Group Blog
All Blog
<<< "แปรรูปความสุข" >>>








"แปรรูปความสุข"

ความสุขอันใดเมื่อแปรรูปเสียแล้วมันไม่เน่า

 นี้ก็เหมือนแม่ค้าที่ขายผลไม้

 เช่น มะม่วง ขนุน หรือทุเรียน

 เมื่อเห็นว่ามันสุกงอมมากๆ

 จะเก็บไว้ก็ไม่ได้จะกินก็ไม่ทัน

 ขายก็ไม่หมดเขาก็นำมาปอกเปลือกออก

 แล้วฝานเอาแต่เนื้อในมันมากวนเสีย

 ทำให้เป็นขนุนกวน ทุเรียนกวน หรือมะม่วงแผ่น

 ผึ่งแดดให้แห้งแล้วก็เก็บไว้ได้ทนทาน

 รับประทานก็อร่อย ขายก็ได้ราคาดี

นี่เรียกว่ามีปัญญา

ทำของสุกไม่ให้เน่าเสียหายฉันใด

 เมื่อบุคคลเรามีความสุขมากแล้ว

ก็จงอย่าติด หลงระเริงในความสุขจนลืมตัว

ต้องบดขยี้ความสุขนั้นให้แตกออกเป็นความทุกข์

แล้วก็จะรู้จักตัวความสุขที่แท้จริง

อันเป็นของไม่แปรเปลี่ยน

 เป็นความสุขที่คงทนถาวร มีค่าสูง

ความสุขอันใดได้มาจากบุคคลอื่นนั้น

 ควรพิจารณาว่าไม่ใช่สิ่งคงทนแก่นสาร

 ความสุขที่เป็นแก่นสาร

ต้องเป็นความสุขที่ได้จากตัวของเราเอง

 คือเราต้องหัดอดทนต่อสู้กับความทุกข์

อันเกิดขึ้นจากร่างกาย เมื่อเราทำได้

ดวงจิตของเราก็จะมั่นคง มีกำลังแรงกล้า

ลอยตัวขึ้นสู่ระดับสูงเป็นลำดับ

ในที่สุดเราก็จะประสบกับความสุขอันแท้จริง

ซึ่งพระองค์ทรงตรัสว่าเป็น

ความบรมสุขเหตุนี้ท่านจึงสอนให้พากันบี้โลกิยสุข

ให้เป็นความทุกข์เสียก่อน อย่าหลงกิน หลงนอน

รีบบำเพ็ญทุกขกิริยา บำเพ็ญเพียรอยู่เสมอ

 เพราะความสุขนั้นมันปิดบังความทุกข์ไว้ไม่เปิดเผย

 ถ้าใครตระหนี่เหนียวแน่นไม่ยอมเสียสละโลกิยสุข

พอความทุกข์มันจะเกิดก็ปิดบังไว้เสีย

 เปรียบเหมือนคนเห็นกองทัพ

แล้ววิ่งหนีไปเสีย เช่นนี้

ผู้นั้นก็ไม่อาจชนะสงครามได้

 ฉันใดเราต้องการพ้นทุกข์

 แต่เอาสุขไปกลบไว้เสีย

 ก็ย่อมไม่สามารถจะแลเห็นทุกข์ได้

 เหมือนคนที่เสียดายผลไม่กลัวจะเน่าเสีย

 แต่ไม่นำไปกวนให้มันสุกไฟผลไม้นั้นก็ต้องเน่า

กินไม่ได้ต้องโยนทิ้ง

 ความทุกข์ซึ่งเกิดจากการยืน เดิน นั่ง นอน

 เมื่อเราปิดเสียมันก็หายไป เหมือนคนหิว

 พอกินอาหารแล้วมันก็หายหิว

 อิริยาบถของเราก็เช่นเดียวกัน

ถ้าเรานั่งนานๆหลังแข็ง เราก็นอนเสีย มันก็หายไป

 เช่นนี้ การเดินก็ไปปิดทุกข์การนั่ง

 การนั่งก็ไปปิดทุกข์ การยืน

 การนอนก็ไปปิดทุกข์การนั่งเสียหมด

