Once upon a time ...
Group Blog
 
All blogs
 
จะจำคุกหรือจะยอมให้ชดใช้ค่าเสียหาย

ถ้าบริษัทมีพนักงานทุจริต จะดำเนินคดีอาญาจนถึงที่สุดหรือจะหาทางยอมความกันดีนะ ???

คดีแรก

อดีตนักบัญชีของบริษัทหนึ่งยักยอกเงินของบริษัทไปล้านกว่าบาท ลักษณะการยักยอกของเขาเป็นเพราะระบบการควบคุมภายในและสอบทานงานไม่รัดกุม ไม่มีการกระทบยอดเงินฝากธนาคาร (Bank Reconcile) ด้วยความที่ผู้บริหารเป็นชาวต่างชาติและบริษัทก็ไม่ได้มีพนักงานมากมาย ไว้วางใจให้คนคนเดียวทำทุกอย่างทั้งหมด ทั้งเงินเดือน ลงบัญชี รับเงิน จ่ายเงิน อดีตนักบัญชีคนนี้ก็เลยจัดการโอนเงินบริษัทเข้าบัญชีตัวเองผ่านทางเงินเดือนทุกเดือน

บริษัทรู้ว่าเธอเอาเงินเข้าบัญชีตัวเองตอนที่หาคนมาทำงานแทนเธอ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าเธอยักยอกเงินไป รู้แต่ว่าเธอไม่มีความรู้ ความสามารถเพียงพอกับตำแหน่งงาน ทำงานไม่เรียบร้อยและไม่สามารถจัดทำรายงานตามที่ร้องขอได้ เมื่อเธอลุกจากตำแหน่งไปและมีการจัดระบบงานใหม่ จึงได้รู้ว่ามีการยักยอกเงินไป

ลูกน้องของเธอเล่าว่า เธอเคยบ่นๆเรื่องลูกเป็นโรคหัวใจ ต้องหาเงินมารักษา มีหนี้บัตรเครดิต แต่แล้วก็กลายเป็นเธอดูจะจัดการปัญหาเหล่านี้ไปได้อย่างง่ายดาย ไม่เคยบ่นมาเป็นปี แถมยังซื้อโน๊ตบุ๊ค ดาวน์รถมือสอง ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยและยังเลี้ยงเหล้ายาปลาปิ้งคนในบริษัทออกบ่อย

เมื่อรวบรวมพยานหลักฐานโดยเฉพาะพยานเอกสารได้แล้ว ก็แจ้งความกับตำรวจ หลังจากนั้นก็ดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและอาญา คดีแพ่งจบเร็วเพราะเธอไม่มาศาล ศาลจึงดำเนินคดีฝ่ายเดียวและตัดสินให้ทางบริษัทชนะ ส่วนทางอาญา ตำรวจจับตัวเธอได้ (น่าแปลกที่เธอไม่ได้หนีไปไหน ยังคงทำงานอยู่ละแวกใกล้บ้านเธอนั่นเอง เราสงสัยเหลือเกินว่า คนที่เอาเงินบริษัทไปขนาดนี้ ทำไมถึงมั่นใจนักว่าจะไม่มีใครรู้) เธอขอผ่อนผันกับผู้บริหารชาวต่างชาติว่าเธอจะนำเงินมาใช้ แต่ทางผู้บริหารขอให้ไปตกลงกันในศาล เธอได้รับการประกันตัวไปหลังจากที่ถูกจำคุกชั่วคราวไป 2 วันมั้ง

ผ่านไปประมาณ 2 เดือน เป็นนัดแรกที่เจอกันในศาล เราจำเธอแทบไม่ได้ เธอเคยเป็นคนอ้วน..หนักราว 70 กก. เห็นจะได้ แต่ในวันนั้น เธอผอมไปมากมาย น้ำหนักตัวน่าจะหายไปร่วม 20 กก. รู้เลยว่าคนที่เป็นทุกข์มันเป็นอย่างนั้นล่ะ หน้าตาทรุดโทรมหมดราศี อ้อ...เธอเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุลด้วย เป็นข้อสังเกตที่น่าสนใจ (มีเพื่อนสมัยป.ตรี เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุลเหมือนกัน เพิ่งรู้ว่า เขาติดหนี้พนันเป็นล้าน โชคดีนะเพื่อน) เธอขอให้ศาลเลื่อนคดีเพราะทนายเธอติดคดีอื่น มาไม่ได้ แต่ทางตัวแทนที่ได้รับมอบอำนาจจากบริษัทแจ้งกับศาลว่า เจ้าหน้าที่ทางศาลติดต่อไปที่บริษัทเพื่อให้มาไกล่เกลี่ยประนีประนอมกัน ถ้าจะขอเลื่อนคดี คงไม่ต้องไกล่เกลี่ยกันอีกแล้ว จะดำเนินคดีกันถึงที่สุด

สุดท้าย (ไม่ใช่ง่ายๆเลยนะ กว่าจะมาถึงตอนสุดท้าย) ในวันนั้นทั้งสองฝ่ายก็ตกลงกันได้ว่าจำเลยจะขอผ่อนชำระเป็นงวดๆ ศาลบันทึกคำให้การว่าจำเลยรับผิดตามฟ้องและจะชำระหนี้ให้บริษัทในงวดใดบ้าง .....



