Group Blog
All Blog
<<< "ทางสายกลาง" >>>











“ทางสายกลาง”

ทางสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์

หลุดพ้นจากการเกิดแก่เจ็บตาย

 หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดที่ไม่มีวันสิ้นสุด

เรียกว่า มรรค หรือ มรรค ๘

เพราะมีองค์ประกอบอยู่ ๘ ประการด้วยกัน

 มรรค หรือ มรรค ๘ นี้

 เป็นทางสู่การหลุดพ้นจากความทุกข์

 ที่เกิดจากการเกิดแก่เจ็บตาย

เวียนว่ายตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่

เป็นทางที่พระพุทธเจ้าเป็นผู้ค้นพบด้วยพระองค์เอง

 เพราะไม่มีใครรู้จักทางนี้มาก่อน

 พระพุทธเจ้าพยายามไปศึกษากับครูบาอาจารย์ต่างๆ

 ก็ไม่มีใครรู้ทางสู่การดับทุกข์ได้อย่างแท้จริงและถาวร

รู้แต่การดับทุกข์ได้อย่างชั่วคราว

 พระองค์เลยต้องไปหาต้องไปค้นคว้าหาทาง

 เป็นเหมือนคนตาบอดคลำทางไป คลำผิดคลำถูก

 ในที่สุดก็ได้ทรงค้นพบทางที่นำไปสู่การหลุดพ้น

จากความทุกข์อย่างแท้จริง

 ทางนี้เป็นทางสายกลาง

สายกลางระหว่างทางอีกสองทาง

 มนุษย์เราใช้ในการดับความทุกข์

ก็คือการหาความสุขทางร่างกาย

 หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

เพื่อมาดับความทุกข์ใจ

ก็เป็นการดับได้เพียงชั่วคราว ดับไม่ถาวร

 เวลามีความทุกข์ใจก็ไปหาความสุขทางร่างกาย

 เช่นไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ไปกินไปดื่ม

ไปดูไปฟังอะไรต่างๆ

 ก็ทำให้ลืมความทุกข์ไปได้ชั่วคราว

แต่ไม่นานเดี๋ยวความทุกข์นั้นก็กลับมาอีก

 เพราะวิธีดับความทุกข์

ด้วยการหาความสุขทางร่างกายนี้

 ไม่สามารถดับความทุกข์ได้

 เพราะความทุกข์หรือเหตุของความทุกข์นี้

ไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย แต่อยู่ที่ใจ

นี่เป็นทางหนึ่งที่สัตว์โลกหรือมนุษย์ทั้งหลาย

หาทำกันเพื่อมาดับความทุกข์ใจกัน

แต่ก็ดับได้เป็นพักๆ ไปเท่านั้น

ความทุกข์ใจก็ยังไม่หายไป

ความทุกข์ใจที่เกิดจากการแก่ การเจ็บ การตาย

 การพลัดพรากจากสิ่งที่รักจากบุคคลที่รัก

 ก็ยังไม่ดับไปจากการได้ความสุขทางร่างกายมา

 ก็เลยมีผู้ที่หาอีกวิธีหนึ่ง วิธีนี้ก็คือ

ใช้การดับความทุกข์ด้วยการทรมานร่างกาย

 ทำให้ร่างกายมีความทุกข์

แล้วคิดว่าจะทำให้ความทุกข์ดับไปได้

ก็ดับไม่ได้เช่นเดียวกัน

มีพวกฤาษีชีไพรที่พยายามใช้การทรมานร่างกาย

ด้วยวิธีการต่างๆ มาดับความทุกข์ทางใจ

ก็ไม่สามารถมาดับความทุกข์ทางใจได้

 แม้แต่พระพุทธเจ้าเองก่อนจะตรัสรู้

ก็ทรงใช้วิธีนี้ ด้วยการทรมานร่างกาย

ด้วยการอดพระกระยาหาร

 ทรงอดพระกระยาหารถึง ๔๙ วัน

แต่ก็ยังไม่สามารถดับความทุกข์ทางใจได้

พระองค์จึงทรงรู้ว่าทางทั้งสองทางนี้

ไม่ใช่เป็นทางที่จะนำไปสู่การดับความทุกข์ต่างๆ

 ที่มีอยู่ในพระทัยของพระองค์ได้

การหาความสุขมาดับความทุกข์

พระองค์ก็เคยกระทำมาแล้ว

ตอนที่เป็นพระราชโอรส

 เป็นเจ้าชายสิทธัตถะประทับอยู่ในพระราชวัง

 ก็ใช้ความสุขทางร่างกายทางตาหูจมูกลิ้น

กายนี้มาจากความทุกข์ เวลาไม่สบายพระทัย

ก็จัดงานเลี้ยงจัดงานสังสรรค์ไปเที่ยวไปเล่น

ไปทำกิจกรรมอะไรต่างๆ

 เพื่อให้เกิดความเพลิดเพลินบันเทิงใจ

แต่ก็ดับได้ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

ไม่นานความทุกข์ใจนั้นก็กลับขึ้นมาอีก

พระองค์เลยรู้ว่าทางสองทาง

ที่ชาวโลกเราใช้เพื่อมาดับความทุกข์นี้

ไม่ได้เป็นทางที่จะนำไปสู่

ทางที่จะดับความทุกข์อย่างแท้จริง

 จึงทำให้พระองค์ต้องไปค้นคว้าหาทาง

ที่จะดับความทุกข์อย่างแท้จริงให้ได้

 แล้วในที่สุดพระองค์ก็สามารถค้นพบ

ทางที่นำไปสู่การดับของความทุกข์ต่างๆ ได้

 เป็นทางที่อยู่ระหว่างกึ่งกลาง

ระหว่างการใช้ความสุขทางร่างกาย

 และ การใช้การทรมานร่างกายมาดับความทุกข์

 ทางนี้พระองค์เรียกว่า มรรค ๘

เพราะว่ามีองค์ประกอบอยู่ ๘ องค์ประกอบด้วยกัน

 เป็นมัชฌิมาปฎิปทา เป็นทางสายกลาง

 ที่จะนำผู้ปฏิบัติผู้ที่เดินทางนี้ให้หลุดพ้น

จากความทุกข์ได้อย่างแท้จริงและถาวร.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๖๐








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 28 ธันวาคม 2560
Last Update : 28 ธันวาคม 2560 11:08:01 น.
Counter : 402 Pageviews.

0 comment
<<< "นา ๕๒ ไร่ " >>>










"นา ๕๒ ไร่"

