Welcome to my blog
4 วัน 3 คืน กูชิง เมืองหลวงแห่งรัฐซาราวัก (ตอนที่ 4: ทัวร์ลิงอุรังอุตัง+หมู่บ้านวัฒนธรรมซาราวัก)


สถานที่ท่องเที่ยว : ศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าเซมังโกะห์ (Semanggoh wildlife centre), Malaysia
พิกัด GPS : 1° 24' 0.80" N 110° 19' 28.61" E

วันที่สาม

หลังจากในวันก่อนหน้า เราได้เที่ยวในเมืองกูชิงจนจุใจไปแล้ว วันนี้เราจะออกไปเที่ยวนอกเมืองกันบ้างครับ จริงๆรอบๆเมืองกูชิงมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมายหลายแห่ง เช่น อุทยานแห่งชาติบาโกะ (Bako National Park), หมู่บ้านวัฒนธรรมซาราวัก (Sarawak cultural village), ศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าเซมังโกะห์ (Semanggoh wildlife centre) เป็นตัน ซึ่งบางสถานที่จะมีรถเมล์ไปถึง แต่บางที่ เช่น หมู่บ้านวัฒนธรรมซาราวัก (Sarawak cultural village) จะต้องเหมาแท็กซี่เข้าไปเท่านั้นครับ ปัญหาคือ ผมเดินทางคนเดียว ถ้าจะให้เหมาแท็กซี่ก็คงจ่ายไม่ไหว ผมเลยตัดสินใจซื้อทัวร์ โดยผมเลือกทัวร์ของ Ooo Haa Adventure tour โดยในวันนี้จะมีทัวร์แบบ 1 วันไปยัง หมู่บ้านวัฒนธรรมซาราวัก (Sarawak cultural village) และ ศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าเซมังโกะห์ (Semanggoh wildlife centre) ซึ่งเป็นสองสถานที่ๆผมอยากไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ผมเลยตัดสินใจซื้อทัวร์นี้ครับ

 
สำหรับวิธีการจองทัวร์ ผมทัก Whatsapp หาทางบริษัททัวร์เพื่อถามราคา โดยทางทัวร์เปิดมาที่ 295 ริงกิต หรือประมาณ 2,340 บาท ซึ่งราคาถือว่าแรงใช้ได้เลย ผมเลยต่อเค้าลงมา สุดท้ายได้ราคาที่ 240 ริงกิต หรือประมาณ 1,900 บาท ซึ่งผมค่อนข้างพอใจครับ เพราะราคานี้รวมทุกอย่างแล้ว ทั้งตั๋วเข้าชมหมู่บ้านวัฒนธรรมซาราวัก รวมอาหารกลางวัน (ถ้ามาเองจะต้องจ่าย 117 ริงกิต หรือประมาณ 930 บาท), ตั๋วเข้าชมศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าเซมังโกะห์ 10 ริงกิต หรือประมาณ 80 บาท และยังมีน้ำดื่มอีกคนละขวด พร้อมไกด์คอยอธิบาย และดูแลพวกเราอย่างใกล้ชิดอีกด้วย

ถ้าใครจะไปกูชิง แล้วสนใจทัวร์นี้ รวมทั้งทัวร์อื่นๆนอกเมืองกูชิงทั้งแบบ One day trip และแบบค้างคืน สามารถดูรายละเอียดได้ที่เว็บนี้ครับ https://www.ooohaa.holiday/ หรือติดต่อสอบถามได้ที่เพจเฟสบุ๊ค https://www.facebook.com/ooohaatours/ อันนี้ครับ

 

ทัวร์พาเรามาชมที่ หมู่บ้านวัฒนธรรมซาราวัก (Sarawak cultural village) เป็นที่แรกครับ หมู่บ้านนี้อยู่ห่างจากเมืองกูชิงไปทางทิศเหนือประมาณ 30 กิโลเมตร แต่เนื่องจากถนนไม่ได้ดีมาก เป็นหลุมเป็นบ่อซะเยอะ เลยทำความเร็วไม่ค่อยได้ เลยใช้เวลาเดินทางรวมเกือบ 1 ชั่วโมง
 

