Once upon a time ...
Group Blog
 
All blogs
 
เลือกคน

มีโอกาสได้เลือกคนมาช่วยทำงาน โดยต้องนั่งดู Resume เลือกคนที่ดูน่าสนใจ ติดต่อกับผู้สมัครเหล่านั้น นัดเวลามาสัมภาษณ์ แล้วก็แจ้งเจ้านาย

ดูแล้วก็ง่ายๆ แต่มีเรื่องติดขัดอยู่บางเรื่อง

ตั้งแต่สอบทาน Resume บางคนเขียนมาดี พาตัวเองเข้าสู่เป้าหมายชัดเจน ทั้งคุณวุฒิด้านการศึกษาและบอกเล่าประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร แต่อีกหลายคน..เห็นแล้วน่ากลุ้มใจ และน่าเหนื่อยใจ บางทีก็เห็นใจนะแต่ขอโทษที่เลือกไม่ได้จริงๆ

- บ้างก็เขียนมายืดยาวเกี่ยวกับหน้าที่งานของตัวเอง เขียนมาละเอียดมาก แต่มันไม่ตรงกับตำแหน่งงานเลยค่ะ

- บางคนเขียนว่าเรียนรู้อะไรบ้างเกี่ยวกับงานที่ทำ แต่สิ่งที่เรียนรู้ มันมากมายราวกับยกตำรามาไว้ใน resume

- บางคนสมัครตำแหน่งอื่นที่ไม่ใช่ตำแหน่งที่ประกาศรับสมัครงาน เป็นตำแหน่งหัวหน้างานของตำแหน่งที่เปิดรับ แล้วก็เลยคิดๆว่า หรือเขาจะทิ้งข้อมูลไว้ให้ เผื่อตำแหน่งนี้ลาออก จะได้มีเขาเป็นตัวเลือกอีกคน หรือไม่ก็เบียดคนเก่าทิ้งซะเลย

- ระบุอายุผู้สมัครไว้ด้วยเพราะต้องการคนทำงานที่มาอยู่กันนานหน่อย สอนให้เป็นงานแล้วให้เติบโตในสายงานนั้น แต่มีบางคน ที่วัยใกล้เกษียณแล้วยังอุตส่าห์ส่งมาสมัครด้วย

- บางคน คุณสมบัติเริ่ดมากกกก เหมาะที่จะมาเป็น Top Management ของบริษัทเลยด้วยซ้ำแต่เผอิญว่าตำแหน่งที่เปิดรับ เสนอเงินเดือนประมาณ 20% ของเงินเดือนปัจจุบันที่เขาได้รับ ก็เลย..ต้องปฏิเสธทันทีเช่นกัน

- บางคนเงินเดือนสูงและตำแหน่งสูงเช่นกัน ยอมลดเงินเดือนตัวเองเพื่อมาสมัครงานในตำแหน่งที่เห็นได้ชัดว่าเป็นระดับพนักงานผู้ช่วย ถึงยอมลดแค่ไหน ก็ยากที่จะรับมาได้ล่ะ เพราะหัวหน้างานคงจะเกร็งอยู่ไม่น้อยว่าจะร่วมงานกันยังไงดี รายนี้ เห็นแล้วได้ข้อคิดว่า คนที่ขึ้นไปในที่สูงมากๆ ต่อให้หนาวยังไงก็ต้องทนหนาวต่อไป

ข้อคิดที่ได้ก็คือ สมัครตำแหน่งอะไร พยายามเขียนคุณสมบัติตัวเองให้ตรงกับตำแหน่งนั้น เวลามองผ่านตาจะได้คว้ามารอบต่อไปไงล่ะ (จริงๆเห็นแล้วก็สอนตัวเองได้ดีเชียวล่ะ)

ส่วนเรื่องรูปแบบ รูปถ่าย สะดุดตาหรือเปล่า เราไม่ได้มองตรงนั้นเลย คงเพราะเราไม่ใช่ฝ่ายบุคคลก็ได้มั้ง มุมมองเลยต่างกัน แต่ที่สะดุดอีกอย่างคือ Email Address ส่วนใหญ่จะเป็นชื่อจริงบ้างเล่นบ้างตามด้วยตัวเลขบ้าง แต่มีบางคน อ่านชื่อ email แล้วก็...อึ้งน่ะ ความหมายของemail address นี่บอกได้เลยว่าเขาจะมาทำงานหรือจะมาทำอะไร

