงสร้างที่มั่นคงแข็งแรงมากขึ้น มาจนเป็นแบบที่เห็นในปัจจุบัน

 
 

 

ชื่อป้อมนี้ตั้งตามชื่อของ ชาร์ล คอร์นวาลิส (Charles Cornwalis) ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการแคว้นเบงกอลของอังกฤษในช่วงที่ป้อมนี้ถูกสร้าง (ในช่วงแรกที่ปีนังเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ทางอังกฤษจัดให้ปีนังอยู่ภายใต้การปกครองของบริษัทอินเดียตะวันออก ซึ่งมีศูนย์กลางการบริหารอยู่ที่อินเดีย)


ภายในป้อมมีรูปปั้นของ กัปตันฟรานซิส ไลท์ (Francis Right) พ่อค้าชาวอังกฤษที่คนไทยเรียกว่า พระราชกปิตัน เนื่องจากมีบทบาทสำคัญในการค้าขายระหว่างอังกฤษกับสยามมาตั้งแต่ยุคกรุงธนบุรี ต่อเนื่องมาถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แลเป็นกำลังสำคัญในการเข้าเจรจากับสุลต่านไทรบุรี เพื่อขอเช่าเกาะปีนังได้เป็นผลสำเร็จ จึงได้รับแต่งตั้งจากรัฐบาลอังกฤษ ให้เป็นผู้ว่าราชการเกาะปีนัง และตั้งชื่อเกาะปีนังใหม่ว่า เกาะปริ้นซ์ออฟเวลส์ (Prince of Wales Islands) 
 

ป้อมนี้มีค่าเข้าชมครับ อยู่ที่ 2 ริงกิต ส่วนตัว ผมมองว่าข้างในไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่ ถ้าใครมาเที่ยวแล้ว ไม่มีเวลาไม่ต้องเข้าก็ได้

ด้านหน้าของป้อมยังมี หอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Queen Victoria Memorial Clock tower) สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระราชินีนาถวิกตอเรีย กษัตริย์ของอังกฤษ ในวโรกาสที่ทรงครองราชย์ครบ 25 ปี


ทั้งหมดนี้ก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมดตามเส้นทางมรดกโลกในย่านเมืองเก่าจอร์จทาวน์ครับ จริงๆที่ย่านนี้ยังมีสถานที่ทางประวัติศาสตร์อื่นๆอีกเยอะ ถ้าให้เล่าทั้งหมดคงได้อีกหลายตอน แต่ผมขอจบแค่เท่านี้ดีกว่าครับ เอาเป็นว่า ถ้าใครที่สนใจเรื่องราวของเมืองนี้จริงๆ คงต้องมาสัมผัสและเรียนรู้ด้วยตัวเองครับ เพราะแต่ละสถานที่ ก็มีเรื่องราวของตัวเอง ซึ่งในทริปปีนังสั้นๆของผม คงไม่มีเวลาที่จะศึกษามากขนาดนั้น ถ้าใครไปมาแล้วก็ฝากมารีวิวต่อด้วยนะครับ

สำหรับการเที่ยวปีนังในวันแรกก็จบเพียงเท่านี้ครับ ในตอนหน้า ผมจะพาขึ้นเขาไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ปีนังฮิลล์ รวมทั้งไปเที่ยววัดจีนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนด้วย ฝากติดตามกันต่อด้วยนะครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง



Create Date : 20 สิงหาคม 2565
Last Update : 30 เมษายน 2567 21:44:08 น. 2 comments
Counter : 13814 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณนายแว่นขยันเที่ยว


 
It's great to be here with everyone; I've learned a lot from what you share, and I just wanted to say thanks because the information and knowledge that can be found here are very helpful to me.[run 3](https://runaway3d.io)


โดย: line IP: 14.170.248.17 วันที่: 23 พฤศจิกายน 2565 เวลา:16:45:22 น.  

 
ํYW. Thanks for visiting my blog :)


โดย: เจ้าสำนักคันฉ่องวารี วันที่: 9 ธันวาคม 2565 เวลา:21:48:49 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.