Welcome to my blog
4 วัน 3 คืน กูชิง เมืองหลวงแห่งรัฐซาราวัก (ตอนที่ 1: เดินทางสู่เมืองกูชิง)

 
สถานที่ท่องเที่ยว : อาคารสภาบริหารรัฐซาราวัก เมืองกูชิง (Kuching), Malaysia
พิกัด GPS : 1° 33' 32.88" N 110° 20' 42.30" E

สวัสดีครับ กลับมาพบกันอีกครั้งกับบล็อกรีวิวท่องเที่ยวของผมนะครับ สำหรับในรีวิวในชุดนี้ ผมจะพาทุกคนไปเที่ยวที่ประเทศเพื่อนบ้านของเรา นั่นก็คือ ประเทศมาเลเซีย ครับ

ถ้าพูดถึงประเทศมาเลเซีย คนส่วนใหญ่คงจะนึกถึงประเทศที่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศไทย ที่มีเมืองท่องเที่ยวฮิตๆอย่าง ปีนัง มะละกา หรือ กัวลาลัมเปอร์ แต่หลายคนมักจะลืมไปว่า จริงๆแล้ว ประเทศมาเลเซียไม่ได้มีแค่ส่วนที่ติดกับภาคใต้ของไทยเท่านั้น แต่ยังมี มาเลเซียตะวันออก (East Malaysia) ที่ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียวอยู่ด้วย ซึ่งผมจะมาเล่าการเดินทางของผมที่มาเลเซียฝั่งนี้ 

ก่อนอื่น ผมขอปูพื้นความรู้เกี่ยวกับประเทศมาเลเซียกันก่อนนครับ ประเทศมาเลเซียเป็นประเทศ สหพันธรัฐ (Federal state) นั่นหมายความว่า ภายในประเทศมาเลเซีย จะประกอบด้วยรัฐย่อยๆอีก 13 รัฐ ซึ่งแต่ละรัฐจะมีสุลต่าน (หรือผู้ว่าการรัฐ) และมีมุขมนตรีทำหน้าที่เป็นฝ่ายบริหารของรัฐ โดย 11 รัฐจะอยู่ฝั่งมาเลเซียตะวันตก (ปีนัง,มะละกา,กัวลาลัมเปอร์ อยู่ฝั่งนี้) ส่วนอีก 2 รัฐจะอยู่ฝั่งมาเลเซียตะวันออก นั่นก็คือ รัฐซาราวัก (Sarawak) และ รัฐซาบาห์ (Sabah)


สำหรับในรีวิวนี้ ผมจะพาไปเที่ยวกันที่รัฐซาราวัก ซึ่งมีเมืองหลวงของรัฐที่ชื่อว่า เมืองกูชิง (Kuching)  

จริงๆแล้วเมืองกูชิงก็ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของมาเลเซีย แม้ว่าจะไม่ได้โด่งดังเหมือนปีนัง มะละกา หรือกัวลาลัมเปอร์ก็ตาม แต่ก็มีชาวตะวันตก และชาวสิงคโปร์มาเที่ยวที่นี่อยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม สำหรับคนไทยแล้ว รัฐซาราวัก อาจจะยังไม่รู้จักกันซักเท่าไหร่ รีวิวในอินเตอร์เน็ตที่เป็นภาษาไทยก็พอมีอยู่บ้าง แต่น้อยเหลือเกิน ผมเลยจะของบอกเล่าเรื่องราว ประสบการณ์การเดินทางที่พบเจอในเมืองเล็กๆแห่งนี้ เผื่อเป็นข้อมูลสำหรับใครที่วางแผนจะมาที่กูชิงนะครับ


ทริปนี้เราเดินทางในช่วงเดือนกรกฎาคม 2565 โดยเรามีเวลาที่กูชิง 4 วัน 3 คืน แต่ในวันแรก และวันสุดท้ายเป็นการเดินทางแบบต่อเครื่อง ซึ่งใช้เวลาเต็มวัน ทริปนี้เราเลยมีเวลาอยู่ที่กูชิงทั้งสิ้นแค่ 2 วันเต็มๆ
 
รู้จักกับเมืองกูชิง (Kuching) และรัฐซาราวัก (Sarawak)

