สุขสรรค์ หรรษา กับคุณสามีฝรั่ง กับมิสซิสอาร์โนลด์

Happiness&Fun with my Farang Husband

Photo Sharing and Video Hosting at Photobucket

สุขสันต์ หรรษา กับคุณสามีฝรั่ง (ตอนที่ 6: สวัสดีประเทศไทย)



ตอนที่ 6 สวัสดีประเทศไทย



ผืนฟ้าที่มืดมิด ไร้แสงของดวงดาว นอกหน้าต่างของเครื่องบินขนาดกลาง
ที่มุ่งทะยานจากสนามบินนาริตะ ดินแดนแห่งอาทิตย์อุทัย
สู่ดินแดนสยามประเทศใกล้สิ้นสุดลงแล้ว
ดวงใจของนกน้อยที่บินจากรังไปไกลแสนไกลนับเป็นเวลา 1 ปีเต็ม
กำลังโบยบินกลับสู่อ้อมอกแม่นกที่เฝ้าคอยการกลับมาของลูกนก

จำได้ว่าวันที่ดิฉันจากไปได้ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาอำลา คุณบัว
ที่สนามบิน พร้อมกับคำล่ำลา และสัญญากับแม่ไว้ว่า
อีกหนึ่งปีลูกจะกลับมาหาแม่ดังเดิม

ดูเหมือนคำสัญญาที่ดิฉันให้ไว้กับแม่ ไม่เป็นไปตามคำล่ำลาก่อนจากไป
กลับมาครั้งนี้ ลูกสาวมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไป
ไม่ว่าจะเป็นด้านความคิด ความรู้สึกที่เคยมีแบบเด็กๆ
ตอนนี้ได้เติบโตขึ้นเหมือนดังกล้าไม้ ที่ตอนนี้แตกใบ ผลิดอกออกจนเต็มต้น
แข็งแกร่งพอจะยืนอยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยใบกำบังแสงแดดที่ร้อน
จนแทบจะเผาผลาญต้นกล้าน้อยจากแม่ไม้
ต้องการก็เพียงแต่ แรงใจที่เปรียบเสมือนปรายฝนฉ่ำเย็น
จากใบกว้างของแม่ไม้ ที่สะบัดพัดพาหยดฝนส่งมาให้กล้าน้อย
ที่กำลังเติบใหญ่ มีกำลังที่จะเติบโตต่อไปวันละเล็กวันละน้อย

ข้างกายที่เคยว่างเปล่าเมื่อลูกจากไป ตอนนี้กลับมีชายชาวอเมริกันคนหนึ่ง
มานั่งอยู่ข้างๆ พร้อมมือขาวๆ ที่เกาะกุมมือดิฉันไว้เป็นแรงใจ
เค้าจะพูดประโยคหนึ่งให้กับดิฉันเสมอว่า
“I want to know country, family, friends and culture that make the one that I love”
(ผมต้องการเรียนรู้กับประเทศ ครอบครัว เพื่อน และ
วัฒนธรรมที่สร้างบุคคลอันเป็นที่รักของผม)
ประโยคนี้ทำให้ดิฉันย้อนกลับมาถามตัวเองอยู่บ่อยๆว่า
จะมีใครอีกบ้างไหมที่ยอมทิ้งบ้านเมืองที่อยู่
เดินทางข้ามทวีปมาเพื่อเรียนรู้และอยู่กับผู้หญิงที่รัก
ในอีกฝั่งหนึ่ง คนละองศาของโลกใบนี้

ก้าวแรกที่เราสองคนลงจากเครื่องบิน เข้าสู่สนามบินนานาชาติดอนเมือง
ไอร้อนที่ประทะลำตัวบ่งบอกสถานที่ที่เราอยู่ได้เป็นอย่างดี
ความร้อน ชื้นนี้เน้นย้ำให้เรารู้สึกตัวว่า ผืนดินที่สองเท้าเราก้าวเดินอยู่นี้
เป็นดินแดนแห่งสยามประเทศ...Welcome to Thailand....

