วิปัสสนา เห็นความจริง รู้แจ้งเห็นจริง
ความรู้สึกสุขทุกข์เรียกว่าเวทนา มีสามแบบ
มีทุกขเวทนา มีสุขเวทนา มีไม่สุขไม่ทุกขเวทนา
มันก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตามร่างกาย
ร่างกายไปอดอาหารขาดอาหารขึ้นมา
ก็ทุกขเวทนา อดน้ำหิวน้ำก็ทุกขเวทนา
พอได้ดื่มน้ำได้รับประทานอาหาร
ก็สุขเวทนาปรากฎขึ้นมา นอนไม่พอก็ทุกข์ก็เวทนา
เห็นไหมเวลานอนไม่พอรู้สึกยังไง สุขไหม
เวลานอนได้อิ่มเต็มที่ตื่นขึ้นมาแล้วสุขเวทนาไหม
นี่ก็เวทนา บางทีเราก็สั่งมันได้บางทีเราก็สั่งมันไม่ได้
บางทีอยากจะให้มันนอนแต่มันนอนไม่หลับ
ก็มีเครียดกังวลกับเรื่องนั้นกังวลกับเรื่องนี้
ให้นอนนอนเท่าไหร่ก็ไม่หลับ
พอไม่นอนก็ต้องลุกมาทำโน่นทำนี่
ก็ไม่สุขแล้วเพราะนอนไม่หลับ
นอนมีความรู้สึกไม่ดีนี่คือเวทนา รูปเวทนานี้
หรือสังขารความคิดของเราก็เหมือนกัน
คนที่คิดไปในทางทำให้เราสุขก็มี
คิดไปในทางทำให้เราทุกข์ก็มี
ถ้าคิดไปในทางความอยากนี้มักจะทำให้เราทุกข์กัน
อยากให้เป็นอย่างนั้นอยากให้เป็นอย่างนี้
อย่างฝนนี้อยากจะให้มันหยุดไม่อยากให้มันตกตอนนี้
ถ้าไปอยากแล้วมันก็จะไม่สบายใจ
แต่ถ้าคิดไปในทางว่ามันเป็นอนัตตา
ไปสั่งมันไม่ได้ ดินฟ้าอากาศมันจะตกก็ตก
มันไม่ตกจะไปสั่งให้มันตกก็ไม่ได้
มันตกแล้วจะห้ามมันไม่ให้มันตกก็ไม่ได้
ก็อย่าไปคิดทางความอยาก ก็จะไม่ทุกข์
สัญญาความจำก็เหมือนกัน ชอบไปจำผิด
จำของที่ไม่ใช่เป็นของเราว่าเป็นของเรา
เราว่าคนนั้นคนนี้เป็นของเรา สิ่งนั้นสิ่งนี้เป็นของเรา
พอมันไม่ได้เป็นของเราขึ้นมาก็ทุกข์ขึ้นมา
กลายเป็นของคนอื่นไป เงินนี้เป็นของเรา
อยู่ดีๆ มันก็กลายเป็นของคนอื่นไป ก็ทุกข์
เพราะไปคิดว่าเป็นของเรา มันเป็นของเขาแล้ว
จะเป็นของเราได้อย่างไร
ถ้าเป็นของเรามันก็ต้องอยู่กับเรา
ถ้ามันไม่ได้อยู่กับเราก็แสดงว่ามันไม่ได้เป็นของเรา
และของทุกอย่างที่อยู่กับเราตอนนี้
ต่อไปมันจะอยู่กับเราไปตลอดไหม
แล้วมันจะเป็นของเราได้อย่างไร
เราต้องมาแก้ความจำ
เปลี่ยนความจำให้จำว่ามันไม่ได้เป็นของเรา
แล้วมันเที่ยงหรือไม่เที่ยง แล้วมันสุขหรือมันทุกข์
ให้มาแก้ความจำ แก้ว่าทุกอย่างมันเป็นทุกข์
เพราะว่ามันไม่เที่ยงเพราะว่ามันไม่ได้เป็นของเรา
เราไปสั่งมันไม่ได้ไปควบคุมบังคับมันไม่ได้ตลอดเวลา