รัฐซาราวัก (Sarawak) ถือเป็นหนึ่งในสองรัฐของประเทศมาเลเซียที่ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว และเป็นรัฐที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของมาเลเซีย พื้นที่ส่วนใหญ่ของรัฐประกอบไปด้วยป่าดงดิบและภูเขา และมีประชากรค่อนข้างเบาบาง ทำให้การพัฒนาของรัฐนี้ในด้านโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ยังสู้มาเลเซียทางฝั่งตะวันตกไม่ได้ แต่ในอีกแง่หนึ่ง รัฐนี้ก็ยังคงอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ป่าไม้ ชายหาด ทะเล รวมทั้งยังมีการรักษาวัฒนธรรมของชาวจีนและชาวดายัค (กลุ่มชนพื้นเมืองดั้งเดิมบนเกาะบอร์เนียว) ไว้ได้เป็นอย่างดี กลายเป็นเสน่ห์ของรัฐนี้ที่ดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเยือนครับ

 

ในด้านประวัติศาสตร์ของรัฐนี้ก็น่าสนใจครับ เดิมทีในแถบซาราวัก เป็นพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่อาศัยอยู่ตามป่าเขา ซึ่งถูกเรียกรวมๆกันว่า ชาวดายัค (Dayak) ชนเผ่าเหล่านี้บางกลุ่มก็อาจจะเป็นมิตรต่อกัน มีการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกัน หรือบางครั้งอาจจะมีการรบราฆ่าฟันกันบ้าง แต่ชนเผ่าเหล่านี้ก็ไม่เคยรวมตัวก่อตั้งเป็นอาณาจักรใหญ่ได้เลย จนกระทั่งในศตวรรษที่ 15 ซาราวักก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของ จักรวรรดิบรูไน (Bruneian empire) แต่บรูไนก็ไม่ได้ปกครองที่นี่ได้อย่างเต็มที่ เนื่องด้วยสภาพภูมิประเทศที่ยากต่อการเข้าถึง ทำให้ชนเผ่าต่างๆก็อยู่กันแบบเดิม ตามวิถีชีวิตที่เคยปฏิบัติกันมา
 

 
จุดเปลี่ยนสำคัญของซาราวักก็คือ การเข้ามาของ เซอร์ เจมส์ บรูก (Sir James Brooke) ซึ่งเป็นพ่อค้าชาวอังกฤษที่ได้เข้ามาค้าขายในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (รวมทั้งไทย) ต่อมาเขาได้เข้าไปพัวพันกับการก่อกบฏของกลุ่มชนพื้นเมืองซาราวักต่อจักรวรรดิบรูไน โดยได้ช่วยทำการเจรจา และช่วยเหลือ ทำให้การก่อกบฏครั้งนี้สงบลง ด้วยเหตุนี้ ทางสุลต่านบรูไน จึงได้ตอบแทนด้วยการแต่งตั้งให้เจมส์ บรูคเป็น ราชาซาราวัก (Rajah Sarawak) หรือ ราชาผิวขาว (White Rajah) มีอำนาจในการปกครองพื้นที่แถบปากแม่น้ำซาราวัก ซึ่งต่อมาได้กลายเป็น เมืองกูชิง (Kuching) ศูนย์กลางการบริหารรัฐซาราวักมาจนกระทั่งถึงปัจจุบันครับ
 

ในช่วงที่เจมส์ บรูคได้ปกครองซาราวัก เค้าได้ทำการพัฒนารัฐซาราวักขึ้น ทั้งการพัฒนาบ้านเมือง การรวบรวมชนเผ่าต่างๆ และการขยายอาณาเขตไปเรื่อยๆ จนซาราวักมีขนาดใหญ่เท่าในปัจจุบัน และในที่สุดซาราวักก็ได้พัฒนากลายเป็น ราชอาณาจักรซาราวัก (Kingdom of Sarawak) ซึ่งเป็นประเทศเอกราช โดยมีเจมส์ บรูคเป็นกษัตริย์ปกครอง และมีการสืบราชสันตติวงศ์ของตำแหน่งราชาซาราวักต่อมาอีกถึง 6 คน รวมเป็นระยะเวลาถึง 110 ปี

