Welcome to my blog
4 วัน 3 คืน กูชิง เมืองหลวงแห่งรัฐซาราวัก (ตอนที่ 3: ยามเย็นริมแม่น้ำซาราวัก)


สถานที่ท่องเที่ยว : พระราชวังราชาซาราวัก (The Astana), เมืองกูชิง, Malaysia
พิกัด GPS : 1° 33' 48.23

วันที่สอง (ต่อ)

หลังจากในตอนที่แล้ว ผมได้พาทุกคนไปรู้จักกับดินแดนซาราวักที่ พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมชาวเกาะบอร์เนียว (Borneo Culture Museum) กันไปแล้ว หลังจากเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์เสร็จ ผมก็เดินออกมาจากพิพิธภัณฑ์ เพื่อที่จะตรงไปยัง Landmark สำคัญของเมืองกูชิง นั่นก็คือ อาคารสภาบริหารรัฐซาราวัก (Sarawak state legislative assembly) ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำซาราวักครับ

 

 
ระหว่างทางก็มีสิ่งที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นโบสถ์คริสต์ของเมือง วัดซิกข์ รวมไปถึงมัสยิดสีชมพูที่ดูโดดเด่นเป็นสง่า แสดงถึงความเป็นสังคมพหุวัฒนธรรมของเมืองนี้
 



 
มัสยิดสีชมพู หรือมัสยิดประจำรัฐซาราวักหลังเก่า (Old state city mosque) เป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1847 โดยชาวบรูไนที่ถูกส่งมาดูแลแถบเมืองกูชิง ก่อนที่เซอร์เจมส์ บรูคจะเข้ามาปกครองรัฐซาราวัก ทำให้มัสยิดนี้ถือเป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง

 เดิมทีมัสยิดนี้ถูกสร้างด้วยไม้ครับ แต่ในปี 1960 ทางการรัฐซาราวักได้ทำการรื้อมัสยิดหลังเดิมทิ้ง และสร้างมัสยิดหลังใหม่ทิ่เป็นสีชมพูแบบในทุกวันนี้ โดยมัสยิดนี้ได้ทำหน้าที่เป็นมัสยิดประจำรัฐซาราวักจนถึงปี 1990 ก่อนที่ทางการรัฐซาราวักจะสร้างมัสยิดประจำรัฐแห่งใหม่ที่ใหญ่กว่า อีกแห่งนอกเขตเมืองครับ

 



 
ใกล้ๆกับมัสยิด จะเป็นชุมชนของชาวอินเดียที่นับถือศาสนาอิสลาม ใกล้ๆกันนั้นจะมีย่านการค้าของชาวอินเดีย ที่เรียกว่า India street
 

 
เท่าที่ดู ย่านนี้จะขายพวกเสื้อผ้าซะเยอะครับ
 

 
เช่นเดียวกับหลายเมืองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อมีย่านของคนอินเดีย ก็ต้องมีไชน่าทาวน์ โดยไชน่าทาวน์ของเมืองกูชิง จะตั้งอยู่บน Carpenter street ซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยวยอดนิยมของเมืองกูชิง


ในเมื่อเป็นย่านคนจีน ก็ต้องมีวัดจีนครับ วัดนี้มีชื่อว่า วัดเฮียงเตียงเซียงตี้ (Hiang Tiang Siang Ti Temple) เป็นวัดของชาวแต้จิ๋วที่อพยพมายังเมืองกูชิงตั้งแต่เมื่อ 100 กว่าปีที่แล้ว ถือเป็นวัดเก่าแก่เพราะสร้างมาตั้งแต่ปี 1863 ต่อมาวัดก็ถูกไฟไหม้ จึงมีสร้างใหม่ขึ้นมาอีก ส่วนวัดที่เห็นในปัจจุบัน มาจากการบูรณะในปี 1968


 
ระหว่างเดินไปบน Carpenter street จะมีตรอกเล็กๆ เรียกว่า Jalan Bishopgate ที่มองตรงไปจะเจอกับ อาคารสภาบริหารรัฐซาราวัก (Sarawak state legislative assembly) ครับ
 

 
ระหว่างทางก็มีพวกสตรีทอาร์ตคล้ายๆกับที่ปีนัง 
 

 







 
คำว่า Kuching ในภาษามลายูแปลว่าแมวครับ เราจึงได้เห็นสตรีทอาร์ตรูปแมวอยู่บนถนนเส้นนี้ด้วย
 

 
วัดต่อมาที่เราเดินมาเจอคือ วัดฮงซานตี้ (Hong San Ti Temple) สร้างมาตั้งแต่ปี 1848 วัดนี้เป็นวัดของชาวจีนฮกเกี้ยน ซึ่งเป็นคนจีนกลุ่มใหญ่ที่สุดในเมืองกูชิง
 



 
มากันที่วัดที่สามครับ วัดนี้มีชื่อว่า วัดตั่วเป๊กกง (Tua Pek Kong) เป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองกูชิงครับ ไม่มีบันทึกว่า สร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ตอนปี 1839 ก็มีวัดนี้แล้ว และวัดก็ผ่านเหตุการณ์สำคัญต่างๆในประวัติศาสตร์ของเมืองกูชิง ทั้งไฟไหม้ครั้งใหญ่ และสงครามโลกครั้งที่สอง โดยการบูรณะวัดครั้งล่าสุด เกิดขึ้นในปี 1964
 

 
เนื่องจากความเก่าแก่ วัดจึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ แม้จะมีการตัดถนนใหม่ แต่ก็ไม่สามารถย้ายตัววัดออกไปได้ เพราะถือเป็นโบราณสถาน ทางการของรัฐซาราวักก็เลยตัดสินใจเก็บวัดไว้ โดยให้วัดตั้งอยู่กลางวงเวียน ใครจะไปไหว้พระที่วัดนี้ก็ต้องข้ามถนนไปครับ (อันนี้แปลกดี)
 