พอนัดสัมภาษณ์ ยืนยันเวลากันแล้ว ผ่านไปสองวัน ถึงวันสัมภาษณ์จริง บางคนไม่โทรมาแจ้งซะงั้นว่ายกเลิก เช้าวันนั้น เลยเป็นวันที่หัวปั่น ทำไมผู้สมัครทำอย่างนี้ล่ะ ฝ่ายบุคคลบอกว่า เห็นจนชิน แต่กรรมการที่มาจากต่างประเทศเขาไม่ชิน กรรมการต่างชาติอีกคนที่อยู่เมืองไทยมานานบอกว่า ธรรมดา คนไทยเป็นอย่างนี้ล่ะ เขาเจอมาเยอะแล้วที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ไม่มาซะเฉยๆ แถมบางคนไม่แจ้งล่วงหน้าด้วย เขาบอกว่า คนไทยมีนิสัย “สบาย สบาย” ไอ้เราก็หน้าชา เมืองไทยของเรา คนไทยของเรา ทำไมต้องมาเหมารวมดูถูกกันด้วย

เราสอนบางคนไปว่า ถ้าไปสัมภาษณ์ที่ไหน แล้วคิดว่าจะยกเลิก ไม่อยากไป โทรไปบอกเขาล่วงหน้าด้วยนะคะ อย่าทำอย่างนี้อีก บอกแค่ไม่กี่คนก็เหนื่อยใจ นี่ไม่ใช่เด็กๆแล้ว หลายคนจบปริญญาตรี ทำงานมาหลายปีแล้ว ทำไมถึงเป็นอย่างนี้กัน ถ้ามีการส่งชื่อไปเป็น blacklist เหมือน credit card ได้ เราจะส่งชื่อคนพวกนี้ไป

แต่ก็นะ...บริษัทเราอาจจะไม่ดังพอ ไม่ได้ดูมีเสน่ห์มากพอที่เขาจะต้องมาสนใจว่าทำประวัติเสียไว้หรือเปล่า มองในแง่นั้นก็ได้ จะได้รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวสักหน่อย

ส่วนเนื้อหาในการสัมภาษณ์ของบางคน ด้วยความที่งานนี้ เจ้านายต้องการคนพูดภาษาอังกฤษได้ค่อนข้างคล่อง มีรายหนึ่งสื่อสารไม่ได้ดีนัก แต่ยืนยันว่าตัวเองเขียนได้ดี อ่านได้ดี กรรมการติงเรื่องนี้ เขาก็ยืนยันจุดแข็งตรงนั้น เอาล่ะสิ กรรมการเลยตั้งโจทย์งานเป็นภาษาอังกฤษ ให้เวลาประมาณ 10 นาที เขียนใส่กระดาษมา เป็นการทำ paper test กะทันหัน เห็นแล้วหนาวเลย และคำตอบของเขา ไปคนละทิศละทางกับโจทย์ที่ให้ไว้ เสียใจด้วยนะคะ

บางคนใส่น้ำหอมฟุ้งมาเชียว กรรมการ (ผู้หญิง) ก็ตรงมาก ทักไปเลยเรื่องน้ำหอม อืม...ระวังตรงนี้ไว้บ้างก็ดี ถ้าเป็นน้ำอบ อยากรู้จังว่ากรรมการจะว่ายังไง