ณ สนามบิน ดิฉันได้พบเจอหน้าแม่ พ่อ และพี่สาว
ที่พากันมารับพวกเราอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา
และนั่นก็เป็นสถานที่แรกที่คุณบัวได้กอดพี่ดี้
เป็นภาพที่ฉันรอคอยมาตลอด
เพราะพี่ดี้ และคุณบัวเป็นบุคคลที่ที่ดิฉันรัก
อ้อมกอดนั้นทำให้ฉันมั่นใจได้ในระดับหนึ่งว่า
คนที่ฉันรักทั้งคู่ต่างก็รักและเอ็นดูซึ่งกันและกัน

สัปดาห์แรก เราสองคนใช้สองเท้าในการก้าวเดินเพื่อนำไปสู่จุดหมาย
คือรั้วมหาวิทยาลัย ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอพาร์ทเมนท์มากนัก
ช่วงนี้ หมู่มวลคนร่วมประเทศของดิฉันนั้น
เริ่มทำให้ดิฉันรู้สึกถึง Culture shock อันดับแรก นั่นก็คือ
สาวไทยกับชายฝรั่ง ถ้าเดินด้วยกันแบบนี้คงไม่พ้น…อย่างแน่นอน
ซึ่งความรู้สึกนี้ ดิฉันไม่เคยได้รับรู้สึกมาก่อนเลย เมื่อตอนที่อยู่ที่ Athens

ตอนแรก ดิฉัน นึกว่า เราคิดมากไปเอง แต่พอหลายครั้งเข้า
ไม่ว่าจะเดินไปตลาด ซื้อน้ำ ซื้อของในซูเปอร์มาเกต
มองดิฉันชนิดแบบที่อ่านออกได้จากสายตา
คือขอโทษนะคะ ดิฉันก็ไม่ได้แต่งตัวล่อแหลม
หรือแต่งหน้าจัดจ้านแต่ประการใดเลย กรุณามองให้เกียรติกันสักนิดเถอะค่ะ
หรือถ้าอยากมองจริงๆ ก็มองละเอียดไปเลยค่ะ
ดูให้ลึกถึงแหวนแต่งงานที่นิ้วนางข้างซ้าย และพึงเกิดความสงสัยในแง่ดีสักนิดว่า
เค้าคงจะเป็นสามี ภรรยากันล่ะ

จริงๆ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะว่าคนไทยด้วยกันหรอกนะคะ
แต่อยากขอความเห็นใจว่า
ใครที่มีมุมมองเป็นของตัวเองที่อาจจะแคบไปซักนิด
ลองขยายให้กว้างขึ้นสักหน่อยว่า ไม่จำเป็นเสมอไปที่สาวไทยเดินกับฝรั่งต้องเป็น...ทุกคน
แต่ ถึงแม้เธอคนใดจะเป็นก็เถอะค่ะ
โปรดอย่ามองเค้าด้วยสายตา เสียดสี ประณามหยามเหยียดกันขนาดนั้นเลย
เราก็คนเหมือนกัน ถ้าเค้ามีทางเลือกที่ดีกว่า
คงไม่มาทำงานประเภทนี้หรอกค่ะ
(คือ เข้าใจหัวอกคุณๆ เลย จากสายตาที่ดิฉันได้รับมา)

ดิฉันและสามีต้องใช้เวลากันเกือบ 5 เดือน จนทำให้คนแถวนั้นรู้จัก
สายตาเหล่านั้นจึงลดลงไปได้บ้าง
หรือบางทีอาจเป็นเพราะเราไม่ค่อยได้เดินตามท้องถนนกันบ่อยนัก
เพราะ เราได้รถขนาดครอบครัวมาใช้หนึ่งคัน
เนื่องจากคุณบัว ทนเห็นสภาพเราสองคนแบกสัมภาระที่ใช้สอน
ไปมหาวิทยาลัยด้วยการเดินเท้าไม่ไหวอีกต่อไป

