สุขสรรค์ หรรษา กับคุณสามีฝรั่ง กับมิสซิสอาร์โนลด์

Happiness&Fun with my Farang Husband

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

สุขสันต์ หรรษากับคุณสามีฝรั่ง(ตอนที่ 2: หนุ่มนานาชาติ)

.... สุขสันต์ หรรษา กับคุณสามีฝรั่ง




บทที่ 2: หนุ่มนานาชาติ

(เรื่องสั้นจากกระทู้ที่ W4673300 ในถนนนักเขียน)
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4673300/W4673300.html



ก่อนที่จะขึ้นบทนี้ ขอเริ่มเท้าความเป็นตัวตนของสาวไทยคนนี้สักนิดหน่อย
เริ่มต้นจากความรู้สึกตั้งแต่เด็กสมัยประถมจนถึงมัธยมต้น
ดิฉันคิดมาตลอดว่าตัวเองหน้าตาอยู่ในเกณฑ์ดี
ทั้งนี้เนื่องมาจากว่าเวลาโรงเรียนมีงานกีฬาสี แห่เทียน ลอยกระทง
หรืองานวัดงานบุญต่างๆ

ดิฉันเนี่ยแหละค่ะเป็นมาหมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ดรัมเมเยอร์
คนถือป้าย เชียร์ลีดเดอร์ นางนพมาศ หรือถือเทียนเข้าพรรษา
ดังนั้น จึงมีความภาคภูมิใจในหน้าตาอันอยู่ในเกณฑ์ผ่าน ISO
ของตัวเองมาตลอด เป็นธรรมดาหนุ่มไทยในโรงเรียนก็ต้องมีมาพัวพันบ้าง
พอสมควร แอบเอาดอกไม้มาให้อยู่ประจำ ตอนนั้นสำหรับดิฉันแล้ว
หนุ่มไทยช่างเอาใจ อยากได้นู่น ก็หามาให้ อยากได้นี่ก็หามาให้

แต่พอผ่านช่วงกราฟขึ้นสูงของชีวิตไป ผ่านเข้าสู่ชั้นมัธยมปลาย
ขอโทษค่ะ ชีวิตดิฉันดิ่งลงอย่างน่าใจหาย จากการเคยเป็น “ดาวเด่น” ในโรงเรียน
กลับกลายมาเป็น “ดาวดำ” ประจำโรงเรียน คือชีวิตผลิกผัน
ต้องเข้าโรงเรียนอัสสัมชัญ ซึ่งเป็นโรงเรียนคนมีเงิน
ก็จะมีแต่หนุ่ม สาว หน้าตา อาตี๋ อาหมวย ขาวๆ สวยๆ กันทั้งนั้น
ทำให้ช่วงนั้นดาวโรงเรียนอย่างดิฉัน
ต้องมาเป็นอ้ายดำ ในกลุ่มเพื่อนผู้ชาย ตอนนั้น
ถ้าถามว่าผู้ชายไทยเป็นอย่างไรเหรอ คงตอบได้ทันทีค่ะว่า
ตาต่ำ มองไม่เห็นคุณค่าของเพชรเม็ดงามอย่างดิฉัน
คือขอโทษค่ะ อยู่มาสามปี ม.4- ม. 6 ไม่มีผู้ชายหน้าไหนมาจีบ

ผ่านจากช่วงชีวิตนักเรียนมัธยมปลาย ก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย
ดิฉันก็มีชีวิตเริ่มเปลี่ยนไป เพราะเริ่มเรียนรู้ว่า
เป็นหัวหมาดีกว่าเป็นหางราชสี
ดิฉันจึงไม่เลือกค่ะ มหาวิทยาลัยดังๆ ให้เหตุผลว่า ไม่เหมาะกับเรา
แต่จริงๆ รู้ค่ะว่าไปอยู่น่ะ ดับแน่นอน
จึงผันตัวเองมาอยู่แบบบ้านๆ ชีวิตก็ดีค่ะ แต่ก็เริ่มเรียนรู้ว่า
ความรักในวัยเรียนยังเป็นอะไรที่ไม่แน่ไม่นอน
คบๆไปเดี๋ยวก็เลิก

