Welcome to my blog
3 วัน 2 คืน มะละกา เมืองท่ามรดกโลกบนเส้นทางการค้ายุคโบราณ (ตอนที่ 1)


สถานที่ท่องเที่ยว : มัสยิดลอยน้ำแห่งช่องแคบมะละกา (The Malacca Straits Mosque), Malaysia
พิกัด GPS : 2° 10' 45.78" N 102° 14' 56.32" E


ถ้าพูดถึงคำว่า ช่องแคบมะละกา (Malacca straits) หลายคนอาจจะเคยได้ยินคำนี้กันมาบ้างนะครับ ทั้งจากวิชาภูมิศาสตร์สมัยมัธยม หรือบางคนก็อาจจะเคยได้ยินตามข่าว ทั้งเรื่องโจรสลัดในช่องแคบมะละกา หรือในฐานะที่เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของโลก

ในบล็อกนี้ ผมจะพาไปรู้จักกับเมืองเก่าแก่แห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมฝั่งช่องแคบแห่งนี้ ที่นี่เป็นเมืองท่าที่สำคัญที่สุดในยุคโบราณ ด้วยที่ตั้งที่มีความสำคัญในทางภูมิศาสตร์ ทำให้ในอดีตเมืองนี้เป็นชุมทางการค้าระหว่างสองซีกโลกทั้งฝั่งเอเชียและยุโรป จนมีคำกล่าวที่ว่า ใครก็ตามที่สามารถยึดครองเมืองแห่งนี้ได้ จะสามารถคุมการค้าระหว่างสองซีกโลกได้ทั้งหมด เมืองนี้จึงตกเป็นอาณานิคมของทั้งโปรตุเกส ฮอลันดา อังกฤษ และญี่ปุ่น ผมกำลังพูดถึง เมืองมะละกา (Malacca city) ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นเมืองมรดกโลก และเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศมาเลเซียครับ

ทริปนี้ผมไปมาเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม – 1 กันยายน 2562 เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน โดยใช้เวลาทั้งหมดอยู่ในเมืองมะละกาเพียงเมืองเดียว ทำให้มีโอกาสได้เที่ยวเจาะลึกในเมืองนี้ จึงอยากขอแชร์ความรู้และประสบการณ์การท่องเที่ยวที่เมืองนี้ให้กับผู้บล็อกทุกคน หวังว่าจะเป็นประโยชน์บ้างนะครับ

รู้จักกับมะละกา (Malacca)

ประเทศมาเลเซียเป็นประเทศสหพันธรัฐ ประกอบด้วย 13 รัฐ ซึ่งมะละกาก็เป็น 1 ใน 13 รัฐของประเทศมาเลเซีย และถือเป็นรัฐที่มีขนาดเล็กที่สุดของประเทศมาเลเซียรองจากรัฐปีนัง

ความน่าสนใจของรัฐนี้ก็คงเป็นเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ครับ มะละกาถูกก่อตั้งขึ้นโดยเจ้าชายปรเมศวรที่ลี้ภัยทางการเมืองมาจากเมืองปาเล็มบังที่อยู่ทางตอนใต้ของเกาะสุมาตรา เนื่องจากพระองค์เล็งเห็นว่า มะละกามีชัยภูมิที่ดีสามารถใช้เป็นจุดแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่าง 2 ซีกโลก รวมทั้งมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรที่เป็นสินค้าที่สำคัญของโลกในเวลานั้น เช่น ของป่า เครื่องเทศ ดีบุก และ เครื่องประดับต่างๆ พระองค์จึงตัดสินใจสร้างเมืองที่บริเวณนี้ ทำให้ในอีก 200 ปีต่อมามะละกาก็ได้เจริญรุ่งเรืองขึ้น และแผ่ขยายอำนาจไปทั่วคาบสมุทรมลายู เกาะสุมาตรา และสิงคโปร์
 

อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่มะละกาตั้งอยู่ในบริเวณที่มีความสำคัญทั้งทางภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจยุคโบราณ เมืองนี้จึงเป็นที่หมายปองของชาติมหาอำนาจต่างๆ ในช่วงแรกมะละกามีสถานะเป็นรัฐบรรณาการของจีน ทำให้รอดพ้นจากการรุกรานของอาณาจักรมัชปาหิต และอาณาจักรอยุธยา จนกระทั่งในปี พ.ศ.2054 มะละกาก็ตกเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส เป็นระยะเวลามากกว่า 100 ปี โบราณสถานที่สำคัญในยุคนี้ก็คือ ซากโบสถ์เซนต์ปอล (St.Paul church) และป้อมปราการ A’ Famosa 
 