ที่นี่เป็นหมู่บ้านจำลองของชนเผ่าหลักๆของรัฐซาราวัก 7 กลุ่มได้แก่ ชาวจีน, ชาวมลายู, ชาวเมลาเนา (Melanau), ชาวโอรังอูลู (Olang Ulu), ชาวเปนัน (Penan), ชาวอิบัน (Iban) และ ชาวบิดายูห์ (Bindayuh) ครับ
 



ก่อนเข้าชมหมู่บ้าน เราจะได้พาสปอร์ตสำหรับเยี่ยมชมหมู่บ้าน 1 เล่มครับ ด้านในจะบรรยายข้อมูลต่างๆสำหรับแต่ละชนเผ่า และมีที่ประทับตรา เวลาเราไปเยี่ยมชมบ้านแต่ละหลัง เอาไว้เก็บเป็นที่ระลึกกลับบ้าน
 
 
มาเริ่มกันที่บ้านหลังแรกครับ นั่นก็คือ บ้านของคนจีน คนจีนที่อาศัยอยู่ในรัฐซาราวักส่วนใหญ่เป็นชาวจีนฮากกา ที่อพยพมาจากมณฑลฝูเจี้ยนช่วงประมาณปี 1900 เพื่อทำการเกษตรในยุคที่เซอร์เจมส์ บรูค เพิ่งก่อตั้งเป็นประเทศซาราวักใหม่ๆครับ

 

 
ดูภายนอกอาจจะยังไม่รู้ว่าเป็นบ้านของคนจีน แต่พอเข้าไปในบ้าน รู้เลย ยังไงก็ใช่ครับ
 





 
บ้านหลังถัดมาครับ เป็น บ้านของชาวมลายู ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใหญ่ที่สุดในประเทศมาเลเซีย แต่สำหรับที่รัฐซาราวัก มีแค่ราว 20% ของประชากรทั้งหมดเท่านั้นครับ
 







อันนี้เป็น บ้านของชาวเมลาเนา (Melanau) ครับ เนื่องจากชาวเมลาเนาอาศัยอยู่ในป่า ใกล้แหล่งน้ำ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยจากสัตว์นักล่าต่าง การโจมตีจากชนเผ่าอื่นๆ รวมทั้งป้องกันน้ำท่วม บ้านของชนเผ่านี้เลยมีใต้ถุนที่สูงมาก บ้านแบบนี้เลยถูกเรียกว่า Melanau Tall house
 

มาดูภายในบ้านกันครับ 
 



 
ที่บูชาบรรพบุรุษของชาวเมลาเนาครับ
 

 
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ชาวเมลาเนามีการละเล่น ลาวกระทบไม้ ด้วยครับ อันนี้ถือเป็นวัฒนธรรมร่วมของแถบอุษาคเนย์ ซึ่งทางหมู่บ้านก็ได้เปิดโอกาสให้ผู้มาเยือนได้ทดลองเล่นด้วย
 

บ้านหลังต่อไปเป็น บ้านของชาวโอรังอูลู (Olang Ulu) ครับ กลุ่มชาติพันธุ์นี้จะอาศัยอยู่ตามพื้นที่ราบสูงทางตอนกลางของรัฐซาราวัก 
 

 
พอขึ้นมาบนบ้าน ที่นี่จะมีการแสดงสั้นๆเป็นการต้อนรับผู้มาเยือน
 

 
หนึ่งในวัฒนธรรมของชาวโอรังอูลู ก็เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายที่เรียกว่า ซาเปะ (Sapeh) ครับ ซาเปะเป็นพิณแกะสลักจากไม้ชิ้นเดียวมีสายลวดขึงตึง เดิมเอาไว้ใช้ประกอบพิธีกรรม แต่ปัจจุบัน ได้ถูกนำมาปรับให้ร่วมสมัยมากขึ้น โดยได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเพลงพื้นเมืองต่างๆของรัฐซาราวัก
 