แต่ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าไม่ใช่กับทุกคน ทุกคู่
บางคู่เค้าคบกันตั้งแต่เรียนจนแต่งงานมีลูก ก็มีเยอะแยะ
ทั้งนี้เรื่องความรักก็ขึ้นอยู่กับคนสองคนนั่นแหละค่ะ
ว่าจะประคับประคองกันไปได้ขนาดไหน เคยมีพี่สาวคนหนึ่งสอนดิฉันว่า
“ความรักต้องการทั้งการ อยู่ทน และก็ต้องการ ทนอยู่ ไปพร้อมๆ กัน”
ส่วนตัวดิฉันเองหรือคะอยู่ไม่ทนเลยสักคน

จนกระทั่งปีสุดท้ายออกฝึกงาน ได้พบกับสัตวแพทย์หนุ่มคนหนึ่งเข้ามาจีบ
แบบซึมลึกค่อยๆ เป็นค่อยๆไป พี่ๆน้องๆ จนมาเป็นแฟน
ก็คบกันเรื่อยๆ จนกระทั่งคบกันได้เกือบสองปี ก็ใช้ทั้งความอยู่ทน
และก็ทนอยู่นั่นแหละค่ะ ได้ผล
จนกระทั่งดิฉันต้องไปเรียนต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
เรื่องราวทุกอย่างจึงได้เริ่มต้นขึ้น

ก่อนมาอเมริกา เราเองมั่นใจกับหัวใจตัวเองว่าจะไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลง
เราสองคนได้ ถึงแม้บางทีมีคนทักเหมือนกันว่า
ไม่กลัวเหรอที่เราสองคนแตกต่างกัน คือเราเป็นคนแบบคล้ายๆ คนละขั้ว
ดิฉันเป็นสาวสังคม เข้ากับคนง่าย เค้าเป็นคนเก็บตัว ไม่ค่อยยุ่งกับใคร
ดิฉันเป็นคนเพื่อนเยอะโดยเฉพาะเพื่อนผู้ชาย
(เพราะเราเรียนโรงเรียนชายล้วนระดับประถม-มัธยมต้น เปิดรับผู้หญิงแค่มัธยมปลาย)
แนวคิดคล้ายผู้ชาย คุยกันแบบตรงๆ
คุยกันได้คุยกันไป คุยกันไม่ได้ก็ต่อยกันเลยดีกว่า
แต่เค้าถูกเลี้ยงมาแบบสังคมปิด ครอบครัวไทยแท้
มีปัญหาก็พยายามไม่พูดถึง หลบไปซักพักจะดีกว่า
เราเองคิดมาตลอดว่าไม่เห็นเป็นไร เพียงแค่เราปรับเข้าหากันอะไรๆ คงเข้ากันได้

แต่แล้ววันนี้ก็มาถึง
ดิฉันกลับมาถามตัวเองว่า นอกจากความแตกต่างแล้ว
เราสองคนยังคงมีความรักให้กันเหมือนเดิมหรือเปล่า
เพราะดิฉันเองรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นผีเสื้อสีสวยที่ถูกจับมาใส่ขวดโหลแก้ว
ไม่แปลกอะไรถ้าในใจผีเสื้อน้อยอยากจะโบยบินสู่ธรรมชาติดังเดิม
ถึงแม้จะพยายามปรับตัวอย่างไรก็ไม่เป็นผล

ครั้งหนึ่งก่อนดิฉันโบยบินไปที่อเมริกา เคยทะเลาะกันรุนแรงที่สุด
พี่เค้าพูดกับดิฉันว่า ‘เราสองคนต่างก็ต้องการความรักแล้วใครล่ะจะเป็นคนที่ให้ความรัก.
พี่ว่าเราถอยความรู้สึกให้ห่างกันอีกซักก้าวจะดีไหม’
จากนั้นเค้าก็ตัดเราทิ้งไปเลย คือปิดการติดต่อทุกอย่าง
แต่เรามันพวกวิ่งชน ไม่ได้ มีปัญหาต้องเคลียร์
เลยตัดสินใจบุกไปเจอกันต่อหน้าจึงเคลียร์ปัญหากันได้