คั่นด้วยคดีย่อย....
คนที่คุมสินค้าและจัดทำรายงานสินค้าคงเหลือ เอาสินค้าบางส่วนของบริษัทออกไปขายโดยทำเอกสารปลอมว่ามีการโอนไปที่สาขา คนที่ทำเป็นผู้หญิงทีท้องมาหลายเดือนแล้ว และเป็นช่วงที่ตำแหน่งหัวหน้าแผนกนั้นว่างมาหลายเดือน บริษัทจับผิดได้เพราะการเคลื่อนไหวของสินค้าดูผิดปกติ โชคดีที่ระบบการจัดทำ stock card และรายงานสินค้าคงเหลือดีขึ้นแม้จะเป็น Manual ก็ตาม งานนี้มีผู้ที่ร่วมกระทำผิดด้วยอีกคน รายนั้นเป็นพ่อลูกอ่อน บริษัทไล่ออกทั้งสองคนพร้อมกับให้ลงนามว่ามีการทำผิดจริง ทั้งสองคนขอไม่ให้แจ้งความและรับปากว่าจะเอาเงินมาชดใช้ แต่ว่า...ผู้ชายหายตัวไปเลย ไม่ติดต่อกลับมา ผู้หญิงเพิ่งคลอดลูกและบอกว่าหาเงินมาใช้ได้ไม่ครบ ผู้บริหารคิดว่าจะต้องเอาเรื่องไปแจ้งความ ดำเนินคดีแล้วล่ะ แต่อยากจะดำเนินคดีกับผู้ชายเพียงคนเดียว ส่วนหญิงแม่ลูกอ่อนจะยกโทษให้ อืม...แล้วจะทำยังไงดีล่ะนี่ เลือกได้ด้วยเหรอว่าจะเอาผิดกับใคร



คดีที่สอง

พนักงานการเงินทำเอกสารปลอมและไม่ส่งเงินสดให้บริษัท แผนกของเธอเป็นแผนกย่อยหนึ่งในบริษัท เธอมีหน้าที่เก็บเงิน ออกใบเสร็จรับเงินและนำส่งเงิน ปรากฏว่าเธอทำใบเสร็จปลอม รับเงินสดมาและไม่นำส่งทั้งหมด งานนี้มีเรื่องการทำข้อมูล back date เสียด้วย นับว่าเธอเชี่ยวชาญใช้ได้ล่ะ

ข้อสังเกตก็มีเหมือนรายแรก คือแต่งเนื้อแต่งตัวเฉี่ยวขึ้น กระเป๋า รองเท้าใหม่ มีเงินดาวน์รถทั้งที่เงินเดือนก็ไม่สูงมากนัก จริงๆเรื่องแบบนี้ ผู้บังคับบัญชาหรือเพื่อนร่วมงาน ควรจะนำมาเป็นข้อสังเกตได้

หนึ่งในคณะกรรมการสอบสวนบอกว่า ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด หมายถึงว่า ไม่มีการประนีประนอมยอมให้ใช้หนี้แบบบริษัทเพื่อนบ้าน (คดีแรก) เด็ดขาด กรรมการท่านนั้นมาจากฝ่ายบุคคล เขามองว่าต้องดำเนินคดีให้เป็นตัวอย่างกับพนักงานคนอื่น ไม่อย่างนั้น คนที่ยังทำงานอยู่ก็จะมองว่า แค่เอาเงินมาใช้ก็พ้นผิดแล้ว คือ เชือดไก้ให้ลิงดู ว่างั้นเถอะ

ก็...ไม่รู้สิ คนที่เป็นคดีความน่ะ เราเชื่อว่าเขาทุกข์มากพออยู่แล้วล่ะ ส่วนพนักงานคนอื่นก็ได้เห็นแล้วว่าการทำผิดจะต้องถูกไล่ออก ใครจะอยากมีประวัติการทำงานแบบนี้ ส่วนการที่เขาทำผิดก็เพราะระบบเอื้อให้เขาทำด้วยไม่ใช่หรือ ผู้บังคับบัญชาที่ไม่สอบทานงาน ไม่ติดตาม ไม่ตรวจสอบระบบการรายงานข้อมูล ก็ควรต้องพิจารณาตัวเองด้วยเหมือนกัน แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นก็ให้บทเรียนแก่บริษัทไปแล้วในการจัดวางระบบการควบคุมภายใน ซึ่งรวมไปถึงการคัดเลือกคน การควบคุมงาน การโยกย้ายไม่ให้ใครอยู่ในตำแหน่งที่จะทุจริตง่ายนานเกินไป


.............................

ฝ่ายบุคคลจะรับใครเข้ามาทำงานน่ะ อย่าลืมเช็คประวัติ หาข้อมูลกันด้วยนะ ป้องกันไว้ก่อน ไม่เสียหายหรอก




Create Date : 11 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 11 พฤศจิกายน 2551 21:13:52 น. 0 comments
Counter : 545 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

saifan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add saifan's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.