ชนเผ่าต่อไปคือ ชาวเปนัน (Penan) ครับ ชนเผ่านี้จะอาศัยอยู่ในป่าลึก และไม่อยู่เป็นหลักแหล่ง บ้านจึงทำอย่างง่ายๆ ไม่เหมือนชนเผ่าอื่นๆ
 



 
ที่นี่จะมีกิจกรรมให้นักท่องเที่ยวได้ลองเป่าลูกดอกด้วยครับ ในรูปคือ ไกด์ของเรากำลังสาธิตวิธีเป่าลูกดอกให้ดู ก็ถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ดี 
 

 
บ้านที่ถือเป็นไฮไลท์ของหมู่บ้านนี้ก็คือ บ้านของชนเผ่าอิบัน (Iban) ลักษณะเด่นของบ้านของชาวอิบัน จะเรียกว่า Long House กล่าวคือเป็นบ้านลักษณะยาว อยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ และตามประเพณี เมื่อมีผู้มาเยือน ก็ต้องมีการแสดงต้อนรับพวกเรา
 

บ้านหลังนี้ยังเคยเป็นที่ต้อนรับของพระเจ้าชาร์ล และพระราชินีคามิลลา เมื่อครั้งเสด็จมาเยือนรัฐซาราวักเมื่อปี 2017 
 

 
ชาวอิบันเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีประชากรมากที่สุดในรัฐซาราวัก ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ตามชายฝั่ง ทำอาชีพประมง แต่ในอดีตบางกลุ่มก็เป็นชนเผ่าล่าหัวมนุษย์ด้วยครับ โดยเมื่อชาวอิบันโจมตีเผ่าอื่น ก็จะตัดหัว แล้วเอาหัวกะโหลกกลับบ้าน แต่ปัจจุบันวิถีชีวิตแบบนี้ได้ยกเลิกไปแล้ว ตั้งแต่ช่วงที่เซอร์เจมส์ บรูคได้เข้ามาปกครองดินแดนซาราวัก
 

 
ชนเผ่าสุดท้ายครับ ชาวบินดายุห์ (Bindayuh) ซึ่งจะอาศัยอยู่ตามภูเขาในแถบชายแดนตะวันตกของรัฐซาราวัก ติดกับชายแดนติดกับประเทศอินโดนีเซีย
 

 
เนื่องจากชาวบิดายูห์อาศัยอยู่ตามภูเขา ซึ่งมีพื้นที่น้อย บ้านจึงมีขนาดเล็กกว่าชนเผ่าอื่น โดยจะทำด้วยไม้ไผ่
 

 
สะพานไม้ไผ่ของชาวบิดายูห์ครับ เค้าเชิญให้เราลองข้าม เราก็ทำตาม (เชื่อคนง่ายดีเนอะ 555) ว่ากันว่า ถ้าข้ามได้สำเร็จ เราจะได้มีโอกาสกลับมาเยือนที่รัฐซาราวักอีกครัั้งครับ
 

 
หลังชมแต่ละบ้านเสร็จแล้ว ไฮไลท์ที่ห้ามพลาดก็คือ การแสดงของแต่ละชนเผ่า ซึ่งขอบอกเลยว่า ดีงามมากครับ เพลินมาก ตอนแรกนึกว่าจะน่าเบื่อ แต่พอดูของจริง เป็นโชว์ 1 ชั่วโมงที่ไม่รู้สึกเบื่อเลยสักนิด
 







สิ่งที่ผมชอบของโชว์ที่นี่คือ เค้าจะให้ผู้ชมได้มีส่วนร่วมบนเวทีด้วยครับ
 

 
การแสดงบางส่วน ดูได้ที่คลิปนี้นะครับ แต่ว่ากันตามตรง เทียบกับของจริงไม่ได้ซักนิด ต้องมาชมด้วยตาตัวเองครับ
 



