สุขสรรค์ หรรษา กับคุณสามีฝรั่ง กับมิสซิสอาร์โนลด์

Happiness&Fun with my Farang Husband

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

สุขสันต์ หรรษา กับคุณสามีฝรั่ง (ตอนที่ 11: Dusit Zoo Tour)




บทที่ 11: "Dusit Zoo Tour”



(เรื่องสั้นจากกระทู้ที่W4843447ในถนนนักเขียน)
//www.pantip.com/cafe/writer/topic/W4843447/W4843447.html

ตอนที่ 11: Dusit Zoo Tour


แสงแดดยามเช้า ส่องผ่านผ้าม่านสีโอรส
สะท้อนให้มองเห็นเป็นสีไข่ไก่อ่อนๆ
ดิฉันปลุกคุณสามีฝรั่งให้ตื่นและเตรียมพร้อมกับการเดินทางของวันใหม่
ระยะเวลาในการขยับตัวจากที่นอนของคุณสามีวันนี้ ดูเหมือนจะสั้นกว่าทุกวัน
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่า คุณฝรั่งเค้ารู้ว่าจะได้ไปเที่ยว

เราสองคนตกลงกันว่าจะไปเที่ยว สวนสัตว์ดุสิต (Dusit Zoo)
หรือที่ตอนเด็กๆ เราคุ้นหูกันว่า “เขาดิน”
ที่นี่เป็นสวนสัตว์แห่งหนึ่งใน องค์การสวนสัตว์ในพระบรมราชูปถัมภ์
โดยมีสโลแกนเพื่อประชาสัมพันธ์ว่า
“เขาดินวนา บ้านของสัตว์ป่า” ปอดสีเขียวกลางกรุง
A City Zoo “Green Zon; Zoo in the City”

หลายท่าน อาจไม่ทราบถึงความเป็นมาของเขาดินกันมากนัก
ว่าเขาดินนั้น เริ่มก่อตั้งขึ้นในสมัย รัชกาลที่ 5
ท่านทรงโปรดเกล้า ให้สร้างเป็นที่พักผ่อนส่วนพระองค์ก่อน
จนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 8 ที่มีจอมพล ป.พิบูลสงครามเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล
ได้ขอพระราชทานนำสวนสัตว์นี้พัฒนาสร้างเป็นสถานที่สำหรับประชาชนทั่วไป
และได้ชื่อว่า “สวนสัตว์ดุสิต” ในวันที่ 18 มีนาคม 2481
(อันนี้ต้องขอขอบพระคุณแผ่นพับที่ได้รับแจกจากสวนสัตว์)

ไม่น่าเชื่อว่าสวนสัตว์แห่งนี้จะมีอายุเกือบจะ 70 ปีแล้ว
บนพื้นที่ประมาณ 118 ไร่ มีสัตว์นานาชนิดที่ให้เราได้ศึกษา
ที่รู้จักกันดีเห็นจะเป็น ฮิปโป แม่มะลิ ดิฉันได้ไปเยี่ยมคุณแม่มะลิมาด้วย
เธอนอนขี้เกียจอยู่ในบ้าน แต่อาจเป็นเพราะเธออายุมากแล้วก็เป็นได้
ทำให้เธอนอนผึ่งพุงอยู่อย่างนี้
ดิฉันจำได้ว่าตัวเองรู้จักแม่มะลิมาตั้งแต่เรียนอยู่สมัยประถม
แม่เคยพาไปเดินเที่ยวในเขาดิน ตอนนั้นยังเป็นบ่อเก่าๆ เล็กๆ อยู่เลย
ตอนนี้ บ้านแม่มะลิเปลี่ยนไป ดูทันสมัย
สะอาดสะอ้าน แม่มะลิมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมาอีก 2 ตัว อยู่บ่อใกล้ๆ กัน
แต่หน้าของแม่มะลิดูเหนื่อยล้าลงไปมาก




ปัจจุบันการจัดการภายในสวนสัตว์แห่งนี้มีการเปลี่ยนแปลงมากมาย
ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยขึ้น มีการแบ่งส่วนของสัตว์เป็นโซนต่างๆ
โดยข้างหน้าแต่ละโซนจะมีรูปปั้น สัตว์ชนิดนั้นๆอยู่
เพื่อให้คนมาชมได้ทราบกันก่อนเข้าชมบริเวณนั้น

