Welcome to my blog
3 วัน 2 คืน มะละกา เมืองท่ามรดกโลกบนเส้นทางการค้ายุคโบราณ (ตอนที่ 2)

สถานที่ท่องเที่ยว : ซากโบสถ์เซนต์พอล เมืองมะละกา, Malaysia
พิกัด GPS : 2° 11' 39.72" N 102° 14' 58.11" E

วันที่สอง

วันนี้เป็นวันที่สองของทริปที่มะละกาครับ ผมใช้เวลาของวันที่สองทั้งวันเดินเล่นอยู่บริเวณที่เรียกว่า เมืองเก่ามะละกา (Melaka old town) ซึ่งมีประวัติศาสตร์ยาวนานย้อนกลับไปถึง 600 กว่าปี

เนื่องจาก บริเวณย่านเมืองเก่ามะละกามีขนาดพื้นที่ค่อนข้างเล็ก สามารถเดินถึงกันได้ทั้งหมด แต่ถ้าใครไม่อยากเดิน ก็จะมีสามล้อตกแต่งสวยงามแบบนี้ ให้เราเลือกใช้บริการครับ

ถ้าใครมาเที่ยวย่านเมืองเก่ามะละกาตอนค่ำๆ สามล้อพวกนี้ก็จะเปิดไฟ และเปิดเพลง เป็นเสน่ห์และสีสันของเมืองนี้

สถานที่ท่องเที่ยวในย่านเมืองเก่ามะละกา ได้แก่

1. พิพิธภัณฑ์พระราชวังสุลต่านมะละกา (Melaka Sultanate Palace Museum)

อย่างที่อธิบายไปในรีวิวตอนแรกนะครับ ประวัติศาสตร์ของมะละกา เริ่มต้นจากเมื่อปี พ.ศ.1944 ซึ่ง เจ้าชายปรเมศวร ทรงลี้ภัยมาจากเมืองปาเล็มบังบนเกาะสุมาตรา มาสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้น ณ เมืองมะละกาแห่งนี้ โดยในระยะแรกมะละกายังเป็นอาณาจักรที่นับถือศาสนาพุทธผสมพราหมณ์ จนเมื่อมะละกาเริ่มมีการติดต่อค้าขายกับชาวอาหรับ มะละกาก็ได้เปลี่ยนสถานะมาเป็น รัฐสุลต่าน ที่เป็นอาณาจักรอิสลามในเวลาต่อมา

เมื่อมีเมืองก็ต้องมีพระราชวังครับ เจ้าชายปรเมศวรได้สร้างพระราชวังสุลต่านมะละกาขึ้น ณ บริเวณย่านเมืองเก่ามะละกาแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม หลังการรุกรานของโปรตุเกสในปี พ.ศ.2054 พระราชวังก็ถูกโปรตุเกสเผาทำลายลง

เนื่องจากชาวมาเลเซียมีความภาคภูมิใจว่า มะละกาเป็นอาณาจักรแห่งแรกที่รวบรวมชาวมลายูทั้งหมดไว้ด้วยกัน ดังนั้น ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด นายกรัฐมนตรีมาเลเซียจึงสั่งการให้สร้างพระราชวังสุลต่านมะละกาขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวมลายู รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวของเมืองนี้ขึ้นในปี พ.ศ.2527 ดังนั้น พระราชวังที่เราเห็นอยู่นี้จึงเป็นของจำลองนะครับ

ค่าเข้าชม: 5 ริงกิต (สำหรับชาวต่างชาติ) เปิดตั้งแต่ 9.00-18.00 น.

ภายในพระราชวังจัดแสดงเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ เครื่องใช้ เครื่องแต่งกายต่างๆของสุลต่านมะละกา (ของจำลอง)





ในอดีตมะละกาเป็นเมืองที่มีการติดต่อทำการค้ากับชาติต่างๆทั้งจีน อินเดีย อาหรับ ชาติตะวันตก รวมทั้งชาวสยามจากอยุธยา ดังที่เห็นในรูปนี้ด้วยครับ

2. ซากโบสถ์เซนต์ปอล (Saint Paul’s church)

โบสถ์แห่งนี้อยู่บนเนินเขาถูกสร้างขึ้นโดยกัปตันเรือชาวโปรตุเกสที่ชื่อว่า ดูฮาเต้ โคเฮลโล (Duarte Coelho) สมัยที่เข้ามายึดครองเมืองมะละกาในปี พ.ศ.2064 ถือเป็นโบสถ์คริสต์ที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 

ตอนแรก โบสถ์นี้ใช้ชื่อว่า Nosa Senhora แต่ต่อมาชาวฮอลันดาได้เปลี่ยนชื่อเป็น โบสถ์เซนต์พอล (Saint Paul’s church) และได้ใช้โบสถ์นี้ในการฝังศพบุคคลสำคัญแทน

ความงดงามของศิลาหน้าหลุมศพ ตัวอักษรบนแผ่นหินเป็นภาษาดัตช์

บริเวณด้านหน้าของซากโบสถ์จะมีรูปปั้นของ นักบุญฟรานซิส ซาเวียร์ (St. Francis Xavier) ซึ่งเป็นนักบุญที่ทำการเผยแผ่ศาสนาคริสต์ไปยังหลายประเทศของเอเชียควบคู่ไปกับเส้นทางเดินเรือของชาวโปรตุเกสทั้งอินเดีย จีน ญี่ปุ่น รวมทั้งหมู่เกาะต่างๆของประเทศอินโดนีเซีย (ถ้าสังเกตบริเวณรูปปั้นดีๆ จะพบว่ามือขวาของท่านขาด เนื่องจากโดนต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้นล้มทับครับ)

3. ป้อม A’ Famosa

ป้อมแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดย นายพลอฟองโซ่ เดอ อาบูเกอร์เก้ (Alfonso de Albuquerque) ในปี พ.ศ.2055 มีความสูง 3 เมตร และมีหอคอยสังเกตการณ์สูงถึง 40 เมตร เพื่อต่อต้านการรุกรานจากต่างชาติ

ต่อมาในปี พ.ศ.2184 ฮอลันดาได้ทำสงครามกับโปรตุเกส และสามารถยึดครองเมืองมะละกาได้เป็นผลสำเร็จ ชาวดัตช์จึงได้ซ่อมแซมและอ้างสิทธิ์การครอบครองป้อมแห่งนี้ จนต่อมาเมื่อมะละกาตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ กัปตันวิลเลียม ฟาร์คูฮาร์ (Captain William Farquhar) ได้สั่งการให้ทำลายป้อมแห่งนี้เพื่อป้องกันการอ้างสิทธิ์ของเนเธอร์แลนด์ แต่เมื่อ เซอร์สแตมฟอร์ต ราฟเฟิ่ล (Sir Stamford Raffle) เจ้าเมืองสิงคโปร์มาเยือนที่เมืองมะละกา และพบเห็นการทำลาย จึงสั่งการให้ระงับการทำลาย ดังนั้น ทุกวันนี้ ป้อมจึงยังคงหลงเหลือซากประตู  Porte de Santiago ไว้ และกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองมะละกา

4. จัตุรัสดัตช์ (Dutch square)

มะละกาได้ตกเป็นอาณานิคมของเนเธอร์แลนด์ตั้งแต่ปี พ.ศ.2184 เป็นระยะเวลายาวนานเกือบ 200 ปี ดังนั้น ดัตช์จึงมีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมของเมืองมะละกามากที่สุดครับ

จัตุรัสดัตช์ (Dutch square) เป็นบริเวณศูนย์กลางของเมืองเก่ามะละกา ตั้งอยู่ด้านหน้า โบสถ์คริสต์ (Christ church) ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบดัตช์แท้ๆ สร้างขึ้นโดยอิฐสีชมพูจากเนเธอร์แลนด์และเชื่อมด้วยปูนสีแดง เพื่อใช้เป็นสถานที่ประกอบศาสนกิจของชาวดัตช์ที่มาปกครองเมืองมะละกาในขณะนั้น