เป็นเวลาที่ดีที่เราจะได้มาทบทวนดูเหตุการณ์

ที่ผ่านมาในระยะเวลา ๑ ปี ว่าได้ทำอะไรไปบ้าง

ที่เป็นคุณเป็นประโยชน์ และได้ทำอะไรไปบ้าง

ที่เป็นโทษกับตัวเราและผู้อื่น

ปีหนึ่งๆ พระพุทธเจ้าทรงมอบวันพระ

ให้พวกเราถึง ๕๒ วันพระด้วยกัน

เป็นมรดกของพระพุทธเจ้า

ที่มอบให้กับพุทธศาสนิกชน

 พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเหมือนกับชาวนา

ผู้มีที่นาเยอะ เวลาชาวนาตายไป

ก็ทิ้งที่นาเป็นมรดกให้กับลูกหลานไว้

เพื่อจะได้ทำประโยชน์ ทำมาหากิน

 ลูกๆ หลานๆ ทุกๆ คนของพระพุทธเจ้า

ก็จะได้ที่นาคนละ ๕๒ ไร่ด้วยกัน

 ลูกหลานแต่ละคนที่ได้รับมรดกคือเนื้อที่นา ๕๒ ไร่

 หรือวันพระ ๕๒ วันนี้ จะเอาไปทำประโยชน์

ได้มากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับสติปัญญา

กำลังความสามารถของแต่ละคน

ที่จะกระทำกัน อย่างพวกเรานี้

ในปีนี้เราได้ทำนาหมดทั้ง ๕๒ ไร่หรือเปล่า

คือเราได้มาวัดทุกๆ วันพระ

ครบ ๕๒ ครั้งหรือเปล่า

การมาวัดทุกๆ วันพระเป็นเหตุที่จะนำมาในสิ่งต่างๆ

 ที่เราปรารถนากัน คือความสุขและความเจริญ

 พระพุทธเจ้าทรงชี้บอกถึงเหตุที่จะนำมา

ซึ่ง ความสุขและความเจริญในตัวของเรา

 ว่าเกิดจากการกระทำของเรา

ทางกาย ทางวาจา และทางใจที่เป็นมงคล

พระพุทธองค์จึงได้ทรงกำหนดพิธีกรรม

การประกอบกิจทางศาสนา

ให้ศรัทธาญาติโยมได้มาปฏิบัติที่วัดกันทุกๆวันพระ

 เป็นการสร้างเหตุที่จะนำมา

ซึ่งความสุขความเจริญ ความเป็นสิริมงคล

 เพราะเวลาที่มาวัดในวันพระแต่ละครั้งนั้น

 จะได้กระทำสิ่งที่เป็นมงคล

 เริ่มตั้งแต่การบูชาพระรัตนตรัย

 การทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน

 การสมาทานและรักษาศีล การฟังเทศน์ฟังธรรม

และการปฏิบัติธรรมตามสมควร

แก่กำลังสติปัญญาของแต่ละท่าน

กิจกรรมเหล่านี้เป็นเหตุที่จะนำมา

ซึ่งความสุข ความเจริญ

 เพราะเป็นการขัดเกลาชำระจิตใจ

 ที่มีมลทินเครื่องเศร้าหมองคือกิเลสตัณหา

 ที่มีอยู่ในจิตใจของปุถุชน

อย่างเราอย่างท่านทุกๆ คนด้วยกัน

ถ้ามีกิเลสตัณหามากอยู่ในใจ ผลก็คือความทุกข์

 ความเสื่อมเสียก็จะมีมาก

ถ้าได้ชำระขัดเกลากิเลสตัณหาที่มีอยู่ในใจ

ให้เบาบางลงไป จิตใจก็จะเป็นจิตใจที่สะอาด

 เป็นจิตใจที่มีความสุข มีความสงบ.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

....................................

ธรรมะบนเขา (กำลังใจ ๖)

วันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๔








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 27 ธันวาคม 2560
Last Update : 27 ธันวาคม 2560 10:19:30 น.
Counter : 337 Pageviews.

0 comment
<<< "ความสุขทางใจ" >>>











"ความสุขทางใจ"