อย่างไรก็ตาม ราชอาณาจักรซาราวักก็ได้สิ้นสุดลง เนื่องจากการรุกรานของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แม้ว่าหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่ญี่ปุ่นจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ฝ่ายราชาซาราวักในขณะนั้น ก็ตัดสินใจโอนซาราวักให้ไปอยู่ใต้การปกครองของอังกฤษ เพื่อแลกกับผลประโยชน์ส่วนตัว และต่อมาเมื่ออังกฤษได้ให้เอกราชกับมาเลเซียในปี 1957 แต่ซาราวักก็ไม่ได้ประกาศเอกราช พร้อมๆกับมาเลเซียส่วนอื่น แต่เข้าร่วมกับมาเลเซีย หลังจากนั้นอีก 6 ปี พร้อมๆกับรัฐซาบาห์

 

สิ่งที่น่าสนใจและผมรู้สึกจากการมาเยือนรัฐซาราวักในครั้งนี้ก็คือ ผมรู้สึกว่า คนซาราวักไม่ได้รู้สึกว่าตนเป็นคนมาเลเซีย เวลาเค้าแนะนำตัว เค้าจะบอกว่า ตนเป็น คนซาราวัก (Sarawakian) ไม่ใช่คนมาเลเซีย  

จริงๆแล้ว รัฐซาราวักประกอบไปด้วยชนเผ่าต่างๆไม่น้อยว่า 40 กลุ่มครับ แต่ในจำนวนนี้ไม่มีกลุ่มชาติพันธุ์ใดที่มีประชากรเกิน 30% เลย จึงอาจกล่าวได้ว่า รัฐนี้ไม่มีประชากรกลุ่มใดเป็นกลุ่มชาติพันธุ์หลัก แต่ประกอบกันขึ้นมาบนความหลากหลาย กลายเป็นสังคมพหุวัฒนธรรม


สำหรับที่เมืองกูชิงซึ่งเป็นเมืองหลวงของรัฐที่ผมไปเที่ยวในทริปนี้ ประชากรกลุ่มหลักคือ ชาวมลายูที่นับถือศาสนาอิสลาม และชาวจีนเชื้อสายฮกเกี้ยนที่นับถือศาสนาพุทธโดยมีสัดส่วนพอๆกัน รองลงมาเป็นชนพื้นเมืองของเกาะบอร์เนียวที่เรียกว่า ชาวดายัค (Dayak) ที่สามารถแบ่งแยกย่อยออกไปได้อีกหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็น ชาวอิบัน (Iban), ชาวบิดายุห์ (Bidayuh), ชาวเมลาเนา (Melanau) และ ชาวโอรังอูลู (Orang Ulu) เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาคริสต์ หรือนับถือภูตผี และบูชาธรรมชาติ นอกจากนั้น ยังมีชาวมาเลย์เชื้อสายอินเดีย ที่นับถือศาสนาฮินดู และศาสนาซิกข์ เรียกได้ว่า ที่นี่เป็นสังคมแห่งความหลากหลาย ทั้งด้านชาติพันธุ์ และศาสนา อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ของที่นี่พูดภาษาอังกฤษได้ในระดับที่ค่อนข้างดีครับ
 

เนื่องจากรัฐซาราวักรวมทั้งเมืองกูชิงตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นป่าดงดิบเขตร้อน อากาศที่นี่จึงมีแค่ 2 อย่างคือ ฝน กับร้อนครับ โดยช่วงที่มีฝนตกมากที่สุดคือ เดือนมกราคม และน้อยที่สุดคือเดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมาเที่ยวในช่วงในของปีก็ตาม ที่นี่มีโอกาสเจอฝนตกได้ตลอด ใครจะไปเที่ยวแนะนำให้เตรียมร่มหรือเสื้อกันฝนไปให้พร้อมนะครับ
 