ด้านข้างของโบสถ์เป็น อาคารสตัดฮิวส์ (Stadhuys building) ที่สร้างขึ้นในปี พ.ศ.2193 สำหรับใช้เป็นที่พักของผู้ว่าการ และคณะเจ้าหน้าที่ชาวดัตช์

ใกล้ๆกับโบสถ์จะมีกังหันลม ที่เป็นสัญลักษณ์ของเนเธอร์แลนด์อยู่ครับ

เมื่อมะละกาได้ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ชาวอังกฤษที่ปกครองเมืองมะละกาขณะนั้นได้สร้าง น้ำพุควีนวิกตอเรีย (The Queen Victoria Fountain) ในปี พ.ศ.2447 เพื่อถวายแด่สมเด็จพระนางเจ้าวิกตอเรีย



มะละกายังตกเป็นเมืองขึ้นของญี่ปุ่นช่วงสั้นๆในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง หอนาฬิกาที่ตั้งอยู่ที่หน้าโบสถ์คริสต์จึงเป็นตัวแทนของประเทศญี่ปุ่นครับ เดิมทีหน้าจอนาฬิกาเป็นยี่ห้อง SEIKO ของญี่ปุ่น แต่เนื่องจากชาวมะละกาแอนตี้ญี่ปุ่น เพราะสมัยก่อนคนที่ขัดขืนการปกครองของญี่ปุ่นจะโดนตัดหัวเสียบประจานบริเวณหอนาฬิกาแห่งนี้ เมื่อมาเลเซียได้รับเอกราช คนมะละกาจึงเอานาฬิกายี่ห้อ SEIKO ออก และเอานาฬิกาแบบที่เห็นในปัจจุบันใส่เข้าไปแทน

5. พิพิธภัณฑ์สมุทรศาสตร์มะละกา (Melaka Maritime Museum)

ถัดจากจัตุรัสดัตช์ไปไม่ไกล เราจะพบกับอาคารรูปเรือสำเภาที่ตั้งตระหง่านใหญ่โต อาคารแห่งนี้คือ พิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงวิถีชีวิตของลูกเรือที่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาส่งสินค้าที่เมืองมะละกา

ค่าเข้าชม: 3 ริงกิต

 

 

6. โบสถ์เซนต์ฟรานซิสซาเวียร์ (St.Francis Xavier Church)

โบสถ์นี้สร้างขึ้นในปี 1849 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานเพื่อรำลึกถึงเซนต์ฟรานซิส ซาเวียร์ (St.Francis Xavier) คนเดียวกับที่มีรูปปั้นอยู่บนเขาใกล้ๆกับซากโบสถ์เซนต์ปอลนั่นแหละครับ

ใกล้ๆกันนั้นยังมี Street art สวยๆ และป้ายต้อนรับเข้าสู่เมืองมะละกาอีกด้วย



7. ล่องเรือแม่น้ำมะละกา (Melaka River Cruise)

ใครที่เดินเหนื่อยๆ ในย่านเมืองเก่ามะละกา  ผมแนะนำให้ลองสลับมานั่งเรือเล่นดูบ้างครับ บริเวณตรงสะพานระหว่างจคุรัสดัตช์ (Dutch square) กับถนนยองเกอร์ (Jonker street) จะมีบูธขายตั๋วสำหรับล่องแม่น้ำมะละกาในราคา 10 ริงกิตต่อคน

การล่องแม่น้ำครั้งนี้ เราจะได้เห็นทัศนียภาพริมฝั่งแม่น้ำมะละกา ตั้งแต่ย่านเมืองเก่าไปจนถึงเมืองใหม่ โดยช่วงเวลาที่ดีที่สุดคือตอนใกล้ๆพระอาทิตย์ตกดินครับ


 

สิ่งที่น่าสนใจในย่านเมืองใหม่มะละกา ซึ่งเป็นย่านที่อยู่อาศัยของคนมะละกาส่วนใหญ่ก็คือ Melaka Monorail ซึ่งเป็นระบบขนส่งมวลชนแบบรถไฟฟ้าที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวงแห่งแรกของอาเซียนครับ (เราสามารถมองเห็นได้ขณะล่องเรือแม่น้ำมะละกา)