เราควรที่จะคอยสอดส่อง

ดูการกระทำของเราอยู่อย่างต่อเนื่องว่า

วันเวลาผ่านไปๆ เรากำลังทำอะไรกันอยู่

 เรากำลังทำทานกันหรือเปล่า

 กำลังรักษาศีลกันหรือเปล่า

 กำลังภาวนากันหรือเปล่า

เรากำลังทำอย่างอื่นหรือเปล่า

เรากำลังหาเงินหาทอง

 หาลาภหายศ หาสรรเสริญ

หาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายอยู่หรือเปล่า

 ถ้าเราหา เราก็ควรที่จะหยุดหาได้แล้ว

ถ้าจะหาก็หาเท่าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ

ถ้าเรายังไม่มีทรัพย์พอที่จะเลี้ยงดูร่างกายของเรา

 ด้วยปัจจัย ๔ เราก็หาทรัพย์มา

เพื่อมาเลี้ยงดูร่างกายของเรา แต่เราไม่หามาก

จนเกินต่อความต้องการของร่างกาย

 เราจะไม่ไปหา ยศถาบรรดาศักดิ์ 

เราจะไม่ไปหา สรรเสริญการยกย่องเยินยอ

เราจะไม่ไปหาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

 แต่เราจะมาหาความสุขทางใจกัน 

ด้วยการทำทาน ด้วยการรักษาศีล ด้วยการภาวนา

ถ้าเราหมั่นสอดส่องดูแลพฤติกรรมของเรา

ทุกวันทุกเวลา เราจะได้ไม่หลงทางกัน

เหมือนกับถ้าเราเปิดเเผนที่ดู

 เวลาที่เราเดินทางไปในที่ที่เราไม่เคยไป

ทุกครั้งที่เรามาเจอสี่แยก ทางเลี้ยว

 เราก็เปิดเเผนที่ดู ว่าเราต้องไปทางไหน

 ก็ถ้าเราไม่เปิดเราอาจจะเลี้ยวผิดทางไป

 แล้วเเทนที่จะไปถึงจุดหมายปลายทาง

 เราจะไปไม่ถึง เราจะต้องเสียเวลา

วกกลับมาใหม่ มาเริ่มต้นใหม่

หรือบางทีเราอาจจะไม่รู้เสียด้วยซ้ำไปว่า

เรากำลังไปผิดทาง อย่างนี้ยิ่งยากต่อการ

กลับมาสู่ทางที่ถูกได้

อย่างคนที่ไม่เคยฟังเทศน์ฟังธรรม

ไม่สนใจที่จะศึกษาพระธรรมคำสอน

ของพระพุทธเจ้าจะไม่รู้เลยว่า

ภารกิจของตนที่เป็นประโยชน์กับตน

อย่างแท้จริงนั้นเป็นอะไร ก็จะหลงคิดว่า

สิ่งที่ควรจะหากันในโลกก็คือ ลาภยศสรรเสริญ

 หาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กายกัน

 อย่างที่เราเห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้

คนส่วนใหญ่นี้จะทุ่มเทชีวิตจิตใจ

ให้กับการหาสภยศสรรเสริญ

 หาความสุขทางตา หู จมูก ลิ้น กาย

โดยไม่เคยคิดเลยว่า จะต้องสูญเสียสิ่งต่างๆ

 ที่หามาได้นี้ไปหมด

เมื่อเวลาที่ร่างกายนี้ตายไปแล้ว

เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นร่างกาย เขาเป็นใจ

 เขาคิดว่าเขาเป็นร่างกาย พอร่างกายนี้ตายแล้ว

 ทุกสิ่งทุกอย่างก็หมด

 ตัวเขาเองก็หมดไปกับร่างกาย

จึงทำให้เขาต้องทุ่มเทชีวิตจิตใจ