ต่อมามะละกาได้ถูกยึดครองโดยเนเธอร์แลนด์ในปี พ.ศ.2184 เป็นเวลาเกือบ 200 ปี ในช่วงเวลาดังกล่าว ชาวดัตช์ได้สร้าง โบสถ์แดงมะละกา (Christ Church) ซึ่งกลายเป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญของเมืองนี้มาจนถึงปัจจุบัน
 

ในปี พ.ศ.2367 อังกฤษก็ได้เข้ามายึดครองมะละกา แต่ก็ไม่ได้มีอิทธิพลทางสถาปัตยกรรมอะไรกับเมืองนี้มากนัก เนื่องจากอังกฤษให้ความสำคัญกับปีนังและสิงคโปร์มากกว่า นอกจากนี้มะละกายังเคยเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิญี่ปุ่นเป็นระยะเวลาสั้นๆในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองอีกด้วย

ชาวมาเลย์ถือว่า ประวัติศาสตร์ของมาเลเซียเริ่มต้นที่นี่จากยุคของเจ้าชายปรเมศวร มะละกาจึงถูกเลือกใช้เป็นสถานที่ประกาศเอกราชของประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันจึงมีตึกอนุสรณ์การประกาศเอกราชตั้งอยู่ใจกลางเมืองมะละกาอีกด้วยครับ

ในปี 2008 เมืองเก่ามะละกาได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกร่วมกับเมืองเก่าปีนัง ภายใต้ชื่อ Melaka and George Town, Historic cities of the Straits of Malacca ทำให้ปัจจุบันที่นี่กลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศมาเลเซีย

ผู้คนในมะละกาประกอบด้วยคนหลากเชื้อชาติ ทั้ง ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน, ชาวมาเลเซียเชื้อสายมลายู, ชาวเปอรานากัน ซึ่งเป็นลูกผสมระหว่างชาวจีน-มลายู (ในรูปด้านล่าง), ชาวอินเดีย และ ชาวมาเลเซียเชื้อสายโปรตุเกส ซึ่งอาศัยอยู่กันมาตั้งแต่สมัยที่มะละกายังเป็นอาณานิคมของโปรตุเกส

สำหรับเรื่องภาษา ใครพูดภาษาอังกฤษได้ สามารถเที่ยวเมืองนี้ได้อย่างสบายมาก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่ใช้ภาษาอังกฤษได้ในระดับที่ดีมาก นอกจากนี้ ถ้าใครพูดภาษาจีนได้ยิ่งได้เปรียบ เพราะที่นี่มีคนเชื้อสายจีนอยู่เยอะ โดยส่วนตัว ผมชอบเมืองนี้มากกว่าเมืองใหญ่อย่างกรุงกัวลาลัมเปอร์ เพราะผู้คนที่นี่เป็นมิตร ตามแบบฉบับของเมืองท่องเที่ยวครับ

แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง

  • ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองไปยังสนามบิน KLIA2 (AK891)
  • เดินทางจากสนามบิน KLIA2 ไปยังเมืองมะละกาด้วยรถบัส
  • เช็คอินเข้าที่พัก (Estadia hotel)
  • ใช้ grab เดินทางไปมัสยิดเซลัท (Selat mosque) / ชมพระอาทิตย์ตกดินริมฝั่งช่องแคบมะละกา
  • กลับเข้าเมือง/ พักผ่อน
วันที่สอง
  • เช้า: เที่ยวชมป้อม A’Famosa/ ซากโบสถ์เซนต์ปอล (St.Paul church ruins)/ พระราชวังสุลต่านมะละกา
  • ชิม Chicken rice ball ที่ร้าน Kedai kopi Chung Wah (อาหารขึ้นชื่อของเมืองมะละกา)
  • บ่าย: เที่ยวชมบริเวณรอบๆจัตุรัสดัตช์ (Dutch square) และพิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์มะละกา (Melaka Maritime museum)
  • พักเหนื่อยชิมลอดช่องที่ร้าน Qian Lao Ice café
  • เที่ยวชม street art เมืองมะละกา และโบสถ์ St.Francis Xavier
  • ล่องเรือ Melaka river cruise
  • เดินเล่นหาอาหารเย็นทานที่ถนนยองเกอร์ (Jonker street)
วันที่สาม
  • เดินชมบริเวณย่านถนนยองเกอร์ (Jonker street) ซึ่งมีสถานที่สำคัญทั้งมัสยิด Kampung kling, วัดฮินดู, วัดจีน Cheng Hun teng
  • ชมพิพิธภัณฑ์มรดกวัฒนธรรมบาบ๋ายาหยา (Baba and Ngonya heritage museum) และพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมมหาขันทีเจิ้งเหอ (Cheng Ho Cultural Muesum)
  • เดินทางไปสนามบิน KLIA2
  • ขึนเครื่องกลับไทย (AK888)
ที่พักที่มะละกา

