Once upon a time ...
Group Blog
 
All blogs
 
ประคับประคอง

หลายเดือนก่อน เพื่อนคนหนึ่งโทรมาบอกว่าถูกให้ออกจากงาน เธออยู่ในองค์กรที่คนภายนอกมองก็ต้องคิดว่ามันดูดี น่าอยู่ สวัสดิการคงดี เงินเดือนคงงามแถมงานไม่หนัก จะอะไรก็แล้วแต่ เธอถูกให้ออกและต้องออกภายในสามเดือน

เป็นเรื่องน่าอายและไม่กล้าให้ใครรู้ แม้แต่เพื่อนในกลุ่มก็เลือกที่จะบอกบางคน เราเป็นหนึ่งในบางคนนั้นที่เมื่อรู้แล้วก็คิดต่อว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง อย่างแรกที่รีบทำคือ เข้า website หางาน เลือกงานที่เธอน่าจะทำได้แล้วส่งไป ช่วงเดือนแรกส่งไปเยอะพอสมควรแต่เธอยังลังเล ยังคิดว่าคงไม่ได้ถูกให้ออกจริง เขามีเวลาให้พอสมควรก่อนถึงวันออกจริง ยังมีความหวังว่าจะดำเนินการร้องทุกข์อะไรทั้งหลายได้

เมื่อเหตุการณ์ไม่เป็นดังหวัง ได้เห็นปฏิกิริยาตอบสนองจากคนในแผนกที่เกี่ยวข้อง มานั่งวิเคราะห์ต่อถึงเอกสารที่ส่งผลให้เธอมีวันนี้ ก็เลยคิดว่าคงแก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว ตอนนั้น เธอจะเดินออกมาซะวันนั้นเลย แต่เราเบรกไว้ก่อน ให้อยู่จนถึงที่สุด ตราบใดที่ยังไม่มีงานใหม่รองรับก็ต้องอดทนอยู่ต่อไปจนครบเวลาที่เขากำหนด

เข้าใจว่ามันกดดัน มันอับอาย แต่คนที่ไม่ได้มีมรดก ไม่ได้มีกิจการอื่น รายได้เสริมทางอื่นรองรับ ออกไปก็มีแต่รายจ่าย แถมไม่ใช่รายจ่ายตัวคนเดียว แต่ยังมีรายจ่ายของคนในครอบครัวที่พึ่งพิงเธออยู่ ภาวะที่กดดันตอนนั้น ทำได้เพียงนั่งฟัง ฟังไปปลอบไป ใช้เวลาแต่ละวันนานเกินครึ่งชั่วโมงฟังเรื่องที่เธอถูกคนโน้นกระทำ คนนี้กระทำ หลายครั้งเป็นประโยคเดิมซ้ำๆกัน ชั้นไปทำอะไรให้ ทำไมเขาต้องทำแบบนี้ด้วย และอีกสารพัด

ความไม่มั่นใจในตัวเองเริ่มก่อตัวขึ้นทุกวัน คิดไปถึงขนาดว่าออกไปขายอะไรเล็กๆน้อยๆก็ได้ คงไม่เหมาะกับการเป็นมนุษย์เงินเดือนแล้ว ประเมินตัวเองต่ำจนไม่คิดว่าจะหางานได้ทั้งที่เป็นคนที่มีประสบการณ์ในการทำงานมามากและมีใบรับรองด้านวิชาชีพตั้งหลายที่ ได้แต่พูดให้กำลังใจให้มั่นใจในความรู้ ความสามารถที่เธอมี และคำปลอบใจให้คลายจากความทุกข์


คำปลอบใจเป็นแบบไหนเหรอ???

