Group Blog
 
All blogs
 

สวิสเซอร์แลนด์ ตอนที่ 5 Luzern & ไปลุยหิมะบนยอดเขาTitlis

หวัดดีค่ะ วันนี้จะพาไปเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์กันต่ออีกสองที่นะคะ เริ่มจากที่แรกเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอีกที่นึงของสวิสตอนกลาง ซึ่งก็คือเมือง Luzern หรือ Lucerne ค่ะ ต่อจากตอนที่แล้วที่ได้นั่ง Golden Pass จากมองเทรอซ์แล้วต่อรถบัสมาที่เมืองลูเซินแห่งนี้ ก็แอบสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทำไมทางทัวร์ถึงไม่ให้นั่ง Golden Pass ไปจนถึงลูเซินเลย ได้แต่เดาว่าสงสัยค่าตั๋วคงจะแพงกว่านั่งรถบัสมังคะ ก็เลยให้นั่ง Golden Pass แค่พอได้บรรยากาศแค่นั้นพอ วันนั้นมาถึงที่ลูเซินก็เย็นแล้ว ก็เลยไม่มีโปรแกรมอะไรมาก แค่เดินเล่นด้านหลังโรงแรมเลาะทะเลสาปลูเซินไปเรื่อยๆ แค่วิวตอนฟ้าเริ่มมืดก็แอบหลงรักเมืองนี้เข้าแล้วสิคะ



ทางเดินจะมีต้นไม้ปลูกเป็นแนวไปเรื่อยๆ จนถึงจุดท่องเที่ยวสำคัญของเมืองเลยค่ะ เดี๋ยวค่อยเล่าต่อว่าคือที่ไหน ระหว่างทางแอบเห็นของเล่นตรงข้างทางใกล้ๆ โรงแรมเป็นที่ปั่นน้ำให้หมุนเหมือนทอนาโดเลยค่ะ ก็ไปปั่นเล่นกันหนุกหนานเสียเวลาไปมากโข เดินเลาะๆ ไปก็ไปเจอน้องเป็ดสองตัวนอนขดคู่กันอยู่ริมทะเลสาป..น่ารักเชียวค่ะ แอบนึกถึงเจ้าเป็ดสองตัวที่ประสาทชิยงจังแฮะ ก่อนจะพาไปเที่ยวกัน.. มาทำความรู้จักเมืองลูเซินกันก่อนดีกว่าค่ะ...



เมืองลูเซินนี้ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศรายล้อมด้วยทะเลสาป Lucerne และเทือกเขาแอลป์ จึงเป็นเมืองนึงที่มีทิวทัศน์ที่สวยงาม จุดท่องเที่ยวที่สำคัญคือ Chapel Bridge (ภาษาเยอรมันคือ Kapellbrücke) เป็นสะพานไม้เก่าแก่ที่สุดในยุโรปที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยคริสตศตวรรตที่ 14 ข้ามแม่น้ำ Reuss River ซึ่งปัจจุบันสะพานแห่งนี้เป็นการสร้างแทนสะพานเก่าที่โดนไฟไหม้ไปในปี 1993 คงเหลือส่วนที่เป็นของดั้งเดิมเพียงบางส่วนเท่านั้นค่ะ ส่วนสาเหตุของไฟไหม้คาดกันว่าเกิดจากนักท่องเที่ยวที่สูบบุหรี่แล้วทิ้งบนสะพาน ก็เลยเกิดไฟไหม้ลุกลามทำลายสะพานไม้ที่มีค่าแห่งนี้ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะนอกจากได้ทำลายสะพานไม้แล้วยังทำให้ภาพเขียนที่ประดับไว้ที่สะพานแห่งนี้ถูกทำลายไปด้วยค่ะ ภาพเขียนดังกล่าวถูกเขียนไว้ตั้งแต่คริสตศตวรรตที่ 17 ประดับไว้ด้านบนของหลังคาบอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่สำคัญต่างๆ ของเมืองค่ะ



ข้างๆ ของสะพานจะเห็นหอคอยซึ่งก็คือ Water Tower ซึ่งเดิมเป็นคุกค่ะ สะพานไม้และหอคอยแห่งนี้เป็นจุดท่องเที่ยวและสัญญลักษณ์ที่สำคัญมากๆ ของเมืองลูเซินค่ะ