บริเวณย่านเมืองเก่ามะละกาไม่ได้มีแต่อาคารสไตล์โคโลเนียลสวยๆเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งของกินเลิศรสอีกด้วย โดยร้านที่ผมจะมาแนะนำในวันนี้คือ ร้านข้าวมันไก่ปั้นก้อน ชื่อดังที่มีชื่อว่า Kedai Kopi Chung Wah



ข้าวมันไก่ปั้นก้อน (Chicken Rice ball) ถืออาหารที่ต้องห้ามพลาดของเมืองมะละกา ซึ่งถ้าใครมามะละกาแล้วไม่ได้มากินถือว่า พลาดอย่างแรง

ที่มาของข้าวมันไก่แบบนี้ เริ่มต้นเมื่อประมาณ 50 ปีที่แล้ว ที่มีหญิงสาวคนหนึ่งทำอาชีพค้าขายข้าวมันไก่ให้กับคนงานบริเวณท่าเรือมะละกา เช้าวันหนึ่งเธอเกิดไอเดียว่า น่าจะปั้นก้อนเป็นก้อนกลมขนาดพอดีคำ เพื่อให้คนงานนำไปรับประทานบนเรือได้ง่ายๆ ไม่หกเลอะเทอะ แถมทานเป็นของว่างได้ด้วย เธอจึงเริ่มต้นขายข้าวปั้นพร้อมกับเนื้อไก่ต้ม นับแต่นั้นมา Chicken rice ball จึงกลายเป็นอาหารซิกเนเจอร์ของเมืองมะละกามาจนถึงทุกวันนี้

ร้านนี้เปิดเฉพาะมื้อกลางวันตั้งแต่ 7.30-14.30 เท่านั้น และจะปิดทุกวันจันทร์ แนะนำว่า พยายามอย่ามาตอนเที่ยงตรง เพราะคิวจะยาวมาก รอนานเป็นชั่วโมงแน่นอน ให้มาสัก 10 โมง คนจะน้อยกว่าครับ

เมื่อทานของคาวเสร็จ ก็ต้องต่อด้วยของหวาน ร้านนี้อยู่ใกล้ๆกับร้านข้าวมันไก่ เป็นตึกแบบนี้ครับ

ร้านนี้ขายขนมและเครื่องดื่มหลายชนิด แต่ผมแนะนำให้มาทาน Cendol หรือที่ภาษาไทยเรียกว่า ลอดช่อง นั้นเอง แต่ลอดช่องที่นี่จะไม่เหมือนบ้านเรา เพราะจะมีการใส่เครื่องต่างๆ ทั้ง ลูกชิด ถั่วแดง และ ทุเรียน ลงไปด้วย (บางคนก็ชอบ บางคนก็เกลียดไปเลย แต่ส่วนตัวผมชอบนะ)

ร้านนี้เปิดทุกวันเฉพาะ 9.00 ถึง 15.00 เท่านั้นครับ

สำหรับรีวิวมะละกาในตอนที่ 2 ก็ขอจบเพียงเท่านี้ครับ นตอนหน้า ผมจะมารีวิวที่ถนนยองเกอร์กันต่อ เพราะถนนเส้นนี้นอกจากร้านอาหารแล้ว ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอีกเพียบ จะมีอะไรบ้าง ฝากติดตามต่อด้วยนะครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง




Create Date : 18 มกราคม 2563
Last Update : 30 เมษายน 2567 21:27:13 น. 3 comments
Counter : 2281 Pageviews.

 
ขอบคุณที่แบ่งปัน


โดย: Kavanich96 วันที่: 21 มกราคม 2563 เวลา:1:18:07 น.  

 
ตอนไป ยังไม่เจอ โมโนเรล เลยค่ะ


โดย: สมาชิกหมายเลข 5741019 วันที่: 14 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา:17:56:19 น.  

 
มะละกาโมโนเรล อยู่ในย่านเมืองใหม่ครับ ไม่ได้อยู่ในสถานที่ท่องเที่ยวหลัก ถ้าอยากเห็นต้องนั่งเรือชมแม่น้ำมะละกาครับ


โดย: เจ้าสำนักคันฉ่องวารี วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา:23:26:40 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.