พูดถึง Culture shock สามีดิฉันก็มีค่ะ และมีมากเสียด้วย
อันดับแรกเลยคงต้องเป็นเรื่อง พี่วิน หรือการนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์รับจ้างไปทำงาน
คือเช้าวันแรก ดิฉันต้องพาคุณสามีไปส่ง
เหมือนพาลูกชายไปโรงเรียนค่ะ
คือเค้าไม่ชินทาง พูดภาษาไทยก็ไม่ได้สักคำ จะทำอย่างไรล่ะคะ
ก็พกนี่ค่ะ ภรรยา พกไปทำงานด้วยเหมือนพก i-pod ไปเป็นเพื่อนประมาณนั้นค่ะ

ด้วยความเคยชินของดิฉัน หลังจากเดินไปบอกพี่วินคันหน้า
ว่าเราสองคนต้องการไปที่จุดหมายปลายทางที่ใด
ดิฉันก็เดินไปนั่งพี่วินคันหลังตามคุณสามีไปติดๆ
แต่ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้า ทำเอาดิฉันอดหัวเราะเล็กๆ ไม่ได้
คือ ก้นคุณสามีดิฉันล้นออกมาจากเบาะที่นั่งด้านหลังคนขับ
เนื่องจากมีขนาดใหญ่กว่าชายไทย size ปกติ
แถมยังโอบแขนทั้งสองข้าง รัดตัวพี่วินซะแน่น
จนพี่วินถึงกับสะดุ้ง! แล้วหันมามองที่ดิฉัน เหมือนอยากบอกอะไรบางอย่าง
กับคุณฝรั่ง แต่จะทำอย่างไรล่ะ ภาษาอังกฤษก็พูดไม่ได้
จะพูดภาษาไทยกับยายคนที่พามา ก็ไปนั่งซะอีกคัน
เลยตัดสินใจไม่พูดอะไร ขับมอเตอร์ไซด์ตัวแข็งออกไปเลยดีกว่า
ส่วนสามีดิฉันหรือคะ นั่งหน้าซีดตัวเกร็งไปพอกันกับพี่คนขับเลยค่ะ

หลังจากประสบการณ์เสียวไส้บนหลังพี่วิน ทำให้ดิฉันจนใจ
ต้องพาคุณสามีไปทำใบขับขี่ จะได้นำรถมาขับไปทำงานกันเอง
ไม่ต้องรบกวนคุณพี่วิน แต่นี่ก็เป็นเหตุให้คุณสามีดิฉันต้องเจอกับ
Culture shock หลายครั้งต่อมา

อย่างแรกเลยก็คือการขอ ใบรับรองแพทย์ ที่รวดเร็วและ amazing ที่สุด
คือหมอไม่ต้องตรวจใดๆเลย ใช้แค่การมองหน้าตาวิเคราะห์ได้ว่าคุณมีแผลที่กระเพาะอาหาร
(อันนี้ดิฉันก็เว่อร์ไปสักนิด) คุณหมอถามหนึ่งคำถามว่ารู้สึกเป็นอย่างไรบ้าง
สามี ดิฉันตอบไปว่า “I am fine” (ผมสบายดี)
แค่นี้ หมอก็เซ็นต์ใบรับรองแพทย์ ให้จ่ายเงิน 100 บาทไทย
ก็ได้ใบรับรองแพทย์มาอย่างสบายใจ
คือ คุณสามีดิฉันอึ้ง งง อ้าว แค่เนี้ย! แค่นี้จริงๆ หรือนี่ หมอไทย
สุดยอด ใช้แค่คำถามเดียว แต่ก็รับใบรับรองแพทย์นั้นมาอย่างงงๆ เหมือนฝัน