พอชมการแสดงเสร็จแล้ว ก็ได้เวลาอาหารเที่ยงครับ อย่างที่บอกไปในตอนต้นว่า ทัวร์นี้รวมค่าอาหารไว้แล้ว โดยอาหารที่นี่เป็นอาหารพื้นเมืองจากชนเผ่าต่างๆ ซึ่งถือเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ ที่ผมเองก็เพิ่งเคยลองเหมือนกัน
 

ในส่วนของรสชาติ ผมให้เต็มเลย อร่อยมาก ถูกปากคนไทยแน่นอน จริงๆอยากทานอีก แต่คงหาทานยากซะหน่อย สงสัยคงต้องบินกลับไปทานที่กูชิงอีกรอบ
 
หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จแล้ว เราก็นั่งรถย้อนกลับลงมาทางใต้ของเมืองกูชิง ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง ก็จะถึง ศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าเซมังโกะห์ (Semanggoh wildlife centre) ครับ
 

 
ศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าเซมังโกะห์ (Semanggoh wildlife centre) อยู่ทางใต้ของเมืองกูชิงไปประมาณ 20 กิโลเมตร ที่นี่เป็นศูนย์ฟื้นฟูลิงอุรังอุตังที่ถูกจับมาอย่างผิดกฎหมายจากแหล่งต่างๆก่อนจะปล่อยกลับคืนสู่ธรรมชาติ ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1975 และเป็นศูนย์อนุรักษ์ลิงอุรังอุตังที่ใหญ่ที่สุดของรัฐซาราวัก


ปัจจุบันที่นี่เป็นกึ่งๆสวนสัตว์เปิดโดยจัดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาศึกษา และเยี่ยมชมลิงอุรังอุตังที่ทางศูนย์ปล่อยกลับเข้าสู่ป่าครับ
 

ก่อนจะเข้าไปชม เจ้าหน้าที่จะให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวขณะเยี่ยมชม รวมทั้งข้อมูลพื้นฐานอื่นๆ เกี่ยวกับลิงอุรังอุตัง
 

 
ลิงอุรังอุตัง (Oran Utan) ถือเป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตที่มีความใกล้เคียงในทางชีววิทยากับมนุษย์มากที่สุด โดยคำว่า Oran ในภาษามลายู แปลว่า คน ส่วน Utan ก็แปลว่า ป่า (พอแปลรวมกัน อุรังอุตังก็แปลว่า คนป่านั่นเองครับ) อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ลิงอุรังอุตังถือเป็นสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ โดยพบได้เฉพาะบนเกาะสุมาตรา และเกาะบอร์เนียวเท่านั้น

เจ้าหน้าที่ให้ข้อมูลเพิ่งเติมว่า ลิงอาจจะไม่มาปรากฏตัวให้เราเห็นนะ เพราะถ้าช่วงไหนผลไม้ในป่ามีเยอะ พวกเค้าก็ไม่จำเป็นต้องออกมารับอาหารที่เจ้าหน้าที่เอาออกมาล่อ (ที่นี่เค้าให้อาหารลิงด้วยครับ อาจจะดูผิดหลักด้านการอนุรักษ์ แต่อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่า ลิงอุรังอุตังที่นี่ ไม่ใช่ลิงตามธรรมชาติ แต่เป็นลิงที่ผ่านการฟื้นฟูมาแล้วโดยมนุษย์ พวกเค้าเลยจะมีความคุ้นชินกับมนุษย์ และไม่สามารถอยู่ในธรรมชาติได้ 100% เหมือนลิงตามธรรมชาติ)

 



อย่างไรก็ตาม เนื่องจากช่วงที่เราไปเป็นเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นเดือนที่ฝนตกน้อยที่สุดของรัฐซาราวัก อาหารในป่าเลยมีน้อย ลิงเลยออกมาให้เราชมกันจุใจเลย
 