ไหน...ลองหยุดพูดแล้วยิ้มหวานๆสักทีซิ สบายใจขึ้นรึเปล่า? (อันนี้เอาวิธีที่ตัวเองทำบ่อยๆเวลาเครียดมาใช้ ให้เครียดแค่ไหน ณ ขณะที่เรายิ้ม มันสบายใจออกจะตาย)

ลองกำมือ แบมือ ทำสลับไปเรื่อยๆซิ เอาใจไปไว้ที่มือ ความทุกข์จางลงบ้างมั้ย (เคยอ่านที่คุณดังตฤณแนะนำใครก็ไม่รู้)

ตอนที่แกให้เพื่อนคนนั้นยืมเงินไปตั้งหลายหมื่น ทวงเงินด้วยความลำบาก ทุกข์จนนอนไม่หลับเพราะเสียดายเงิน สุดท้ายก็ไม่ได้เงินคืน ตอนนี้ยังทุกข์เพราะเรื่องนั้นอยู่หรือเปล่า? เห็นมั้ยว่า ทุกข์มากแค่ไหน เมื่อมันผ่านไป เราหันกลับไปมอง มันก็แค่นั้นแหละ ไม่เห็นมีอะไรเลย ปัญหาอันนี้ก็เหมือนกัน เดี๋ยวมันก็จะผ่านไป

เล่าเรื่องเพื่อนร่วมงานคนโน้นคนนี้หรือแม้แต่ตัวเราที่เจอปัญหาเรื่องคนที่ทำงานมาอย่างสาหัส (อันนี้ไม่ได้ผล เพราะตอบกลับมาว่า..."ยังไงของชั้นก็หนักกว่า ชั้นถูกให้ออกจากงานนะ"..เฮ้อ! ทุกข์ของ'ชั้น'ก็อย่างนี้ล่ะ ^^)

เราบังคับใจเราไม่ได้หรอกนะ มันอยากคิดวนเวียนแต่เรื่องที่เป็นทุกข์ ถ้าเราบังคับไม่ให้มันคิดได้ เราคงไม่ทุกข์ แต่ใจเราบังคับไม่ได้ ยอมรับกับตัวเองว่าใจแกมันบังคับไม่ได้ เท่านั้นเอง (เห็นด้วยและขออนุญาตโทรมาฟังคำปลอบใจแบบนี้ทุกวัน แต่ปลอบเหมือนเดิมก็ไม่ได้ผลเท่าไหร่นักหรอก)

ไปอาบน้ำสระผมตอนนี้เลย อย่างน้อยก็ทำให้หัวมันโล่งขึ้น.. เพื่อนช่วยคิดว่าไปรดน้ำต้นไม้ก็ช่วยได้เหมือนกัน เลยแนะนำว่า ทำอะไรแล้วสบายใจ ไม่หมกมุ่นกับปัญหาที่ว่า ก็ไปทำอันนั้นก่อนละกัน



ทั้งหลายที่บอกไปมันช่วยได้ชั่วคราว คนไม่เคยฝึกใจเตรียมรับปัญหาที่จะเกิดขึ้น เมื่อปัญหาหนักใจเกิดขึ้นมา ใจก็จมอยู่กับความทุกข์ ยากที่จะถอนออกมาได้ง่ายๆ

ที่เจอมา บางช่วงบางวันดูเหมือนจะดีขึ้น อีกวันโทรมาเสียงเศร้า แก...ชั้นแย่แล้ว ชั้นหมดแรง ชั้นอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ชั้นต้องเป็นบ้าเร็วๆนี้ล่ะ คนฟังก็ทั้งใจหายและเหนื่อยใจไปพร้อมๆกัน ยังไงชั้นก็ต้องออก ชั้นอยู่ไม่ได้แล้ว อืม...เกลี้ยกล่อมให้อยู่ก็ไม่ยอมอยู่ เลยบอกว่า ได้เลย ทนไม่ไหว พรุ่งนี้ไปลาออกเลย ไม่ต้องทนแล้ว แต่...ต้องยอมรับเวลาที่ไปสัมภาษณ์งานนะว่าแกจะเป็นคนตกงาน ไม่มีสังกัด ซึ่งไม่รู้ว่าจะนานแค่ไหน ถ้าอีกสามเดือนยังไม่ได้งานทำ มันจะกลายเป็นข้อตำหนิได้ว่าทำไมว่างงาน... คุยกันอีกยาวในคืนนั้น คนที่อีกฝ่ายเห็นว่าสบายใจดีก็หมดแรงได้เหมือนกัน หมดแบบเสียงยังใสอยู่ เสียงอาจจะดูมีแรงส่วนใจน่ะ หมดแรงไปตอนไหนก็ไม่รู้ หรือมันมีการถ่ายเทพลังงานจากตัวคนคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง เป็นแบบนั้นได้หรือเปล่า? สุดท้ายก็ไม่ได้ออกก่อนกำหนด อยู่จนถึงเวลาที่เขากำหนดให้นั่นล่ะ