บริเวณสัตว์เลื้อยคลานและสัตว์สะเทิน
มีสวนหย่อมเล็กๆ มีรูปปั้นไดโนเสาร์ งูน้อย
ที่ใครผ่านไปมาต้องเข้าไปถ่ายรูป
คุณสามีฝรั่งก็ไม่พลาด ต้องเข้าไปอิงแอบแนบน้องไดโน ถ่ายรูปเหมือนกัน

บริเวณที่บ้านของน้องหมีชนิดต่างๆ
ด้านหน้ามีรูปปั้นหมีอยู่ 3-4 ตัว
หน้าตาดูค่อนข้างดุร้าย ไม่เห็นเหมือนตุ๊กตา Teddy Bear อย่างที่เราเคยเห็นกัน
คุณสามีของดิฉันก็ไม่ละความพยายามอุตส่าห์ปีนป่าย
เข้าไปเป็นสมาชิกอีกหนึ่งหมี เพื่อเก็บภาพมาเป็นที่ระลึก

บริเวณหน้าบ้านของแม่มะลิ
ดิฉันประทับใจมาก เพราะมีมีรูปฮิปโปการ์ตูน
พร้อมกับหุ่นปั้น ถังขยะฮิปโปอ้าปาก
มีพวงแก้มเป็นสีชมพู ขนาดกะทัดรัด
ดูเป็นฮิปโปที่ คิกขุ โนแนะมากที่สุดที่ดิฉันเคยเห็นมา



ดิฉันทนไม่ได้ ต้องขออนุญาตกอดฮิปโปน้อยถ่ายรูปซะหน่อย
แหมก็น่ารักน่ากอดขนาดนั้นใครจะอดใจได้ล่ะ..แต่เอ๊ะ...
มานึกได้ทีหลังว่า อ้าว นี่ฉันกอดถังขยะถ่ายรูปนี่นา
ไม่น่าเชื่อ ทำไปได้....พอกันเลยทั้งสามี และภรรยา

นอกจากนั้น ใครๆ ที่เคยไปเขาดินในระยะเวลาไม่นานมานี้
คงจะจำกันได้ว่ามีร้านขายไก่ทอดแบรนด์อินเตอร์
ที่มีชื่อเสียงอยู่ในบริเวณใจกลางเขาดิน
ประจวบกับเราสองคนเริ่มเหนื่อย และพยาธิในท้องเริ่มส่งเสียงกันระงมเซ็งแซ่
เลยตัดสินใจจูงมือเดินเข้าไปในร้าน ที่เต็มไปด้วยผู้คน โดยเฉพาะเด็กเล็กๆ

คุณสามี ทำหน้าทำตา ล้อเล่นกับเด็ก โต๊ะข้างๆ ขณะดิฉันกำลังสั่งอาหารที่ เคาท์เตอร์
“เพิ่มเงินไหมคะ จะได้รับโปรโมชั่น Cheesy Fried เป็นเมนูใหม่ของร้าน”
ด้วยความเป็นคน “ชอบของแปลก” อย่างดิฉัน เสนออะไรแปลกๆ มาก็เอาหมด

พนักงานวางแก้วโค้ก กล่อง French Fried ปกติ แล้วหันไปหยิบกระปุก
Chesse ลักษณะข้น หนืดสีส้ม และกระปุกข้าวกรุบกรอบมาเป็นเครื่องเคียง
เรียกเอารอยยิ้มของดิฉันออกมา นึกในใจว่า “มันคิดกันได้อย่างไร”