บริเวณด้านข้างของสะพานไม้เค้าจะประดับด้วยดอกไม้สีสดใสช่วยเสริมให้สะพานไม้แห่งนี้ดูสวยมากๆ เลยค่ะ นอกจากนี้ที่แม่น้ำจะมีฝูงหงส์และนกเป็ดน้ำมาว่ายน้ำหาอาหารอยู่เยอะแยะเลยค่ะ หงส์บางตัวไม่ได้กลัวคนเลยล่ะ ประมาณยื่นคอมาขออาหารจากนักท่องเที่ยวกันเลยล่ะค่ะ



อย่างรูปข้างบน คุณพ่อฝนเค้าเห็นแล้วชอบค่ะ เพราะเค้ามองไปเจอหงส์สี่ห้าตัวลอยน้ำต่อแถวกันอยู่หน้าร้านอาหารแห่งนึงน่ะค่ะ ดูแล้วก็อดขำไม่ได้ คงจะหิว..พอเห็นมีคนมายืนแถวๆ นั้นก็เลยลอยน้ำมาขออาหารเลยนะเนี่ย



บริเวณแถวสะพานก็จะเป็นเขตเมืองเก่าที่มีร้านอาหารร้านค้าต่างๆ มากมายค่ะ จุดเด่นของอาคารบริเวณนี้ก็คือภาพวาดบนฝาผนังของตึกนี่แหละค่ะ ถ้าได้เดินเล่นแถวนี้ก็จะได้เห็นอยู่หลายตึกเลยล่ะค่ะ



พอเดินไปบริเวณหอนาฬิกาก็งงๆ กับกลุ่มฝรั่งกลุ่มนึงที่แต่งตัวแนวอินเดียมาเลย แล้วก็มาร้องมาเต้นกันอยู่แถวนั้นอยู่พักใหญ่ๆ แต่ก็ยืนดูเพลินๆ ไปเหมือนกันนะคะ ดูเป็นสีสันของเมืองดี



ตอนที่ไปเดินดูของในแหล่งช้อปปิ้งก็ไปเจอเจ้าตัวสีน้ำเงินตัวนี้ค่ะ น่ารักดี ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามาโปรโมตบอลยูโรรึเปล่า เพราะเห็นใช้สีฟ้าๆ



เดินเล่นในเมืองเก่าไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอสะพานไม้อีกอันนึง ก็สวยไปอีกแบบดีค่ะ



เดินไปแถวสะพานไม้อันนี้ก็พอดีช่วงพระอาทิตย์กำลังจะตกดิน ทำให้ได้เห็นบรรยากาศของเมืองที่สวยหวานมากๆ เลยค่ะ ภาพนี้ถ่ายย้อนกลับไปแถวเมืองเก่าที่เดินผ่านมาค่ะ



แหงนหน้ามองไปอีกด้านจะเห็นปราสาทหรือโรงแรมหรืออะไรก็ไม่ทราบอ่ะค่ะ สวยเด่นอยู่บนเขาเลย ยิ่งเวลาโดนแสงสีชมพูตอนพระอาทิตย์ตกดินยิ่งสวย เห็นแล้วนึกถึงปราสาทในเทพนิยายเลยล่ะค่ะ



เก็บภาพช่วงพระอาทิตย์ตกมาให้ดูค่ะ ชอบบรรยากาศช่วงนั้นมากๆ ของจริงที่เห็นมันสวยไร้คำบรรยายจริงๆ ถ่ายรูปออกมาไม่ได้สวยเท่ากับสิ่งที่ได้เห็นเลยค่ะ เมืองลูเซินที่เห็นในวันนั้นสวยหวานมากจริงๆ



มีอยู่วันนึงที่ฝนตก พอฝนหยุดตกก็ได้เห็นภาพสวยอีกแบบของเมืองลูเซินค่ะ กับรุ้งกินน้ำตัวอ้วนๆ สองตัวพาดอยู่บนท้องฟ้า เสียดายที่ถ่ายรูปออกมาแล้วมองเห็นรุ้งตัวบนไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่แค่นี้ก็รู้สึกว่าเมืองลูเซินเป็นเมืองที่น่าหลงรักจริงๆ เลยค่ะ



และจุดท่องเที่ยวอีกที่ที่ขาดไม่ได้ของเมืองลูเซินก็คือเจ้าสิงโตตัวนี้ค่ะ The Lion Monument หรือ Löwendenkmal เป็นรูปสลักหินรูปสิงโตที่กำลังนอนทรมานด้วยบาดแผลเต็มร่าง อนุสาวรีย์สิงโตแห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงทหารสวิส หรือที่เค้าเรียกว่า Swiss Guards ที่ต้องเสียชีวิตมากมายในช่วงปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1792 ค่ะ