สั่งได้บางเวลาควบคุมได้บางเวลา
อย่างตอนนี้ ลูกนี่สั่งมันได้ควบคุมมันได้
เพราะตอนนี้มันยังต้องพึ่งเราอยู่
มันยังหากินของมันเองยังไม่ได้
เดี๋ยวต่อไปพอมันหากินเองได้ มันไปแล้ว
มันไม่อยากจะให้เราสั่งมันแล้ว
มันไม่อยากจะอยู่กับเรา มันอยากจะเป็นอิสระแล้ว
นี่คือแก้ความจำเสียใหม่ สัญญาจำผิด
เคยจำว่ารูปเสียงกลิ่นรส เที่ยงเป็นสุขเป็นของเรา
เห็นอะไรก็ว่าเที่ยงเห็นอะไรก็ว่าสุข
เห็นอะไรก็ว่าจะเป็นของเราไปตลอด
ได้มาแล้วก็ต้องเป็นของเราตลอด
เห็นกระเป๋าในร้านนี้เห็นแล้วสุข
พอได้มาแล้วเดี๋ยวเดียวสุขนั้นก็หายไป
แล้วถ้ากระเป๋าหายก็ทุกข์ก็ตามมา
เพราะมันไม่ได้เป็นของเราเสียแล้ว
เงินพอได้มาก็สุข พอหายไปก็ทุกข์ มันเที่ยงไหม
ถ้ามันเที่ยงก็ต้องอยู่กับเราไปตลอด
เป็นของเราไปตลอด
เราสั่งมันได้ สั่งให้มันอยู่กลับเราสั่งให้มันไป
ตอนนี้เราสั่งให้มันไปได้ สั่งให้มันอยู่ไม่ได้
เงินนี่เราสั่งให้มันไปได้
ไปซื้อของที่ร้านแป๊บเดียวหมดแล้ว
แต่สั่งให้มันมาไม่ได้ และนี่ให้หัดคิดอย่างนี้นะ
แล้วการบรรลุธรรมจะรวดเร็ว เห็นทุกอย่างว่าไม่เที่ยง
ไม่ใช่ของเรา ถ้าไปอยากให้เที่ยง
อยากให้เป็นของเราแล้วจะทุกข์
เราไม่ได้มาเปลี่ยนอะไร ทุกอย่างเหมือนเดิม
เรามาเปลี่ยนใจเราตัวเดียว เปลี่ยนความหลงของเรา
ให้เป็นความจริง ให้เห็นความจริง
วิปัสสนาแปลว่าการเห็นความจริง รู้แจ้งเห็นจริง
นี่วิปัสสนา อันนี้เราเห็นตามความหลง
เหมือนเราใส่แว่นตาสีแดงสีชมพู
คนชอบใส่แว่นตาสีชมพู เวลาเห็นภาพ
มันเป็นชมพูไปหมดเลย
มันไม่ได้เป็นเขียวเป็นแดงเป็นขาว
เห็นอะไรนี้มันจะมีสีชมพูอยู่
ก็มองไม่เห็นตามความเป็นจริง สีจริงไม่เห็น
เห็นสีผสมชมพูไปหมด คือความหลง
มันก็เหมือนกับแว่นที่มันมาครอบใจเรา
ทำให้เราเห็นกลับตาลปัตร
ตรงกันข้ามกับความเป็นจริง
เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นทุกข์ว่าเป็นสุข
เห็นของที่ไม่เที่ยงว่าเที่ยง
เห็นของที่ไม่ใช่เป็นของเราว่าเป็นของเรา.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
...............................
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๖๐
ขอบคุณที่มา fb. พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