แปลกดีนะคะ ร้านอาหารฝรั่งแบบ Fast Food ในเมืองไทย
รู้ว่าคนไทยเราน่ะ ยังไง๊ ก็ขาดไม่ได้กับการรับประทาน ข้าว
จึงนำเอาข้าวมาประยุกต์กับอาหารฝรั่งกันไปได้
เช่นร้านนี้ ที่มีสัญลักษณ์เป็นลุงแก่ตัวอ้วนถือไม้เท้ายืนเฝ้าหน้าร้าน
ก็เอาข้าวกรุบกรอบมาเป็นเครื่องเคียงของ French Fried
อีกร้านหนึ่ง ที่มีตัวตลกยืนแทนลุงอ้วน
ก็เอาข้าวมาดัดแปลงประกบกับชิ้นเนื้อ แทนขนมปัง
เป็นเบอร์เกอร์พันธุ์ผสม หรือลูกครึ่งแฮมเบอร์เกอร์
ก็ทำกันไปได้เนอะ นับถือจริงๆ คนไทย

แน่นอนเลยค่ะ เมื่อคุณสามีเห็น ถึงกับตะลึง
ขอถ่ายรูปเป็นหลักฐานเพื่อส่งกลับประเทศสักหน่อย
ดิฉันว่า ต่อไปอาจออกคอลเลคชั้นใหม่มา
มีแบบน้ำพริกกะปิเป็นเครื่องเคียงกันก็เป็นได้

หลังจากท้องอิ่ม จึงออกเดินทางต่อ ก่อนที่หนังตาของเราจะหย่อน
มุ่งหน้าไปยังสถานที่จำลองหลุมหลบภัย สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
ด้านหน้าเป็นทางเดินลงไป เหมือนเป็นสถานที่ลับอะไรสักอย่าง
พอเข้าไปข้างในแล้ว อุณหภูมิค่อนข้างจะเย็น และชื้น
อ่านรายละเอียดดูแล้วพบว่า
ที่หลบภัยนี้จุคนได้ถึง 400 คนเลยนะคะ ไม่น่าเชื่อ
สมัยก่อนนี้ คนเราก็ลำบากเหมือนกันนะต้องคอยวิ่งหนีกระสุน
หรือต้องมาเบียดเสียดกันในที่แคบๆ แบบนี้

นอกจากนั้นบริเวณสวนสัตว์เขาดินแห่งนี้ยังมีสัตว์ป่าอีกหลายชนิด
มีทั้งสัตว์ที่ยังมีจำนวนมาก เช่นพวกลิง ชิมแพนซี นกหรือสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ
และนอกจากนั้นยังมีสัตว์ป่าที่ใกล้จะสูญพันธ์อยู่อีกด้วย
ทางสวนสัตว์จัดเป็นบริเวณไว้เป็นพิเศษสำหรับ “สัตว์ป่าสงวนของไทย”

บางคนอาจยังพอจำได้ ตอนเด็กๆ ที่คุณครูเคยสอนให้ท่องจนติดปาก
“แรด กระซู่ กรูปรี (โคไพร) ควายป่า ละอง (ละมั่ง) สมัน เลียงผา กวางผา”
ตอนแรกก็คิดว่ามีแค่นี้ แต่เมื่อได้ไปศึกษาในวันนั้นจึงรู้ว่า
ณ ปัจจุบัน มีสัตว์จำนวนมากขึ้นที่ถือว่าเป็นสัตว์สงวน
เช่น “นกเจ้าฟ้าหญิงสิรินธร นกแต้วแร้วท้องดำ นกกระเรียน แมวลายหินอ่อน
สมเสร็จ แก้งหม้อ พะยูน”

น่าแปลก ทำไมนะจำนวนสัตว์สงวนของไทยจึงเพิ่มขึ้น
นั่นก็เป็นมุมกลับที่แสดงถึงการลดลงของจำนวนสัตว์เหล่านี้
สงสัยไหมว่า ทำไมล่ะ
สัตว์ป่าจึงสูญพันธ์มากขึ้น เป็นเพราะอากาศเสียเหรอ
หรือว่าสัตว์พวกนี้ไม่มีอาหาร หรือที่อยู่อาศัย
คิดกันดูดีๆ สิ ใช่พวกเราหรือเปล่าที่เรียกตัวเองว่า “มนุษย์”
ที่เป็นปัจจัยหลักของการสูญพันธ์ของสัตว์ป่า
มนุษย์ผู้ที่ควรแสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำต่างๆ เหล่านี้
หายไปไหนกันหมด...