สรุปก็คือ อิริยาบถทั้ง ๔ เราก็ปิดเสียซึ่งของจริง

 ความหิวโหยซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมดา

 เราก็ไม่อดทน เกิดโรคก็หาอาหารวิเศษมาเยียวยา

 เจ้าตัวสัตว์นั้นเมื่อมันได้เป็นอาหารของใครมา

 มันก็จะต้องมากลุ้มรุมคนนั้น

แล้วในที่สุดเขาก็จะมาจิกกระเพาะ

รากของคนนั้นแหละ

 ยิ่งเจ็บก็ยิ่งถวายยามันเข้าไป

 ในที่สุดความตายมันก็มาจิกตัวเอง

ฉะนั้นจึงควรบำเพ็ญกรรมฐานแยกกายออก

 ให้เหมือนมะม่วง ส่วนเปลือกก็เป็นเปลือก

 ส่วนเนื้อก็เป็นเนื้อ ส่วนเมล็ดก็คือ “กิเลส”

ท่านพ่อลี ธมฺมธโร

 

พระธรรมเทศนา


..............................


ที่มา อนุสรณ์ วิหารสุทธิธรรมรังสี
พระสุทธิธรรมรังสี คัมภีรเมธาจารย์
(พระอาจารย์ลี ธมมฺธโร)






ขอบคุณที่มา fb. ไม้ขีดครับ
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ




Create Date : 09 มิถุนายน 2561
Last Update : 9 มิถุนายน 2561 10:42:23 น.
Counter : 330 Pageviews.

0 comments
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

tangkay
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 55 คน [?]



(•‿•✿) พออายุเลยเลขหกฉันยกเครื่อง
มอบทุกเรื่องที่เคยรู้คู่ความเห็น
มอบประสบการณ์ผ่านพบจบประเด็น
ไม่ยากเย็นเรื่องความรู้ตามดูกัน
ฉันคนเก่าเล่าความหลังยังจำได้
แต่ด้วยวัยที่เหลือน้อยค่อยสร้างสรร
ยอมรับเรื่องเนตโซเชียลเรียนไม่ทัน
อย่าโกรธฉันแค่สูงวัยแต่ใจจริง
ด้วยอายุมากมายอยากได้เพื่อน
หลากหลายเกลื่อนทุกวัยทั้งชายหญิง
คุยทุกเรื่องแลกเปลี่ยนรู้คู่ความจริง
หลากหลายสิ่งฉันไม่รู้ดูจากเธอ ....
สิบปีผ่านไป.......
อายุเข้าเลขเจ็ดไม่เผ็ดจี๊ด
เคยเปรี้ยวปรี๊ดก็ต้องถอยคอยเติมหวาน
ด้วยเคยเกริ่นบอกเล่ามาเนิ่นนาน
ก็ยังพาลหมดแรงล้าพากายตรม
ด้วยชีวิตผ่านมาพาเป็นสุข
ยังสนุกกับการให้ใจสุขสม
อยากบอกเล่ากล่าวอ้างบางอารมณ์
แม้คนชมจะร้องว้า....ไม่ว่ากัน
ปัจจุบันเขียนน้อยค่อยเหินห่าง
ระบบร่างเปลี่ยนแปลงเหมือนแกล้งฉัน
เราคนแก่ตามแก้ไม่ค่อยทัน
ยักแย่ยันค่อยศึกษาหาข้อมูล
แต่ด้วยคิดถึงแฟนคลับกระชับมิตร
จึงต้องคิดตามต่อไปไม่ให้สูญ
ส่งความรู้คู่ธรรมะทวีคูณ
เพื่อเพิ่มพูนให้รู้กันฉันสุขใจ