ยังมีเรื่องเอกสารที่ต้องช่วยกันตรวจดู มีคำร้องที่ยังไงก็ยื่นไปแม้ว่าจะไม่อยู่ในระบบปกติที่เราจะจัดการกันได้ ช่วยฟัง ช่วยคิดแต่ไม่ช่วยทุกข์

พอแน่ใจแล้วว่า ยังไงก็ต้องออก มีกำหนดวันแน่นอนแล้ว คราวนี้ต้องหางานจริงจัง งานอะไรก็ได้ที่ทำได้ ไม่เลือกมาก แต่ก็เลือกบ้าง ดูตำแหน่ง ดูสถานที่ว่าไม่ต้องเดินทางไกล แล้วก็ออกเดินทางไปสอบข้อเขียน สอบสัมภาษณ์

ได้รับรู้ทุกครั้งว่าเธอไปที่ไหนมา ครั้งแรกเราฉุนมาก เพราะเธอโทรมาเล่าให้ฟังว่า เกิดมาไม่เคยพบเจอคนแบบนี้ เขาถามชั้นว่า.... ฟังแล้วก็ ทำไมเหรอ คนแบบนี้เป็นยังไง แล้วถ้าได้งาน ต้องร่วมงานกับคนแบบนี้ แกจะมีปัญหารึไง เพราะเราฟังแล้วไม่เห็นว่ามันจะประหลาด (มาก) ตรงไหน อาจมีบางคำถามที่เราไม่ถูกใจ แต่ใครจะไปกะเกณฑ์ได้ให้เขาถามแต่สิ่งที่เราต้องการตอบ สิ่งที่เป็นจุดแข็งของเราทั้งหมด ตอนนั้นสวนกลับไปว่า ถ้าแกยังมีทัศนคติกับผู้คนแบบนี้อยู่ ถ้ายังมีประโยคที่ว่า “คนแบบนี้ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น” ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีปัญหาทั้งนั้นล่ะ เพื่อนตอบกลับมาว่า เธอไม่ได้คิดอย่างน้าน..

เราเงียบ รู้ว่าบางอย่างบางเรื่อง พูดไปเธอก็ไม่ฟัง เธอเป็นคนแบบนั้น แต่ก็ถือหูฟัง ฟังบ้าง ไม่ฟังบ้าง รอเธอเล่าจนจบ ฝ่ายนั้นเริ่มจะรู้สึกตัว กลับมายังจุดเริ่มต้นว่า ทำไมเราถึงพูดว่าเธอมีทัศนคติที่ไม่ดี เราบอกว่า วูบแรกที่เราฟัง เราคิดแบบนั้น เธอบอกว่าเธอไม่ได้คิดอะไรเลย แค่ไม่เคยเจอคนถามคำถามประหลาดๆแบบนี้มาก่อน เราก็เลยเฉย ไม่อธิบายอะไรมาก ไม่อยากฟังก็ไม่พูดให้ฟัง ด้วยความเป็นเพื่อนกัน เธอเลยยอมรับว่า เธออาจจะสื่อสารไม่ดีเองก็ได้ ใจเธอไม่ได้คิดอะไรกับผู้สัมภาษณ์คนนั้นจริงๆนะ เหมือนเราจะคุยกันคนละภาษา เหมือนผู้หญิงเสื้อแดงคุยกับผู้หญิงเสื้อเหลือง

และอีกหลายๆครั้งต่อมา ที่ไปสัมภาษณ์งานทีไร จะมีแต่ด้านลบของผู้คนแต่ละที่มาเล่าให้ฟัง
....ที่นี่มีสอบข้อเขียนด้วยแล้วชั้นไม่ได้เอาน้ำยาลบคำผิดไป ใครจะคิดว่าให้เขียนด้วยลายมือตัวเอง
....นัดกันไว้เวลาหนึ่ง สุดท้าย ให้ชั้นไปนั่งรอตั้งนาน กว่าจะเริ่มสัมภาษณ์ก็เลยเวลาเลิกงานไปแล้ว
....แบบทดสอบภาษาอังกฤษของที่นี่ ระบบเสียงมันแย่มากๆ ส่วนที่สอบฟัง มีเสียงแทรกเข้ามาจนฟังไม่รู้เรื่อง