ขอจบการเที่ยวที่ลูเซินไว้เท่านี้นะคะ เดี๋ยวจะพาไปลุยหิมะกันที่ยอดเขา Titlis ซึ่งอยู่ที่ Engelberg ไม่ไกลจากลูเซินกันต่อค่ะ



Titlis เป็นที่ท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อแห่งนึงค่ะ ณ ที่นี้เราจะได้เห็นธารน้ำแข็งหรือ glacier บนยอดเขาที่สูงกว่าสามพันเมตรจากระดับน้ำทะเลกันเลยค่ะ และการเดินทางไปก็สะดวกเพราะจะมีรถไฟจากทั้งลูเซินและซูริคมาที่เมือง Engelberg ค่ะ ที่ Titlis เรียกได้ว่าเป็นสวรรค์ของบรรดานักสกีและสโนบอร์ดกันเลยเชียวค่ะ การเดินทางขึ้นไปบนยอดเขาก็แสนสะดวกสบายด้วยการใช้เคเบิ้ลคาร์อย่างที่เห็นในภาพนี่แหละค่ะ



จากระดับความสูงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เราได้เห็นวิวไล่ตั้งแต่ทุ่งหญ้าด้านล่าง ที่บางพื้นที่มองลงไปก็จะเห็นฝูงแพะบ้าง ฝูงวัวบ้างที่เค้าจะปล่อยให้ออกไปหาหญ้ากินตามทุ่งแถวนี้ หมูก็แอบเห็นค่ะ สีชมพูเต็มคอกเชียว เค้าว่ากันว่านมที่สวิสเซอร์แลนจะอร่อยกว่าที่อื่นเพราะจะหอมและหวานกว่า เนื่องจากวัวของที่สวิสจะกินดอกหญ้าที่มีเกสรและน้ำหวานนั่นเองค่ะ ได้ฟังแบบนี้ฝนเองก็อดไม่ได้ที่จะลอง ทั้งๆ ที่ปกติจะทานนมไม่ได้ค่ะเพราะจะท้องเสีย แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะบังเอิญหรือเกิดอะไรขึ้นนะคะ ฝนทานนมคราวนี้ไม่ท้องเสียเลยค่ะ และหลังจากนั้นฝนก็ทานนมวัวได้เหมือนสมัยเด็กๆ แล้วอ่ะค่ะ ก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเกี่ยวกันรึเปล่า เพราะก่อนหน้านี้เคยพยายามค่อยๆ ทานนมเพื่อจะให้กลับมาทานนมให้ได้ก็ไม่เคยสำเร็จเลย หลังๆ ก็เลยเลิกทานนมไปค่ะ แต่จู่ๆ ก็มาทานได้ซะงั้น ต้องขอบคุณนมของสวิสเลยนะนี่ แล้วก็ขอคอนเฟิมว่านมสวิสหวานอร่อยจิงๆ ค่ะ



พูดถึงวัวก็เลยทำให้นึกถึงกระดิ่ง..เอ ใช้กระดิ่งดูมันเล็กไปแฮะ เรียกเป็นระฆังผูกคอวัวดีกว่า คือด้วยการที่วัวเป็นสัตว์เลี้ยงที่สำคัญของชาวสวิส เพราะงั้นเค้าจะมีการให้รางวัลตอบแทนวัวที่ทำงานให้เค้าได้ดีด้วยการผูกกระดิ่งอันใหญ่ๆ ให้ค่ะ วัวตัวไหนเค้ายิ่งรักมากก็จะยิ่งลงทุนซื้อกระดิ่งอันใหญ่ๆ มาให้ เห็นแล้วก็ได้แต่คิดว่าถ้าเป็นน้องวัวสวิสขออย่าเป็นวัวที่เจ้าของรักมากนักเลย มันคงหนักคอน่าดู ในรูปด้านบนนี่เป็นแค่กระดิ่งผูกคอวัวที่เค้าทำเป็นของที่ระลึกอันเล็กๆ แค่นั้นค่ะ ของจริงที่เค้าใช้อันใหญ่มากจริงๆ และก็หนักมากๆ ด้วยล่ะ



นอกเรื่องไปซะไกล.. กลับมาขึ้นเคเบิ้ลคาร์กันต่อดีกว่าค่ะ.. ตอนนี้ก็ค่อยๆ ไต่ระดับความสูงไปจนเริ่มเห็นหิมะที่ปกคลุมภูเขามากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ อากาศด้านบนหนาวได้ใจเชียวล่ะค่ะ