ทริปนี้ตลอด 3 วัน 2 คืน ผมเลือกพักที่ Estadia hotel ซึ่งเป็นที่พักแบบบูติกโฮเทลใจกลางเมืองมะละกา ตั้งอยู่ใกล้กับแหล่งท่องเที่ยวและห้างสรรพสินค้า มีการตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์สไตล์เปอรานากัน นอกจากนี้ พนักงานที่นี่ยังเป็นมิตร ห้องพักสะอาด อาหารเช้าอร่อย โดยภาพรวมผมแนะนำที่นี่ครับ

ข้อเสียของที่พักนี้คือ ราคาอาจจะแพงไปซะหน่อย โดยผมจองผ่าน booking ได้ในราคาคืนละ 1,7XX บาท นอนได้ 2 คน ก็ตกคนละ 8XX บาทต่อคืนครับ

 


ใครสนใจที่พักที่นี่ สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่นะครับ https://www.estadiahotel.com/

วันที่หนึ่ง

ทริปนี้เริ่มต้นจากสนามบินดอนเมืองครับ ในครั้งนี้ ผมเลือกใช้บริการของสายการบิน Air Asia Malaysia เที่ยวบินที่ AK891 ออกเดินทางจากสนามบินดอนเมืองไปยัง ท่าอากาศยานนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur International Airport) terminal 2 หรือที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า KLIA2 นั่นเองครับ

มาเที่ยวมาเลเซียรอบนี้ตม.เข้มงวดกับคนไทยเยอะขึ้นมาก กว่าจะผ่านตม.ก็ปาไปเที่ยงกว่าแล้ว ผมเลยตัดสินใจทาน KFC ที่สนามบิน KLIA2 ซะหน่อย

พอทานเสร็จ เราก็มองหาป้ายคำว่า Bus ครับ ให้เราเดินไปตามทางที่ป้ายบอก เพื่อไปยังท่ารถบัสของสนามบินซึ่งอยู่ชั้นใต้ดิน เราจะเจอกับเคาน์เตอร์ขายตั๋วแบบนี้

รถบัสจากสนามบิน KLIA2 ไปยังเมืองมะละกามีอยู่ด้วยกัน 2 เจ้าคือ Transnasional และ Starmart ค่ารถจะอยู่ที่ 24.50 ริงกิต โดยเราสามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าได้ผ่านทางเว็บไซต์ www.easibook.com หรือ walk in เข้าไปซื้อตั๋วที่เคาน์เตอร์สนามบินก็ได้ครับ

Tip: ผมแนะนำว่า ให้ walk in เข้าไปซื้อจะดีกว่าครับ เพราะถ้าซื้อออนไลน์มันต้องเลือกรอบ และบางครั้งตม.ที่สนามบิน KLIA2 คิวยาวมาก ถ้าไปไม่ทันรถบัสรอบที่จองไว้ จะเสียเงินฟรีครับ (โดยปกติแล้ว รถบัสไม่ค่อยเต็มหรอก ยกเว้นว่าเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาวของประเทศมาเลเซีย)

รถบัสจากสนามบิน KLIA2 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่วโมงครับ รถสภาพดีมาก นั่งสบาย 

โดยปกติรถบัสจะเข้าไปจอดที่ Melaka Sentral ซึ่งเราจะต้องต่อรถแท็กซี่เข้าเมืองอีกทีหนึ่ง ยกเว้นรถบัสบางรอบจะเข้าไปจอดที่ Mahkota medical center ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองเก่าและแหล่งท่องเที่ยว (อันนี้ต้องลองถามคนขับดูเองนะครับว่า รถบัสจะเข้าเมืองหรือเปล่า)

รถบัสเราเข้าไปจอดที่ Melaka Sentral ดังนั้นจึงต้องเรียก Taxi เข้าเมืองอีกต่อหนึ่ง แต่ผมแนะนำให้กดเรียกรถจาก grab จะปลอดภัยกว่า โดยค่ารถจาก Melaka sentral เข้าเมืองจะอยู่ที่ประมาณ 10 ริงกิตครับ

Tip: ใครอยากประหยัดค่า Taxi สามารถใช้บริการรถเมล์ฟรีจาก Melaka sentral เข้าเมืองครับ แต่รอบรถมีน้อย ผมเลยตัดสินใจใช้เรียก grab สะดวกกว่า จะได้ประหยัดเวลาด้วย

ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงจาก Melaka sentral เราก็มาถึง Estadia hotel ซึ่งเป็นโรงแรมที่เราจะพัก 2 คืนที่เมืองมะละกาแห่งนี้ครับ

เมื่อเช็คอินแล้ว ก็ได้เวลาเที่ยวครับ สถานที่แรกที่ผมจะพาไปเยี่ยมชมก็คือ สถานที่สุด unseen ที่ยังไม่เห็นในไกด์บุ๊คเล่มไหน นั่นก็คือ มัสยิดแห่งช่องแคบมะละกา (The Malacca Straits Mosque) ซึ่งเป็นมัสยิดลอยน้ำตั้งอยู่ริมฝั่งทะเล