ตอนนั้นเราเสียใจกับคำพูดนั้นมาก เพราะ คิดว่าชีวิตอยู่โดยไม่มีเค้าไม่ได้
แต่ภายในใจเราสองคน ต่างคนเริ่มรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงที่ได้ก่อตัวอย่างช้าๆ แล้ว

เราสองคนยังลองพยายามกันใหม่อีกครั้งซึ่งเป็นระยะเวลาสักพัก
ดิฉันก็ต้องย้ายไปเรียนอเมริกาเป็นเวลา 1 ปี
ในช่วงเดือนแรกๆ โทรกลับเมืองไทยบ่อยมาก
แต่แล้วทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อช่วงชีวิตมีใครหลายคนก้าวเข้ามา
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนคนไทย ต่างชาติ
ทำให้ดิฉันเองไม่ค่อยได้โทรกลับ เค้าเองก็ไม่ค่อยได้โทรไปหา

ดิฉันเป็นคนตรงๆ มีใครเข้ามาในชีวิต ทุกครั้งที่คุยกัน
ดิฉันจะบอกเค้าหมดโดยที่เค้าไม่เคยบอกเราเลยสักนิดว่า
เค้าไม่ชอบ หรือไม่อยากได้ยิน จนวันหนึ่งเค้าพูดกับเราอีกครั้งว่า
“พี่ไม่สามารถดึงเราออกมาจากเพื่อน หรือสังคมแบบที่เราอยู่ได้
และพี่เองก็ทนไม่ได้ที่เรามีเพื่อน (ผู้ชาย) เยอะมากมายขนาดนี้
พี่ว่าเราหยุดความสัมพันธ์ของเราตรงนี้ดีกว่า
ความสัมพันธ์สองปีของเราจึงสิ้นสุดกัน ณ วันนั้น ตอนนี้
ผู้ชายไทยในความคิดของเราคือ มีมุมมองที่ค่อนข้างบีบให้ผู้หญิง
ต้องอยู่ในกรอบที่ผู้ชายกำหนดขึ้น เช่นว่า
เธอเป็นผู้หญิงของฉัน จะมีเพื่อนผู้ชายไม่ได้นะฉันหึง
อันนี้ก็ไม่ใช่ความผิดใคร แต่เป็นเพียงความแตกต่างที่ไม่ลงตัว
ของคนทั้งคู่เท่านั้นเอง

จากนั้น ชีวิตของดิฉันก็เริ่มก็มีหนุ่มหลายคนก้าวเข้ามา
ไม่ว่าจะเป็นอิตาลี เวเนซูเอล่า แม็กซิโก หรืออเมริกัน
ไม่รู้เหมือนกันว่าผิวสีเข้มอย่างสาวไทย
จะเป็นที่ถูกใจอะไรนักหนา
แต่อย่างหนึ่งที่ได้เรียนรู้ก็คือวิธีการจีบสาว
และเชื่อมความสัมพันธ์ของผู้ชายไทย และผู้ชายต่างชาตินั้นแตกต่างกัน

ผู้ชายไทย จะจีบหญิงต้องเข้าไปขอเบอร์
แต่ขอโทษค่ะ สาวไหนไปอยู่อเมริกา ถ้าทำเป็นตั้งแง่ กลัวเสียเชิงโทรไปหาผู้ชายก่อน
ไม่ได้นะคะ ที่นั่น ถ้าผู้ชายเค้าสนใจผู้หญิงสักคนละก้อ
เค้าจะแลกเบอร์ค่ะ และถ้าผู้หญิงโทรไปหาละก้อแสดงว่าสานต่อได้

เราเองรู้ได้เพราะว่า มีชายหนุ่มหน้ามนมาขอแลกเบอร์
แต่เราด้วยความเป็นสาวไทย ไม่ได้ค่ะ ไม่โทรก่อน
รอดูสิว่าเค้าจะโทรมาหรือไม่ ปรากฏว่าเงียบค่ะ
ผ่านไปสองอาทิตย์ เพื่อนฝรั่งของหนุ่มคนนั้นมาเจอเราอีกครั้ง
บอกว่าทำเพื่อนเค้าเฮิร์ทมาก ไม่ยอมโทรไป
เราเองก็เลยบรรลุวัฒนธรรมหนุ่มต่างชาติว่า
ผู้หญิงต้องโทรก่อน เป็นเหมือนการอนุญาตว่าคราวหน้า
โทรมาหาได้นะ อะไรประมาณนี้