ภาพเศร้าๆ ของอีกความรู้สึกหนึ่งของสัตว์ร่วมโลก
ที่เชื้อพันธุ์ใกล้เคียงกับมนุษย์อย่างเรา
ถูกถ่ายทอดผ่านกรงใบใหญ่ ที่มันเล็กมากเมื่อเทียบกับป่า
ตรงเข้าสู่ใจดิฉันในทันทีแรกเห็น
ลิงตัวหนึ่งนั่งทำหน้าตาเบื่อโลกอยู่ในกรง
มองดูผู้คนที่ผ่านไป ผ่านมาในชีวิตของมัน
ต่างก็ชี้ชวนกันดู หัวเราะเจ้าลิงน้อยอย่างสนุกสนาน
ทำให้ดิฉันนึกถึงการแสดงศิลปะของชาวจีนคู่หนึ่ง
ที่เคยออกข่าวเมื่อเร็วๆ นี้



มีหญิง-ชาย คู่หนึ่ง สร้างกรง ขนาดเท่าห้องๆ หนึ่ง
ตั้งอยู่ใจกลางสวนสัตว์เปิด
ทั้งคู่ใช้เวลากิน นอนในนั้นตลอดหนึ่งสัปดาห์
แสดงแง่มุมกลับ ว่ามนุษย์จะรู้สึกอย่างไร
เมื่อตนเองถูกจับมาใส่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ
วันๆ หนึ่งมีสัตว์ป่าวนเวียนมาเยี่ยมชมตลอดเวลา
สำหรับดิฉันเป็นแง่มุมที่สะท้อนสังคมได้ดีทีเดียว

จะว่าไปแล้ว ในปัจจุบันการปล่อยให้สัตว์อยู่ในป่า
ก็อาจไม่ปลอดภัยเท่ามีเจ้าหน้าที่ดูแลในสวนสัตว์แบบนี้
อย่างน้อย เขาดินวนา ก็มีส่วนในการรักษา เพาะพันธุ์สัตว์ป่าต่างๆ
ให้ปลอดภัยและมีจำนวนมากขึ้น
เห็นได้จากป้ายที่ติดไว้ว่า “โปรดอย่าให้อาหารสัตว์”
แต่...วิธีนี้..ได้ผลจริงหรือ

วันนั้น ขณะดิฉันกำลังอ่านป้ายภาษาไทยที่อยู่ตรงหน้าของดิฉัน
และแปลเป็นภาษาอังกฤษให้คุณสามีเข้าใจ
อยู่ด้านบนของกรงชิมแพนซีตัวหนึ่ง
เวลาเสี้ยววินาที ที่บริเวณเดียวกันกับป้ายนั้น
เหลือบเห็นมนุษย์มักง่าย โยนสิ่งของต่างๆ เข้าไปในกรงสัตว์
อะไรกันเนี่ยคนเรา ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ป้ายก็ภาษาไทย
อ่านกันไม่ออกหรืออย่างไร...

ดิฉันทนยืนบริเวณนั้นไม่ไหวอีกต่อไป
เพราะกลัวว่าความรู้สึกในใจจะพุ่งพรวดออกมา นำพาให้ตัวเองซวยไปด้วย
จึงย้ายจากมุมมองด้านบน ลงมาชั้นล่าง
อยู่ระดับเดียวกับเจ้าลิงน้อย มีเพียงแต่กระจกใสกั้นระหว่างเรา
เจ้าชิมแพนซีขนออกสีเหลือบแดงตัวนั้น กำลังเคี้ยวอะไรอยู่นะ
ดิฉันเริ่มสงสัย เพราะมันทำท่าเคี้ยวบางอย่างในปาก
เหมือนคนเรากำลังเคี้ยวหมากฝรั่ง
ทุกอย่างตอบความสงสัยของดิฉันทันใด
เมื่อเจ้าลิงน้อยเผลอ สิ่งที่อยู่ในปากหลุดออกมาจนเกือบร่วงหล่นลงพื้นดิน
ทำให้ดิฉันแทบไม่เชื่อสายตา สิ่งของนั้นคือเหรียญ 1 บาทไทยนี่แหละค่ะ คุณขา
ลิงจะเอามาจากไหนได้ ถ้าไม่ใช่จากมนุษย์!!