แผนเที่ยว

วันที่หนึ่ง
  • เดินทางจากสนามบินดอนเมืองไปยังสนามบิน KLIA2 (AK891) เพื่อต่อเครื่องบินต่อไปยังเมืองกูชิง (AK5234)
  • เรียก grab จากสนามบิน ให้ไปส่งยังที่พักใจกลางเมืองกูชิง
  • เช็คอินเข้าที่พัก (Meritin Hotel)
วันที่สอง
  • เช้า: เยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมบอร์เนียว (Borneo culture museum)
  • บ่าย-เย็น: เดินเล่นชมสถานที่ต่างๆในเมืองกูชิงย่านใกล้ๆแม่น้ำซาราวัก
  • ค่ำ: ชมการแสดงริมฝั่งแม่น้ำซาราวัก
วันที่สาม
  • ซื้อทัวร์เต็มวันไปเที่ยวหมู่บ้านวัฒนธรรมซาราวัก (Sarawak cultural village) และชมลิงอุรังอุตังที่ศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าเซมังโกะห์ (Semanggoh wildlife centre)
วันที่สี่
  • เดินทางกลับกรุงเทพ โดยทำการเปลี่ยนเครื่องที่สนามบิน KLIA2 (AK5205 และ AK882)
ที่พักในเมืองกูชิง

ทริปนี้ตลอด 4 วัน 3 คืน เราพักที่ The Meritin Hotel ครับ แม้ว่าโรงแรมนี้ไม่ได้อยู่ในย่านริมแม่น้ำซาราวักซึ่งเป็นย่านท่องเที่ยวยอดนิยม แต่ก็อยู่ในระยะที่เราสามารถเดินไปได้อย่างสบายๆ นอกจากนี้ ข้อดีของที่นี่ก็คือ โรงแรมนี้ตั้งอยู่บนถนน Jalan Padungan ซึ่งเป็นถนนสายอาหารของเมืองนี้ ใกล้ๆกับที่พักมีร้านอาหารค่อนข้างเยอะ ไม่ว่าจะเป็นร้านติ่มซำ คาเฟ่ ร้านอาหารจีน และร้านขายอาหารท้องถิ่นของมาเลเซีย
 




ในส่วนของห้องพัก ถ้าเทียบกับราคาแล้วถือว่าคุ้มครับ ห้องค่อนข้างกว้าง แบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนค่อนข้างดี ห้องค่อนข้างใหม่และสะอาดครับ
 

ที่พักนี้ผมจองผ่านทาง agoda โดยราคา 3 คืน คิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ 3,178 บาทครับ

วันที่หนึ่ง

วันนี้เป็นวันแรกของทริปกูชิง รัฐซาราวักของผมนะครับ โดยทริปนี้เราเริ่มต้นจากสนามบินดอนเมือง ไปลงที่สนามบิน KLIA2 ในกรุงกัวลาลัมเปอร์ของประเทศมาเลเซีย เพื่อต่อเครื่องไปยังเมืองกูชิงที่อยู่ทางฝั่งมาเลเซียตะวันออกบนเกาะบอร์เนียว ใช้เวลาเดินทางรวมระยะเวลาที่ต่อเครื่องทั้งสิ้นประมาณ 6 ชั่วโมงครับ

 

สิ่งที่อยากเล่าก็คือ การผ่านตม.ของรัฐซาราวัก เนื่องจากรัฐซาราวักเป็นรัฐที่พิเศษกว่ารัฐอื่นๆของประเทศมาเลเซีย พูดให้เข้าใจง่ายๆคือ รัฐนี้เสมือนเป็นกึ่งๆเขตปกครองพิเศษของประเทศมาเลเซีย ดังนั้น ถ้าหากเราเดินทางจากประเทศไทย เราจะต้องผ่านตม.ถึง 2 รอบด้วยกัน รอบแรกเป็นการผ่านตม.สำหรับเข้าประเทศมาเลเซียตามปกติที่สนามบิน KLIA2 ส่วนอีกรอบคือ การผ่านตม.ของรัฐซาราวัก โดยเมื่อเราลงจากเครื่องบินที่สนามบินกูชิง เราต้องเดินไปช่องตรวจคนเข้าเมืองสำหรับคนต่างชาติ ที่อยู่ถัดจากช่องของคนมาเลเซียครับ (แม้แต่คนมาเลเซีย เวลาจะเดินทางเข้ารัฐนี้ ก็ต้องผ่านตม.เหมือนกัน)
 