มาดูกันที่ฝั่งทางเดินริมน้ำกันบ้าง เริ่มที่ อนุสาวรีย์แมว (Cat statue) ที่ใหญ่ที่สุดของเมืองกูชิง ซึ่งตั้งอยู่ตรงข้ามกับ โรงแรมแกรนด์มาร์เกอเรตต้า (Grand Margherita) 
 

 
ตรงข้ามกับแม่น้ำจะเป็น ป้อมมาร์กาเรตต้า (Fort Margherita) ที่ถูกสร้างขึ้นในปี 1879 สมัย ราชาชาร์ล บรูค (Charles Brooke) ซึ่งเป็นราชาขาวคนที่สองของราชวงศ์บรูค โดยชื่อของป้อมมาจากชื่อภรรยาของชาร์ล บรูคครับ
 



 
เดินไปอีกนิดจะเจอแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองนี้ นั่นก็คือ อาคารสภาบริหารรัฐซาราวัก (New Sarawak State Legislative Assembly Building) ซื่งตั้งอยู่คนละฝั่งกับตัวเมืองกูชิง เชื่อมด้วยสะพานแขวนรูปร่างแปลกตา
 

อาคารนี้สร้างเสร็จตั้งแต่ปี 2009 ด้วยเงิน 296.5 ล้านริงกิต หรือคิดเป็นเงินไทยก็ตกประมาณ 2 พันกว่าล้านบาท ซึ่งถูกกว่ารัฐสภาบ้านเราเยอะเลย แถมออกแบบได้สวยกว่าด้วย
 

 

 
ฝั่งเดียวกับอาคารสภา จะเป็น พระราชวังแห่งราชอาณาจักรซาราวัก (The Astana) ซึ่งเคยเป็นที่ประทับของกษัตริย์ราชาขาวแห่งราชวงศ์บรูค ตัวพระราชวังสร้างขึ้นในสมัยชาร์ล บรูค เช่นเดียวกับป้อมมาร์กาเรตต้า แต่ปัจจุบัน พระราชวังถูกใช้เป็นศูนย์กลางการบริหารรัฐซาราวัก โดยเป็นที่อยู่ของ ผู้ว่าราชการรัฐซาราวัก (Yang di-Puerta Negeri of Sarawak) ครับ
 

ฝั่งตรงข้ามกับพระราชวังคือ มัสยิดโดมสีฟ้า หรือ มัสยิดอินเดีย (Indian Mosque) เพราะใกล้ๆกันนั้นจะเป็นย่านที่อยู่ของชาวอินเดียที่เราเพิ่งเดินผ่านมานั่นเอง
 

 
ในช่วงเย็นจะมีเรือนำเที่ยวชมความงามริมฝั่งแม่น้ำซาราวักด้วยครับ มีทั้งแบบเรือพายของชาวบ้าน และเรือลำใหญ่ๆ แต่ราคาก็แรงใช้ได้เหมือนกัน ผมเลยไม่ได้ใช้บริการ
 



 
มาดูของกินกันบ้างครับ ที่เกาะบอร์เนียว รวมทั้งรัฐซาราวัก จะมีเค้กขึ้นชื่อชนิดหนึ่ง เรียกว่า Kek Lapis เป็นเค้กหลายชั้น แต่ละชั้นมีสีสันต่างๆกัน เค้กนี้มีขายอยู่ทั่วไปบริเวณถนนตรงข้ามทางเดินริมแม่น้ำซาราวักครับ
 

หลังพระอาทิตย์ตกดิน จะมีการประดับไฟบริเวณทางเดินริมฝั่งแม่น้ำด้วยครับ
 




นอกจากการประดับไฟแล้ว เวลาประมาณ 2 ทุ่มครึ่ง จะมีการแสดงโชว์น้ำพุพร้อมแสงสีเสียง ซึ่งถือว่ายิ่งใหญ่ อลังการ และขายความเป็นซาราวักเป็นอย่างมาก ถือเป็นการส่งท้ายทริปในวันที่สองได้ดีมากครับ
 

หลังดูโชว์เสร็จ เราก็เรียก grab กลับโรงแรมไปพักผ่อน รีวิวในตอนที่ 3 ก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ

ในตอนหน้า ผมจะพาทุกคนซื้อทัวร์เพื่อไปชม หมู่บ้านชนเผ่าบนเกาะบอร์เนียว และ ชมลิงอุรังอุตังที่อาศัยอยู่ตามธรรมชาติ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ถือเป็นประสบการณ์ที่ค่อนข้างแปลกใหม่สำหรับคนไทยอย่างผม เลยอยากจะมาบอกเล่าให้ฟังกัน ยังไงฝากติดตามบล็อกของผมต่อในตอนหน้าด้วยนะครับ

 



Create Date : 16 ธันวาคม 2565
Last Update : 30 เมษายน 2567 22:18:20 น. 1 comments
Counter : 1142 Pageviews.

ผู้โหวตบล็อกนี้...
คุณnewyorknurse, คุณสายหมอกและก้อนเมฆ


 
กว่าจะหากล่องเม้นท์ได้ ต้องคลิ๊กตรง 0 comments

รูปแบบบล๊อกแตกต่างกับคนอื่น ทำเอา งง..ครับ

ดูภาพกับคำบรรยาย ภาพสวยเยอะเห็นภูมิประเทศแปลกตาน่าไปเที่ยวครับ


โดย: ไวน์กับสายน้ำ วันที่: 18 ธันวาคม 2565 เวลา:6:43:09 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.