บทเรียนจากการไปเยี่ยมชมสวนสัตว์ครั้งนี้
จุดชนวนอารมณ์การเขียนเรื่องของดิฉัน
อยากให้มนุษย์อย่างพวกเรา แสดงความรับผิดชอบต่อชีวิต ทุกชีวิต..
การท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ดี ให้ความรื่นรมย์ และความรู้
แต่ทำไมเล่า เราจึงไม่มีความรับผิดชอบต่อแหล่งเรียนรู้นั้น

อยากขอร้องท่านผู้ใดที่เข้ามาอ่านเรื่องราวเหล่านี้
มีโอกาสพาลูกหลานไปเที่ยวสวนสัตว์ หรือมีคนรู้จักจะไปเที่ยว
กรุณาช่วยกันบอกต่อ สั่งสอนลูกหลานกันบ้างให้ช่วยรักษากฎระเบียบ
รู้จักอ่านกันซะบ้างป้ายต่างๆ ที่เค้าติดไว้
เพราะนั่นจะเป็นนิสัยที่ติดตัวของเขาไปตลอด
เขาจะเติบโตขึ้นเป็นประชากรที่ดีของประเทศหรือไม่
ขึ้นอยู่กับการสั่งสอนของคุณ

ทางสวนสัตว์เองน่าจะมีมาตรการใดที่เด็ดขาดมากกว่านี้
เพราะจากที่ดิฉันเห็นมานั้น ไม่ได้แสดงว่าป้าย “ห้ามให้อาหารสัตว์นั้น”
จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเลยค่ะ...ฝากให้ทุกคนช่วยดูแลธรรมชาติ สัตว์ป่า
หรือทรัพยากรอื่นของประเทศชาติ
ลูกหลานจะได้มีแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติที่มีคุณค่าแบบนี้อีกต่อไป







Create Date : 02 พฤศจิกายน 2549
Last Update : 31 มกราคม 2550 23:54:52 น. 6 comments
Counter : 1321 Pageviews.

 
เขาดินนี่น่าไปมาก เราเองยังชวนเพื่อนไว้อยู่เลย
ไว้ต้องหาโอกาสไปบ้างแล้วล่ะ

แต่อ่านแล้วก็เซ็งเป็ดเลยนะ สงสารลิงน้อย
โดนจับมาอยู่ในกรง แล้วยังต้องกินอะไรแปลกๆ อีก
แบบนี้สงสัยต้องทำกระจกใสกั้นระหว่างกรงสัตว์กับคนดูแทนแล้วล่ะ


โดย: เจ้าหญิงซาลาเปา-เจ้าชายโรซ่า วันที่: 3 พฤศจิกายน 2549 เวลา:12:26:38 น.  

 
ใช่ๆ ความคิดดีเหมือนกันนะ เราว่า แต่ก็อีกแหละ ยิ่งกั้น
กั้นไปก็เหมือนเป็นกรงขังเข้าไปใหญ่ แย่เนอะ
ไม่รู้จะทำอย่างไรดี

แต่แวะไปก็ดีนะ เราเห็นนักเล่นกล้องทั้งหลายแบกกล้องไปถ่ายกันตรึมเลยล่ะ ไปดูแล้วเอารูปมาฝากด้วยนะจ๊ะ


โดย: มิสซิสอาร์โนลด์ วันที่: 3 พฤศจิกายน 2549 เวลา:23:11:04 น.  

 
เอากล่องตั้งไว้ข้างกรงแล้วเขียนว่า "อย่าให้อาหารสัตว์ ถ้าต้องการบริจาคค่าอาหารสัตว์กรุณาใส่ในกล่อง" แค่นี้ก็จะเห็นว่าคนแย่กว่าที่คิด เพาะคงไม่มีใครใส่กล่องแต่โยนลงไปเหมือนเดิม

วิธีที่ได้ผลต้องนี่ หาหน้าม้ามา 10 คนให้โยนเหรียญลงไป แล้วสร้างเรื่องมาว่าคนเหล่านี้ มีอันเป็นไป อกหัก เมียมีชู้ จู๋ไม่ขัน แค่นี้ก็จะไม่มีใครกล้าโยนลงไปอีกเลย


โดย: LaBaBoYa (LaBaBoYa ) วันที่: 10 พฤศจิกายน 2549 เวลา:3:25:40 น.  