 ให้กับการหาลาภยศสรรเสริญ

หาความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกาย

 เพราะเป็นความสุขทางเดียว

ที่เขาสามารถจับต้องได้เห็นได้

 เพราะเขาไม่เคยได้สัมผัสจับต้อง

 กับความสุขทางใจนั่นเอง.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖






ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 26 ธันวาคม 2560
Last Update : 26 ธันวาคม 2560 15:21:51 น.
Counter : 364 Pageviews.

0 comment
<<< " เวลา " >>>











"เวลา"

เพราะเวลานี้แหละ จะเป็นสิ่งที่กลืนกิน

สรรพสิ่ง สรรพสัตว์

สรรพบุคคลทั้งหลายให้หมดไป

เวลานี้เป็นเหมือนกับงู ที่เขมือบเหยื่อ

จะเขมือบเหยื่อเข้าไปทีละเล็กทีละน้อย

 จนในที่สุดเหยื่อก็จะถูกงูนี้

เขมือบเข้าไปในท้องหมดเลย

ชีวิตของพวกเราทุกคน ก็กำลังถูกงู คือเวลา

 คอยเขมือบชีวิตของเรา

เข้าไปทีละเล็กทีละน้อย และไม่นาน

ชีวิตของพวกเราก็จะสูญหมดไป

ในขณะที่เรายังมีโอกาส

มีเวลาที่จะทำอะไรได้อยู่

ถ้าเราไม่ฉวย ไม่ตักตวงโอกาสอันนี้

 มาทำสิ่งที่เป็นคุณ

เป็นประโยชน์กับจิตใจของเรา

 เราก็จะสูญเสียโอกาส อันดีงามนี้ไป

 เพราะโอกาสที่จะได้ปฏิบัติธรรมกันนี้

 เป็นสิ่งที่ยากที่จะเกิดขึ้น

โอกาสที่จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นสิ่งที่ยาก

 โอกาสที่จะได้พบกับพระพุทธศาสนา

ก็เป็นสิ่งที่ยาก และผลที่จะได้รับ

จากการเกิดเป็นมนุษย์

จากการได้พบกับพระพุทธศาสนา

 จากการที่ได้มีเวลามาศึกษามาปฏิบัติธรรม

 ก็เป็นสิ่งที่เลิศที่ประเสริฐ

ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในโลกนี้

ดังนั้นเราอย่าเสียเวลา หรืออย่าหลงทางกัน

 อย่าไปหลงกับการแสวงหาสิ่งต่างๆ

 ที่มีอยู่ในโลกนี้ เช่นลาภยศสรรเสริญ

 ความสุขที่เราจะได้จากรูปเสียงกลิ่นรสโผฏฐัพพะ

 ของเหล่านี้เป็นของที่จะต้องหมดไป

 เมื่อเวลาได้กลืนกินชีวิตของเราไป

 และเราก็จะต้องไปแบบไม่มีอะไรติดตัวไป

 ไปเริ่มต้นใหม่ แล้วก็จะถูกเวลา

กลืนกินไปหมดอีกเป็นรอบๆ ไป ไม่มีวันจบสิ้น

 ถ้าเราไม่เอาเวลาที่มีคุณค่านี้มาปฏิบัติ

ตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ปฏิบัติ

 เพราะการปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้า

ทรงสั่งสอนให้ปฏิบัตินี้

 จะเป็นการสร้างทรัพย์ที่แท้จริง

ให้กับตัวเราหรือใจของเรา

 จะสร้างความสุขที่แท้จริง ที่ถาวรให้กับเรา.