เป็นธรรมดาของการสัมภาษณ์ที่จะถูกติเรื่องจุดอ่อน แต่ละคนรู้จุดอ่อนของตัวเองอยู่แล้ว ก็คงต้องเตรียมไว้ว่าจะแก้กลับเป็นจุดแข็งยังไง จำได้ว่าตอนที่เราสัมภาษณ์งานครั้งแรกก่อนเรียนจบ ผู้สัมภาษณ์ถามเรื่องจุดอ่อนของเรา เราบอกว่าเป็นคนที่จริงจังมากกับการที่งานต้องเสร็จตามเวลา ตอนนั้นยกตัวอย่างรายงานหรืองานกลุ่มที่ทำกับเพื่อนตอนเรียน และยกตัวอย่างนิสัยตัวเองที่ตรงต่อเวลา ซึ่งมันทำให้หงุดหงิดเมื่อนัดกับเพื่อนแล้วไม่มีใครมาตรงตามเวลานัดสักคน สายกันแทบทั้งหมด และเมื่อถูกถามเรื่องจุดแข็ง เราก็ตอบเรื่องเวลาเช่นกัน เพราะมันทำให้เราส่งงานทันแม้จะต้องตามจิกใครมาร่วมด้วยช่วยกันทำให้เสร็จ แต่จะพยายามปรับปรุงตัวในเรื่องอารมณ์หงุดหงิดที่ไปลงใส่ผู้คน พี่ที่ทำงานคนหนึ่งบอกว่า ดี จุดอ่อนถูกพลิกกลับมาเป็นจุดแข็งได้

กรรมการทั้งสองคนบอกว่าเสียดายที่คนไทยสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษได้ไม่ดีเท่าที่ควร มีคนหนึ่งที่เราจำได้แม่นเพราะกรรมการถามว่า Are you a bachelor? เขาตอบว่าเขาจบจาก.... กรรมการเลยเปลี่ยนคำถามใหม่ว่า Are you single? แล้วพอถูกติงว่ายังพูดและฟังไม่ได้ดี เขากอดอกหลังจากนั้น เป็นปฏิกริยาทางกายที่เราสังเกตเห็นได้ชัดเจน แต่เจ้าตัวคงไม่รู้สึกตัว การกอดอกพูด ตามมาด้วยหน้าตาที่เปลี่ยนไปและน้ำเสียงที่แข็งขึ้น

กรรมการยังคงเสียดายที่ profile การเรียนการทำงานของบางคน ถ้าสื่อสารได้ดีกว่านี้ โอกาสที่จะได้งานที่ดีก็มีมาก แค่ต่อยอดทางภาษาเท่านั้นเอง

ส่วนเราน่ะ เหนื่อยจัง...


Create Date : 15 ตุลาคม 2553
Last Update : 15 ตุลาคม 2553 21:21:05 น. 2 comments
Counter : 446 Pageviews.

 
อ่านแล้วได้ประโยชน์ดีจริงๆค่ะ
ถึงแม้ในชีวิตจริงตอนนี้ไม่ต้องไปสมัครงานที่ไหนแล้วก็ตาม
(ไม่ใช่เพราะเก่งนะคะ แต่เพราะเป็นแม่บ้านมีลูกกระเตงห้อยท้าย ไปสมัครที่ไหน ใครก็ไม่รับหรอก)


โดย: เอ๊กกี่ วันที่: 12 พฤศจิกายน 2553 เวลา:19:34:00 น.  

 
เป็นแม่บ้านนี่น่ะ เก่งสุดยอดแล้วล่ะค่ะ

เป็นแม่ที่ดี ยากกว่าเป็นพนักงานที่ดีหลายเท่าตัวเลยค่ะ

ยิ่งผู้หญิงที่จัดการงานที่บ้านได้ดีพร้อมกับทำงานนอกบ้านด้วย ยิ่งกว่าคำว่าสุดยอดอีกนะคะ นับถือมากๆเลยผู้หญิงกลุ่มนี้

หาจุดอ่อน จุดแข็งของตัวเองแล้วพยายามไปเรื่อยๆนะคะ อย่าไปมองตัวเองในแง่ลบแบบนั้น บางงานเขาอาจไม่เลือกแม่ลูกอ่อน แต่ยังไง ก็ต้องมีงานที่เหมาะกับแม่ลูกอ่อนแน่ๆเลยค่ะ เพียงแต่เรายังไม่เจอเท่านั้นเอง หรือ..บางที บางช่วงจังหวะเวลาของชีวิต งานที่เหมาะกับแม่ลูกอ่อน อาจไม่อยู่ในระบบของมนุษย์เงินเดือนก็ได้นะคะ


โดย: saifan วันที่: 14 พฤศจิกายน 2553 เวลา:19:01:03 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

saifan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add saifan's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.