 

แม้กระทั่งตรงลานจอดรถ เราก็ยังเจอน้อง พร้อมกับลูกๆมารอรับอาหารด้วยครับ เป็นการเห็นลิงอุรังอุตังที่ใกล้ชิดที่สุดในชีวิตด้วย น้องอยู่ห่างจากเราไม่ถึง 2 เมตร
 

 
อันนี้ตัวลูกครับ ตอนแรกน้องกลัวคนมาก แต่พอผ่านไปซักพัก น้องก็ค่อยๆุคุ้นกับคน โดยมีคุณแม่น้อง คอยดูอยู่ห่างๆ
 

 
หลังชมศูนย์อนุรักษ์สัตว์ป่าเสร็จแล้ว เราก็เดินทางกลับถึงกูชิงตอนประมาณ 16.00 น. เป็นการปิดทริปนอกเมืองกูชิงอย่างประทับใจ

วันที่สี่

วันนี้เป็นวันเดินทางกลับครับ เราเรียก grab จากโรงแรมไปยังสนามบิน ได้ราคาที่ 12 ริงกิต จากนั้นก็บินกลับกรุงเทพ โดยเปลี่ยนเครื่องที่ สนามบินนานาชาติกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur International Airport 2, KLIA2) เช่นเดียวกับขามาครับ

 


โดยสรุปแล้วเมืองกูชิงถือเป็นทริปที่ผมประทับใจ และรู้สึกว่าคุ้มค่าครับ แม้ว่าผมจะเคยมาเที่ยวมาเลเซียหลายรอบแล้ว แต่กูชิงเป็นเมืองที่ผมชอบและประทับใจมากที่สุดตั้งแต่เคยเที่ยวที่ประเทศนี้มาเลย   

ถ้าถามว่า กูชิงเหมาะกับใคร ผมว่าเมืองนี้ไม่ได้เหมาะกับทุกคนครับ อันดับแรก เมืองนี้ไม่ใช่ที่ๆถ่ายรูปสวย และไม่ใช่เมืองที่มีแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตที่คนไทยรู้จักกัน ถ้าใครเดินทางไปมาเลเซียครั้งแรก ผมแนะนำให้ไปที่อื่นก่อนดีกว่า แต่สำหรับใครที่เคยมามาเลเซียหลายรอบแล้ว จนรู้สึกเบื่อ อยากหาอะไรที่แปลกใหม่ ชอบเรียนรู้ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม หรือเป็นสายธรรมชาติ ผมขอแนะนำเมืองนี้เลยครับ

 สำหรับรีวิวเมืองกูชิง รัฐซาราวัก ประเทศมาเลเซียก็จบเพียงเท่านี้นะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งคนที่วางแผนจะไปเที่ยวที่เมืองนี้ รวมทั้งคนที่ไม่เคยรู้จักกับเมืองนี้มาก่อนนะครับ ถ้าใครมีคำถามหรือคอมเม้นอะไร ฝากข้อความไว้ข้างใต้นี้ได้เลยครับ หรือจะส่งข้อความมาทางหลังไมค์ของพันทิปก็ได้ ยินดีตอบทุกคำถาม (ที่ผมตอบได้) ครับ

บล็อกอื่นที่เกี่ยวข้อง



Create Date : 10 กุมภาพันธ์ 2566
Last Update : 30 เมษายน 2567 22:20:39 น. 0 comments
Counter : 1365 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

เจ้าสำนักคันฉ่องวารี
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 9 คน [?]




ชอบท่องเที่ยว สนใจประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และการเมืองระหว่างประเทศ

Blog นี้จะใช้เขียนความทรงจำในการเดินทาง และวิธีการเดินทางอย่างละเอียด เผื่อใครจะมาตามรอย หวังว่าจะเป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าชอบ blog เนื้อหาประมาณนี้ ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add เจ้าสำนักคันฉ่องวารี's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.