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

...............................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖








ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุสาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพ




Create Date : 26 ธันวาคม 2560
Last Update : 26 ธันวาคม 2560 14:46:45 น.
Counter : 511 Pageviews.

1 comment
<<< "เราต้องมีบารมีธรรม" >>>











"เราต้องมีบารมีธรรม"

ชีวิตของพวกเราก็เป็นเหมือนเรือ

ที่ลอยอยู่ในกลางทะเล ถ้าเราไม่มีพาย ไม่มีใบ

 ไม่มีหางเสือหรือไม่มีเครื่องยนต์

เรือมันก็ต้องไหลไปตามกระแสน้ำกระแสลม

 มันก็จะลอยอยู่ในทะเลไปเรื่อยๆ

โอกาสที่มันจะไปขึ้นฝั่งนี้ ก็คงจะยาก

แต่ถ้าเรามีหางเสือ มีใบหรือมีพาย

 หรือมีเครื่องยนต์ไว้ควบคุมบังคับเรือ

เรือมันก็สามารถที่จะไปสู่ จุดหมายปลายทาง

ที่เราต้องการจะไปได้ เช่นขึ้นฝั่ง

 ถ้าเราต้องไปขึ้นฝั่งถ้าเราไม่มีอะไร

 เราลอยคออยู่กลางทะเล ไม่มีใบ ไม่มีหางเสือ

ไม่มีพายก็ทำอะไร ก็ต้องปล่อยให้มันไหลไป

ตามกระแสลมกระแสน้ำ ลมก็พัดไปพัดมา

น้ำมันก็พัดไปพัดมา

โอกาสที่มันจะพัดขึ้นฝั่งนี้แทบจะไม่มี

ดังนั้นชีวิตของเราก็เหมือนกัน

ถ้าเราไม่มีอะไรควบคุมจิตใจของเรา

 ปล่อยให้มันเป็นไปตามอารมณ์

ความรู้สึกนึกคิด อยากจะทำอะไรก็ทำ

 ไม่อยากจะทำก็ไม่ทำ มันก็จะพาให้เราวนไปวนมา

อยู่ในวัฏฏะ แห่งการเวียนว่ายตายเกิด

 เพราะส่วนใหญ่ความอยากของเรา

 อารมณ์ของเรามันจะให้เรา

ไปหาของที่มีอยู่ ในกลางทะเล

มันจะไม่พาให้เราไปขึ้นฝั่งนั่นเอง

ฝั่งที่พูดถึงนี้ก็คือพระนิพพาน

การหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด

 การที่เราจะเอาจิตใจของเราที่เป็นเหมือนเรือนี้

ให้ไปสู่ฝั่งของพระนิพพานได้

 เราก็ต้องมีเครื่องบังคับเรือ

 เช่นจะเป็นเครื่องยนต์ก็ได้ หรือเป็นใบ

 สมัยก่อนสมัยโบราณก็ใช้ใบใช้หางเสือหรือใช้พาย

ก็สามารถที่จะควบคุมบังคับเรือให้ไปสู่ฝั่งได้

 ถ้าจิตใจของพวกเราไม่ต้องการที่จะปล่อย

ให้มันเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสารไปเรื่อยๆ

 เราก็ต้องมีเครื่องมือ เครื่องมือนี้ก็คือธรรม

ธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบำเพ็ญ เรียกว่า บารมี

บารมีนี้แหละที่ทำให้พระทัยของพระพุทธเจ้า

ได้ไปถึงพระนิพพาน

 ถ้าพวกเราอยากจะไปพระนิพพาน

เราก็ควรที่จะมาทำตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำ

คือเจริญบารมีทั้ง ๑๐ ประการ .

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

..................................

ธรรมะบนเขา

วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๕๙









ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 24 ธันวาคม 2560
Last Update : 24 ธันวาคม 2560 10:37:55 น.
Counter : 478 Pageviews.

0 comment
1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