หลังจากรับใบรับรองแพทย์ นั้นมาก็ไปทำใบขับขี่ และเริ่มขับรถ
เหตุการณ์ Culture shock ครั้งต่อมาก็เกิดขึ้น
เมื่อมีรถมอเตอร์ไซด์พยายามแซงขวาด้านคนขับ
ขณะที่พี่ดี้กำลังเลี้ยงขวาพร้อมเปิดสัญญานไฟก่อนหน้านั้น
โครม! เสียงอะไรน่ะ หลังสิ้นเสียงนั้น
ดิฉันและคุณสามีออกมานอกรถ พบว่าหูช้างด้านคนขับรถของดิฉันหลุดห้อย
แต่นั่นยังไม่เท่าไหร่ มองไปที่คนขับและซ้อนมอเตอร์ไซด์มีบาดแผลถลอกเลือดไหล
เราสองคนอึ้งและรู้สึกสงสารจับใจในคราวแรก
รีบถามอาการและคิดว่าจะช่วยพาไปโรงพยาบาล
แต่..พ่อเจ้าประคุณทูนหัว พี่คนขับโวยวาย
เหมือนเราทำก่อคดีฆาตกรรมอำพราง
พยายามจะบอกยัดเยียดความผิดทั้งหมดให้กับเรา

โอโห! พูดงี้ก็สวยสิคะคุณพี่ ดิฉัน โมโหมากคิดในใจว่าไม่ต้องไปแล้วโรงพยาบาล
พี่คงจะหายใจได้ทั่วท้องดีนะคะถึงมาโวยวายได้ขนาดนี้
จึงปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคุณพี่ประกันฝ่ายดิฉัน
มาจัดการตกลงกันไปเอง ดิฉันไม่อยากยุ่ง คิดแล้วก็โมโห

แต่ที่แย่มากที่สุด คงต้องเป็นจิตใจคุณฝรั่งสามีดิฉันค่ะ
อัดอั้น เหมือนไม่ได้ถ่ายมาสามวัน
พูดอธิบายใดๆ กับใครก็ไม่ได้ เพราะไม่มีใครเข้าใจ ภาษาอังกฤษ
ตั้งแต่คุณพี่ประกัน คุณพี่คนขับรถมอเตอร์ไซด์ หรือกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
หลังจบเรื่อง สามีดิฉันกลับบ้านมาต้องระบายให้กับดิฉันฟัง
เพื่อเป็นการผ่อนคลาย..
ดิฉันก็ได้แต่ยิ้มและพยักหน้ารับ แต่ในใจแอบพูดว่า
“คุณคะ ดิฉันก็อยู่กับคุณค่ะ เห็นมารอบหนึ่งแล้ว
พูดกับประกันและตำรวจอีกรอบหนึ่ง
แถมยังกลับบ้านมาโดนอีกรอบหนึ่ง
ดิฉันแทบจะเห็นเป็นภาพยนตร์ 3D อยู่แล้วค่ะ”

นับตั้งแต่นั้นมา เรื่องสภาพการจราจรบ้านเราก็เป็นเรื่องที่สามีดิฉัน
ต้องพูดถึงทุกวัน เหมือนรับประทานอาหารไทยโดยขาดน้ำปลาพริกไม่ได้
ระหว่างขับรถไป เรื่องราวเกี่ยวกับมอเตอร์ไซด์ต้องถูกบรรยาย โดยสามีดิฉัน
ไม่ว่าจะเป็นการขับย้อนศร หรือขับแซงรถยนต์ที่จอดติดไฟแดงอยู่
ไประหว่างรถที่จอดอยู่สองเลนข้างกัน (ซึ่งเมืองเค้าผิดกฎหมาย)
หรือจะเป็นสถิติคนซ้อนเยอะที่สุดในโลกที่กินเนสต์บุ๊ค
ของสามีดิฉันบันทึกไว้ น่าจะเป็น 5 คนค่ะ
สำหรับมอเตอร์ไซด์เมืองไทย ถือว่าเป็นความสามารถเฉพาะตัว
ห้ามลอกเลียนแบบ หรือแม้แต่เป็นการเอาเด็กเล็กๆ
นั่งซ้อนมอเตอร์ไซด์โดยไม่ใส่หมวกันน็อคอีก
จนดิฉันตั้งใจว่า สมัยหน้า จะส่งคุณสามีเข้าสมัครเลือกตั้ง
ให้ไปปรับแก้กฎหมายบ้านเราให้หนำใจฝรั่งกันไปเลย