แม้ในยามที่เครียดจัดช่วงสองสัปดาห์แรกที่ไม่ได้ทำงาน เธอโทรมาเล่าปัญหาที่มีกับคนในบ้านให้ฟัง ไม่พอใจที่คนโน้นคนนี้ทำแบบนั้น ก็...เข้าใจนะ มันเป็นความเครียดที่สะสมมาจากเรื่องงาน พอมากระทบอะไรนิดหน่อยทางบ้าน ก็รับไม่ไหวแล้ว ถ้าเป็นเวลาปกติทั่วไป คงมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นจะมีอะไรเลย แต่นี่เป็นช่วงที่ไม่ปกติ

สุดท้าย ก็ได้งานที่ดี ใกล้บ้านและผลตอบแทนก็ดีกว่าที่เก่า ดีใจที่เพื่อนได้งาน ปลื้มใจที่เธอโทรมาหาเราเป็นคนแรก ขอบใจที่ช่วยพาเธอฝ่าฟันความทุกข์มาได้จนถึงวันนี้

ไม่มีเรื่องทุกข์เรื่องไหนที่จะคงทนอยู่ได้นานจริงๆ เช่นเดียวกับความสุขนั่นล่ะ

...........

มกรา 2556

เราเลือกปฏิบัติ? Double Standard คงจะมีอยู่ทุกที่ เราจะรักใครเท่ากันได้ยังไง จะรักพี่ทุกคนเท่ากัน จะรักหลานทุกคนเท่ากัน จะรักเพื่อนทุกคนเท่ากัน?

เพื่อนคนหนึ่งบ่นเรื่องงานมาตั้งแต่เรียนจบ จนผ่านมาเกือบ 20 ปี ก็ยังบ่น คืนวันหนึ่งโทรมา คุยไปคุยมาเธอก็โกรธ คล้ายว่าเราไปดูถูกเธอเข้า จริงๆเราแค่ตั้งคำถามว่า ชีวิตต้องการอะไร เป้าหมายชีวิตคืออะไร เธอถามเราก่อน บอกไป เธอก็บอกของเธอบ้าง และเงื่อนไขอื่นๆประกอบอีก

อะไรก็แล้วแต่ที่ไปจุดชนวนความโกรธเธอเข้า ทำให้เสียงเธอเปลี่ยนไป ไอ้เราก็...วางหูก็ได้นะ ไม่ถือ (บ่นในใจ Smiley ) แต่กลายเป็นเราโดนพาดพิง ถ้าเป้าหมายชีวิตเป็นแบบนี้ จะหางานทำไม (จริงๆ recruit เขาเชิญไปตะหาก ไม่เคยหาเองซะหน่อย ก็ชอบไปสัมภาษณ์นี่นา เผื่อตกงานจะได้ประเมินราคาตลาดตัวเองถูก) จะอะไรก็แล้วแต่ นั่งฟังไปเงียบๆ เธอเริ่มรู้สึก เสียงอ่อนลง แล้วก็บ่นๆๆๆ คราาวนี้ทุกข์มากจริงๆนะ แต่ชั้นไม่ได้บอกพวกแก อืม...

สะท้อนเหมือนกันนะ อยาก..ดิ้น...ทุกข์... เป็นกันทุกคน จะสังเกตเห็นหรือไม่เห็นตะหาก

รึเราไม่มีอารมณ์ร่วม โมโหวูบที่ถูกพาดพิงแล้วก็หายไป ไม่รู้จะช่วยยังไง ช่วยส่ง Link ตำแหน่งงานไปก็ไม่ถูกใจ เบื่อๆเหมือนกันเนอะ คล้ายจะเป็นที่รองรับอารมณ์ของใครใคร

แต่ก็...ช่างเถอะ ใครจะกล้ามาตอแยกับเราได้นานล่ะ เราก็มีวิธีฉีกตัวเองออกมาแบบนิ่มๆเหมือนกัน ช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ได้ ก็ทำใจดีกว่า 

 




Create Date : 04 พฤษภาคม 2554
Last Update : 30 มกราคม 2556 19:39:15 น. 0 comments
Counter : 702 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

saifan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add saifan's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.