อย่างไรก็ดี สาวไทยควรระวังตัวไว้ด้วยว่า การออกเดทของฝรั่ง
บางที ก็หวังถึงขั้น “ไปต่อกันที่อพาทเมนท์ผมไหมครับ”
อะไรประมาณนี้ เราเองได้รู้มาบ้างจากคุณบัวนี่แหละค่ะ
ไม่รู้เธอไปเอามาจากไหน ความรู้รอบตัว
คุณแม่ดิฉันค่ะที่หนึ่ง
ดิฉัน จึงพยายามไม่ไปกับใครแบบสองต่อสอง หรือถ้าไปก็หาทางหนีทีไล่
เพื่อให้ตัวเองลอดพ้นจากเงื้อมือมัจุราชต่างประเทศไปได้ด้วยดีมาตลอด

มัจุราชหน้ามนคนแรกที่เข้าตา เป็นคนอิตาลี
คนนี้เราเคยเห็นเดินผ่านหน้าอพาร์ทเมนท์เกือบทุกวัน
รู้สึกว่าถูกชะตา น่าสนใจ หนุ่มอิตาลีจะ ดูดีมีเสน่ห์
แต่ขึ้นชื่อเรื่องความเจ้าชู้ จริงๆ จะว่าเค้าก็ไม่ได้นะคะ
เพราะว่าหนุ่มยุโปเค้าจะเติบโตมาในวัฒนธรรมแบบนั้น คือ
เทคแคร์ และจะคบกับใครก็ขอให้มีความสุขแค่ในวันนี้
ในอนาคตยังไม่ต้องคิดถึง

ที่ดิฉันรู้ได้เนื่องจาก ได้เคยพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวคิดกันบ้าง
ก็ทำให้รู้จักหนุ่มอิตาลีมากขึ้น
ตอนนี้ดิฉันกับเค้าก็ยังคุยกันอยู่ทางอีเมลล์บ้าง
แต่ในฐานะเป็นเพื่อนที่ดีเท่านั้นเอง
เพราะเราสองคนไม่ต้องการในสิ่งเดียวกัน
เค้าต้องการความสุขแค่วันนี้ แต่ดิฉันต้องการอนาคตข้างหน้า
สาวไทย ยังไงก็ยึดถือเรื่องความบริสุทธิ์เป็นที่ตั้ง

ส่วนหนุ่มเวเนซุเอล่า จะเป็นหนุ่มสังคม หน้าคม ผิวเข้ม
เลือดนักเต้นอยู่ในเส้นเลือดใหญ่ คือ เพลงมา เมื่อไหร่
ลีลาผมไปได้ทันที ทำนองนั้น ไม่ว่าหนุ่มเล็ก หนุ่มใหญ่ อ้วนหรือผอม
ถ้าเป็นชายชาวละตินละก้อ 70 เปอร์เซ็นต์ แดนซ์กระจาย
ส่วนนิสัย จะค่อนข้าง เฮฮา สนุกสนาน กับชีวิต หรือธุรกิจกลางคืน
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่เป็นแบบนี้กันทุกคนนะคะ เป็นแค่ส่วนที่ดิฉันได้รู้จักมาบ้าง

หนุ่ม แม็กซิกัน ส่วนใหญ่จะเป็นชายร่างเล็ก ไม่สูงสักเท่าไหร่
ถ้าคุณได้เห็นจะมองออกว่า เป็นพวก ลาติโนอย่างแน่นอน
พวกหนุ่มลาติโน จะพูดภาษาอังกฤษสำเนียงที่ฟังยากมาก
ต้องแปลอังกฤษเป็นอังกฤษทุกที เพราะปกติพวกเค้าจะพูดภาษา สเปน
หรือเรียกกันว่า ภาษาสเปนิช นี่ก็เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่ ดิฉันได้เรียนรู้อีกหนึ่งภาษา
ผ่านจากการมีเพื่อนต่างชาติ
ถ้าถามเรื่องเต้นรำกับหนุ่มแม็กละก้อ ไม่แพ้หนุ่มเวเนซุเอล่า เปรู เอกวาดอร์
คือ ไม่ว่าจะเป็น ซัลซ่า มาแรงแก้ บาชาต้า เต้นได้ สวยงาม พลิ้วไหว
ตามทำนองเพลง จะว่าไปแล้ว การเต้นรำประเภทนี้ เป็นการเต้นรำที่สนุกสนาน
และเป็นการสร้างสังคมเพื่อนได้ดีอย่างหนึ่ง