จากเรื่องร้อนๆ ผ่านไป คงต้องขอกล่าวนินทา คุณสามีด้านความเป็นอยู่
คือฝรั่งเค้าจะชินกับอากาศเย็นมาตลอด
มาเจออากาศร้อนบ้านเราเป็นต้องทนไม่ได้กันทุกที
สามีของดิฉันก็เป็นฝรั่งอีกหนึ่งคนค่ะที่ไม่สามารถทนอากาศร้อนได้
คือ ต้องเปิดแอร์ทุกครั้งหลังก้าวขากลับเข้าบ้าน
หรือแม้แต่กลางคืนที่นอนในห้องแอร์ ต้องตื่นมากลางดึก
เปลี่ยนเสื้อทุกครั้ง เนื่องจากเจ้าเสื้อนอนที่ใส่อยู่เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ

แต่ในที่สุด ความลับสุดยอดของคนไทยก็ถูกเปิดเผย
คุณรู้หรือไม่คะว่าอะไรคือความลับที่สามีดิฉันได้ค้นพบ...
นั่นก็คือ ปริศนาการคลายร้อนกับแป้งเย็นตรางู แบบดั้งเดิม
กระป๋องเหล็กทรงสี่เหลี่ยมของคนไทยเรานั่นแหละค่ะ ใช่เลย
เค้าชอบมากต้องทาทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน
หรือก่อนเข้านอน จนเดี๋ยวนี้ต้องแบ่งรายจ่ายของบ้าน
ให้แป้งตรางูกระป๋องใหญ่ 1 กระป๋องต่อเดือนเลยนะคะ



ต่อมาคงต้องพูดถึงเรื่องการซื้อ อาหาร เครื่องดื่มเล็กๆน้อยๆ
ถ้าให้สามีดิฉันไปซื้อหาเองเป็นไม่ได้เรื่องทุกที
คือ ดิฉันเองก็ไม่เคยสังเกตผลิตภัณฑ์ของบ้านเราสักเท่าไรนัก
ก็เลยวางใจ คิดว่าจะมีฉลากติดเป็นภาษาอังกฤษด้วย
บางทีแค่ซื้อของ ในมินิมาร์ทหน้าอพาร์ทเมนท์
ก็ให้คุณสามีค่ะลงไปซื้อ และก็ได้เรื่องค่ะ

เช้าวันหนึ่ง คุณสามีดิฉัน ชงกาแฟให้ก่อนออกไปทำงาน
ดิฉันกำลังแต่งตัวอยู่จึงยังไม่ได้ลิ้มรสกาแฟถ้วยที่คุณสามีชงให้
ไม่ทันไร ภาพผ่านกระจกเงาที่ดิฉันมองตัวเองอยู่ ก็ปรากฏภาพคุณสามี
ทำท่าสำลักกาแฟถ้วยที่ถืออยู่ในมือ
จึงเกิดความสงสัย เดินไปสำรวจเหตุการณ์
พบว่า นมที่คุณสามีใส่กาแฟนั้น เป็นนมเปรี้ยวยี่ห้อหนึ่ง
รสชาดคล้าย ยาคูลท์ค่ะ คือสมัยนี้เค้าทำขวดใหญ่เท่านมสด
ลักษณะทุกอย่างคล้ายกันไปหมด
ถ้าไม่สังเกตดีๆ ก็อาจจะไม่ทราบได้

ดิฉันจึงบ่นคุณสามีไปว่า ทำไมไม่อ่านฉลากก่อนซื้อล่ะ
นี่ไง! Yogurt พร้อมชี้นิ้วไปที่ขวด
อ้าว! บนขวดเขียนว่า “นมเปรี้ยว” พร้อมเสียงบ่นคุณสามี
ที่ลอดเข้าช่องหูของดิฉันว่า “How can I suppose to know, it’s all in Thai”
นั่นสิคะ ดิฉันพลิกขวดไปมาอยู่หลายรอบ
พบว่า ฉลากเป็นภาษาไทยหมดค่ะ
เลยต้องเอ่ยคำปลอบโยน แกมขำคุณฝรั่งสามีกันไป..
เฮ้อ!! My poor husband….