 
ได้ความรู้เกี่ยวกับประวัติสวนสัตว์ด้วยนะเนี่ย สำหรับเราแล้วสวนสัตว์อ่ะ เป็นสถานที่ที่ดีนะ จริงอยู่ว่าสัตว์อาจขาดอิสระ แต่ทางเจ้าหน้าที่ดูแลเป็นอย่างดีไม่ใช่เหรอ บางครั้งก็พบเห็นภาพที่เจ้าหน้าที่กับสัตว์สนิทสนมกัน สัตว์เหล่านี้อยู่ในสวนสัตว์มานานจนเหมือนบ้านของมันนั่นแหละ เหมือนเวลาที่เราเอาหมาเอาแมวเอาปลามาเลี้ยง ก็อยู่แต่ในที่แคบๆ เหมือนกันแต่สัตว์เหล่านี้ก็รักเราเพราะเราดูแลพวกเขาเป็นอย่างดี

แต่ที่เห็นด้วยกับทุกคนที่ว่าจะทำให้สัตว์เดือดร้อน คือคนที่ไม่มีความตระหนักในการเคารพสิทธิของสัตว์ ทั้งๆ ที่เรากำลังบุกรุกบ้านของเขาแท้ๆ ยังพากันรบกวนเขาด้วย ตะโกน เข้าใกล้กรงมาก ให้อาหารสัตว์ และอื่นๆ อีกมากมาย

สงสัยต้องสร้างความตระหนักด้วยวิธีการของ คห.ที่ 3 ซะแร้ว


โดย: เพนกวินที่รัก (Dearestpenguin ) วันที่: 13 พฤศจิกายน 2549 เวลา:16:20:52 น.  

 
เออนั่นดิ คิดว่าเหมือนกัน แต่จะถูกเซ็นเซ่อไหมเนี่ย


โดย: มิสซิสอาร์โนลด์ วันที่: 13 พฤศจิกายน 2549 เวลา:18:38:24 น.  

 
เข้สมาเพราะเห็นชื่อในบล็อกของ เจียวต้ายครับ

หกปีผ่านไป ยังเป็นสุขดีอยู่หรือโฉน?


โดย: เจียวต้าย (เจียวต้าย ) วันที่: 3 ตุลาคม 2555 เวลา:9:03:19 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิสซิสอาร์โนลด์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




&dateผู้หญิงคนหนึ่ง..บนโลกกลมๆใบนี้..
ยังมีความฝันอีกหลายอย่างที่กำลังเดินหน้าตามล่าฝัน
โดยมีคุณสามีฝรั่งคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ

©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความในบล็อกนี้ไปใช้เผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©










What's new!


บล็อกอัพเดทล่าสุด


ลูกคุณมีอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่...โรคข้อสะโพกเคลื่อนหรือหลุด


คุณสามี MR.Speedy มีโอกาสได้เข้าวงการแสดงแล้วจ้า


ซาอีดาเปลี่ยนเฝือกครั้งที่ 1 พร้อมภาพ x-ray @21 months



วิธีทำให้ลูกมีความสุขมากขึ้น..ในเวลาที่ต้องทนทุกข์ๆ ในเฝือกเกือบ 2 เดือน



เข้าโรงพยาบาลอีกครั้งเมื่อครบ 1 ปี 8เดือน



ซาอีดา...บนปก mother and care เดือนมิถุนายนนี้ค่ะ



ประสบการณ์ผ่าตัดครั้งแรกของน้องซาอีดา



ต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ---กับข้อสะโพกหลุดแต่กำเนิด--



เสียงสะท้อนจากผู้อ่าน





Mrs. Arnold's Blog

จากบล็อกออกเป็น pocketbook

...วางแผงแล้ววันนี้..

ที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add มิสซิสอาร์โนลด์'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.