อันนี้เป็นตราประทับบนพาสปอร์ตของผมนะครับ จะสังเกตว่า ข้างบนขวามือเป็นตราประทับทั่วไปของประเทศมาเลเซีย ส่วนข้างล่างเป็นตราประทับที่ ตม. ของรัฐซาราวัก
 

เช่นเดียวกับส่วนอื่นของประเทศมาเลเซีย รัฐซาราวักก็ให้ฟรีวีซ่า 30 วัน สำหรับคนไทย แต่อาจจะเป็นเพราะคนไทยมาที่นี่ค่อนข้างน้อย การผ่านตม.รัฐซาราวักของผม โดนถามค่อนข้างเยอะครับ เช่น มากี่วัน มาทำอะไร พักที่ไหน มีแผนไปเที่ยวไหนบ้าง ใครจะไปเที่ยวที่นี่ก็เตรียมตัวตอบคำถามไว้ดีๆนะครับ

เนื่องจาก ท่าอากาศยานนานาชาติกูชิง (Kuching International Airport) อยู่ห่างจากใจกลางเมืองกูชิงประมาณ 10 กิโลเมตร การเดินทางเข้าเมืองมีอยู่ด้วยกันหลายวิธี ได้แก่

1. รถเมล์  มีหลายสาย ได้แก่ 12A, 3A, 6, 8G, K13 และ 9 เป็นวิธีการที่ถูกที่สุด เหมาะสำหรับคนที่ต้องการประหยัด แต่ใครจะเดินทางด้วยวิธีนี้ ต้องเช็คกับทางที่พักอีกทีนะว่า สายไหนผ่านหน้าที่พัก ไม่งั้นต้องเดินค่อนข้างไกล

2. แท็กซี่ พอผ่านตม.ออกมา จะมีบูธขายคูปองแท็กซี่ ราคาอยู่ที่ 26 ริงกิต ส่งถึงที่พักเลยครับ

3. Grab ค่ารถจะอยู่ระหว่าง 9-23 ริงกิต (ผมได้ที่ราคา 12 ริงกิต) ถือว่าถูกกว่าแท็กซี่ และสะดวก เพราะส่งถึงที่พักเลย ผมเลยเลือกเดินทางด้วยวิธีนี้ครับ

 

เนื่องจากวันแรกเรามาถึงเย็น แถมเรายังไม่ได้ติดต่อเรื่องทัวร์ที่จะออกไปเที่ยวนอกเมือง ผมเลยใช้เวลาในวันแรก สำรวจย่านรอบๆที่พัก หาของกิน หาบริษัททัวร์

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเมืองนี้ก็คือ ที่เมืองกูชิงจะมี อนุสาวรีย์แมว วงเวียนแมว และ สตรีทอาร์ตรูปแมว อยู่เต็มไปหมด เพราะจริงๆแล้วคำว่า กูชิง ในภาษามลายู แปลว่า แมว ครับ เนื่องจาก สมัยก่อนบริเวณใกล้ๆเมืองนี้เป็นป่าที่มีแมวป่าอาศัยอยู่เยอะ คนท้องถิ่นเลยเรียกบริเวณนี้ ประมาณว่า เป็นดงแมวป่า จนเมื่อเซอร์เจมส์ บรูคเข้ามาสร้างเมืองหลวงของรัฐซาราวักขึ้นที่นี่ ก็เลยเรียกตามคนท้องถิ่น คำนี้เลยถูกเรียกมาจนถึงปัจจุบัน

 




ทั้งหมดนี้ก็เป็นการเดินทางในวันแรกของทริปกูชิงนะครับ สำหรับการเดินทางในวันต่อๆไป สามารถติดตามอ่านต่อตามลิงค์ที่อยู่ด้านล่างนี้เลย

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง



Create Date : 09 ธันวาคม 2565
Last Update : 30 เมษายน 2567 22:12:49 น. 2 comments
Counter : 2452 Pageviews.

 
ขอบคุณค่ะกำลังหาข้อมูลสำหรับ บอร์เนียวค่ะ


โดย: Kanlaya IP: 37.167.37.10 วันที่: 11 มิถุนายน 2566 เวลา:13:07:14 น.  

 
ยินดีครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ


โดย: เจ้าสำนักคันฉ่องวารี วันที่: 11 มิถุนายน 2566 เวลา:21:21:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.