Create Date : 11 ตุลาคม 2549
Last Update : 12 ตุลาคม 2549 8:59:40 น. 4 comments
Counter : 1115 Pageviews.

 
อิจฉาจังเลย ได้กลับไปอยู่เมืองไทย บอกคุณบัว ทำกับข้าวอร่อยๆ ทานเผื่อด้วยนะคะ


โดย: ตา (Febie ) วันที่: 12 ตุลาคม 2549 เวลา:0:06:50 น.  

 
ค่ะ จะบอกคุณบัวให้นะคะ นี่ก็จะถึงหยุด long weekend แล้ว
คงจะได้กลับบ้านไปทานฝีมือคุณบัว แล้วจะทานเผื่อนะคะ


โดย: มิสซิสอาร์โนลด์ วันที่: 12 ตุลาคม 2549 เวลา:9:57:41 น.  

 
โอยอ่านแล้วหนุกมากๆเลยจ๊ะ แต่มาตอนท้ายเราขำจนปวดท้องเลยอ่ะ 555555555


โดย: มดน้อย (I love Garfield ) วันที่: 20 ตุลาคม 2549 เวลา:11:59:01 น.  

 
เฮอะๆๆ ขอบคุณค่ะคุณมดน้อยที่ติดตาม มาขำจ้า


โดย: มิสซิสอาร์โนลด์ วันที่: 25 ตุลาคม 2549 เวลา:12:39:04 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

มิสซิสอาร์โนลด์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 5 คน [?]




&dateผู้หญิงคนหนึ่ง..บนโลกกลมๆใบนี้..
ยังมีความฝันอีกหลายอย่างที่กำลังเดินหน้าตามล่าฝัน
โดยมีคุณสามีฝรั่งคอยให้กำลังใจอยู่ข้างๆ

©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©
สงวนลิขสิทธิ์ ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ห้ามผู้ใดละเมิด ไม่ว่าการลอกเลียน หรือนำส่วนหนึ่งส่วนใดของข้อความในบล็อกนี้ไปใช้เผยแพร่ โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษร จะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด
©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©©










What's new!


บล็อกอัพเดทล่าสุด


ลูกคุณมีอาการเหล่านี้บ้างหรือไม่...โรคข้อสะโพกเคลื่อนหรือหลุด


คุณสามี MR.Speedy มีโอกาสได้เข้าวงการแสดงแล้วจ้า


ซาอีดาเปลี่ยนเฝือกครั้งที่ 1 พร้อมภาพ x-ray @21 months



วิธีทำให้ลูกมีความสุขมากขึ้น..ในเวลาที่ต้องทนทุกข์ๆ ในเฝือกเกือบ 2 เดือน



เข้าโรงพยาบาลอีกครั้งเมื่อครบ 1 ปี 8เดือน



ซาอีดา...บนปก mother and care เดือนมิถุนายนนี้ค่ะ



ประสบการณ์ผ่าตัดครั้งแรกของน้องซาอีดา



ต้องกลับเข้าโรงพยาบาลอีกรอบ---กับข้อสะโพกหลุดแต่กำเนิด--



เสียงสะท้อนจากผู้อ่าน





Mrs. Arnold's Blog

จากบล็อกออกเป็น pocketbook

...วางแผงแล้ววันนี้..

ที่ร้านหนังสือทั่วประเทศ
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add มิสซิสอาร์โนลด์'s blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.