ดิฉันได้มีโอกาส เข้าไปเป็นสมาชิก กับกลุ่ม Salsa Athens รู้สึกรักมาก
เพื่อนทุกคน น่ารัก นิสัยดี และจริงใจ
นอกจากนั้นกลับมายังได้วิชา ซัลซ่า มาด้วยถือเป็นกำไรชีวิต อีกหนึ่งอย่าง

หนุ่มอเมริกัน จะมีหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไป
เพราะเนื่องจากว่าคนอเมริกันอยู่ในพื้นที่เขตประเทศที่กว้างขวาง
แต่ดิฉันไม่ขอกล่าวถึงใครอื่น
ขอพูดถึงหนุ่มอเมริกันที่เข้ามาในชีวิตและก็จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตดิฉันต่อไป
เค้าเป็นหนุ่มอเมริกันที่อาศัยอยู่ในรัฐทางใต้
ดั้งเดิมแกเกิดที่ Texas เป็นคาวบอยหนุ่มไม่นาน
ก็ย้ายมาอยู่ใน Georgia

ชื่อเค้าน่ะหรือคะ อุ๊บ! ขออุบไว้ก่อนคะ
เพราะเจ้าชื่อตัวดีของสามีดิฉันนี่แหละค่ะ
จะเป็นเงื่อนงำนำไปสู่เรื่องราวของบทต่อไป ไว้รออ่านต่อบทหน้านะคะ




Create Date : 06 กันยายน 2549
Last Update : 6 กันยายน 2549 12:37:00 น. 3 comments
Counter : 1489 Pageviews.

 


โดย: โสมรัศมี วันที่: 6 กันยายน 2549 เวลา:10:25:57 น.  

 
สวัสดีค่ะ คุณ โสมรัศมี
คือขอโทษทีค่ะ อยากถามว่าเป็นภาพอะไรหรือคะ ที่ post ไว้ให้ค่ะ อธิบายให้ฟังหน่อยนะคะ จะขอบคุณมากค่ะ


โดย: มิสซิสอาร์โนลด์ วันที่: 6 กันยายน 2549 เวลา:11:43:04 น.  

 
so lovely


โดย: ladychaba วันที่: 8 ตุลาคม 2549 เวลา:1:18:33 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิสซิสอาร์โนลด์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




&dateผู้หญิงคนหนึ่ง..บนโลกกลมๆใบนี้..
ยังมีความฝันอีกหลายอย่างที่กำลังเดินหน้าตามล่าฝัน
โดยมีคุณสามีฝรั่งคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ

©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความในบล็อกนี้ไปใช้เผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©










What's new!


บล็อกอัพเดทล่าสุด


ลูกคุณมีอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่...โรคข้อสะโพกเคลื่อนหรือหลุด


คุณสามี MR.Speedy มีโอกาสได้เข้าวงการแสดงแล้วจ้า


ซาอีดาเปลี่ยนเฝือกครั้งที่ 1 พร้อมภาพ x-ray @21 months



วิธีทำให้ลูกมีความสุขมากขึ้น..ในเวลาที่ต้องทนทุกข์ๆ ในเฝือกเกือบ 2 เดือน



เข้าโรงพยาบาลอีกครั้งเมื่อครบ 1 ปี 8เดือน



ซาอีดา...บนปก mother and care เดือนมิถุนายนนี้ค่ะ



ประสบการณ์ผ่าตัดครั้งแรกของน้องซาอีดา



ต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ---กับข้อสะโพกหลุดแต่กำเนิด--



เสียงสะท้อนจากผู้อ่าน





Mrs. Arnold's Blog

จากบล็อกออกเป็น pocketbook

...วางแผงแล้ววันนี้..

ที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add มิสซิสอาร์โนลด์'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.