การเดินทางจากตัวเมืองไปยังมัสยิดก็ทำได้ง่ายๆครับ นั่นก็คือกดเรียก grab จากโรงแรมไปยังมัสยิดได้เลย ระยะทางจากตัวเมืองไปยังมัสยิดก็แค่ 3-4 กิโลเมตร ค่ารถอยู่ที่ 5 ริงกิต หรือประมาณ 40 กว่าบาทเท่านั้นเองครับ


มัสยิดแห่งช่องแคบมะละกา (The Melacca Straits Mosque) เป็นมัสยิดลอยน้ำที่ตั้งอยู่บน เกาะมะละกา (Malacca Island) ซึ่งเป็นเกาะที่ถูกถมขึ้นใหม่สำหรับใช้เป็นที่อยู่อาศัย ย่านธุรกิจ และสถานที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับนักท่องเที่ยวและชาวเมืองมะละกา

มัสยิดแห่งนี้เปิดตัวเมื่อปี 2006 ด้วยสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างสไตล์มาเลย์และตะวันออกกลาง ตัวมัสยิดถูกสร้างด้วยหินอ่อนสีขาวสวยงามตัดกับท้องทะเลสีฟ้า ไฮไลท์สำคัญของที่นี่คือ การมาชมมัสยิดในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ตกดิน ไปจนถึงช่วงพลบค่ำที่มัสยิดจะเปิดไฟสว่างไสวตัดกับเส้นขอบฟ้า



แม้ว่าจะไม่ใช่ชาวมุสลิมก็สามารถเข้าไปชมภายในมัสยิดแห่งนี้ได้ครับ แต่มีข้อแม้ว่า ต้องถอดรองเท้า และนักท่องเที่ยวหญิงจะต้องคลุมฮิญาบที่ทางมัสยิดเตรียมไว้ให้

ใกล้ๆกับมัสยิดจะมีป้ายให้เราถ่ายรูป เช็คอินว่าตอนนี้เราอยู่ริมฝั่ง ช่องแคบมะละกา (The Malacca straits) แล้ว


ช่องแคบมะละกา (The Malacca straits) เป็นช่องแคบระหว่างคาบสมุทรมลายูกับเกาะสุมาตรา 

ช่องแคบนี้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์เป็นอย่างมาก เพราะตั้งอยู่บนเส้นทางเดินเรือระหว่างยุโรปและอินเดีย กับ จีนและญี่ปุ่น ที่นี่จึงเป็นที่หมายปองของชาติมหาอำนาจต่างๆมาตั้งแต่อดีต และทำให้เมืองมะละกาต้องตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตกเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 400 ปี

ปัญหาอย่างหนึ่งของช่องแคบนี้ก็คงเป็นเรื่องราวของโจรสลัดที่คอยดักปล้นเรือสินค้า จริงๆปัญหานี้มีมานานมากกว่า 500 ปีแล้ว และปัจจุบันก็ยังคงมีปัญหานี้อยู่ จนต้องมีความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆในอาเซียนทั้งไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ในการปราบปรามโจรสลัดในแถบนี้ (ปัจจุบันปัญหานี้ เบาลงไปเยอะแล้ว)

หลังจากเที่ยวมัสยิดเสร็จ เราเรียก grab ต่อไปที่ Perkampungan Portugis ซึ่งเป็นย่านที่คนมะละกาเชื้อสายโปรตุเกสอาศัยอยู่รวมกัน ผู้คนที่บริเวณนี้ล้วนแล้วแต่ประกอบอาชีพเป็นชาวประมง ที่นี่จึงมีร้านอาหารซีฟู้ดในรูปแบบมลายู-โปรตุเกส

ร้านนี้เปิดทุกวันตั้งแต่ 17.30-23.30 แต่เนื่องจากร้านนี้อยู่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยว ผมจึงแนะนำให้เรียก grab ไปนะครับ

สำหรับรีวิวมะละกาในวันแรกก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ ในตอนหน้า ผมจะพาไปเดินเล่นในย่านเมืองเก่ามะละกากัน ที่นั่นมีทั้งสถาปัตยกรรมตั้งแต่ยุคที่มะละกายังเป็นอาณานิคมของโปรตุเกสและเนเธอร์แลนด์ ไปจนถึงพระราชวังสไตล์มลายูแท้ๆ เรื่องราวการเดินทางในทริปมะละกาของผมจะเป็นยังไง ฝากติดตามในตอนหน้าด้วยนะครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




Create Date : 08 ธันวาคม 2562
Last Update : 30 เมษายน 2567 21:24:24 น. 0 comments
Counter : 8729 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.