จุดขายอีกอย่างของที่นี่คือเคเบิ้ลคาร์อันแรกที่หมุนรอบตัวได้ค่ะ ตอนแรกก็นึกภาพไม่ออก พอขึ้นไปถึงได้เข้าใจว่ามันก็เป็นเคเบิ้ลคาร์ทรงกระบอกที่ผู้โดยสารแค่ยืนอยู่กับที่ก็จะได้เห็นวิวรอบทิศเลยค่ะ เพราะเจ้าเคเบิ้ลคาร์อันนี้จะค่อยๆ หมุนไปรอบๆ 360 องศาเลยค่ะ ที่แอบประทับใจก็คือมีภาษาไทยของเราบนเคเบิ้ลคาร์ด้วยนะคะ



และแล้วก็ขึ้นมาถึงยอดเขาซักที บนนี้นอกจากจะมีอาคารที่จะมีพื้นที่ชมวิวแล้ว เดินออกไปก็จะมีพื้นที่ให้พวกเราได้ไปสัมผัสหิมะกันที่ Glacier Park ค่ะ นอกจากนั้นก็จะมี Ice Flyer ซึ่งเป็น ski lift ที่นั่งไปแล้วจะได้เห็นความสวยงามของ Glacier ด้านล่าง แต่ฝนไม่ได้ขึ้นหรอกนะคะเจ้า Ice Flyer เนี่ย เพราะมีเวลาจำกัดค่ะ (ไปกะทัวร์ก็งี้แหละเนาะ)



เจ้าก้อน Glacier ที่คงสะสมมานานหลายปีเลยนะนี่



วิวด้านบนค่ะ มองไปรอบตัวก็จะเห็นยอดเขามากมายที่ปกคลุมไปด้วยหิมะเต็มไปหมด สวยมากมายเลยค่ะ



ชมวิวจนเบื่อก็เริ่มหาไรเล่นแล้วค่ะ นอกจากถ่ายรูปกระโดดโลดเต้นกันไปแล้ว ก็หันไปปั้นตุ๊กตาหิมะค่ะ พยายามทำเป็นนุ้งแมว แต่ถ่ายรูปออกมามองไม่เห็นหูเท่าไหร่เลยแฮะ และแล้วก็ไปจบที่ทำตัวลดวัยไปเล่นไถลก้นไปบนเนินหิมะค่ะ คือจะมีเนินเนินนึงที่มีร่องยาวๆ ลงมา ก็จะมีคนต่อคิวสไลต์ตัวเล่นบนเนินนี้กันเต็มเลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่แค่ไหนก็มาเล่นกันใหญ่เลย เล่นเอาก้นเปียกกันไปตามๆ กันเชียว



ก่อนจะลงก็แวะไปเข้าถ้ำน้ำแข็งค่ะ เค้าจะจัดแสงสีไว้ให้อย่างดี แต่ทางเดินบางช่วงก็จะแอบมืดเหมือนกัน ก็สวยไปอีกแบบดีค่ะ เสียดายถ่ายภาพไม่ค่อยสวยเท่าไหร่เพราะมันแสงน้อยภาพเลยเบลอเยอะน่ะค่ะ ปล. รอยมือในภาพมะใช่ฝีมือข้าพเจ้านะคะ



ขากลับลงมาจากบนยอดเขา มีเวลาช่วงรอคนให้ครบก็เลยไปเดินเล่นด้านข้างๆ ทางขึ้นเคเบิ้ลคาร์ค่ะ พอดีเห็นทุ่งหญ้าที่มีดอกหญ้าสวยมากๆ เลยไปถ่ายรูปเก็บภาพไว้ค่ะ เชื่อรึเปล่าคะว่าถ้าเลื่อนมุมภาพไปทางซ้ายอีกนิดก็จะเห็นลานจอดรถล่ะค่ะ



ฝนชอบเจ้าดอก Dandylion เป็นพิเศษค่ะ เพราะชอบไปเป่ามันเล่นให้เม็ดมันปลิวขึ้นท้องฟ้าน่ะค่ะ ไร้สาระเนาะ.. แฮะๆ ด้านข้างๆ ของทุ่งนี้จะมีธารน้ำเล็กๆ ไหลผ่านค่ะ น้ำใสมากกกกกกกกกกกกก แล้วก็เย็นเชี้ยบเลยล่ะค่ะ ชอบจังเลยกับบรรยากาศแบบนี้ ไว้ตอนหน้าฝนจะพาไปเที่ยว Murren เมืองที่ฝนชอบมากที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์กันนะคะ ถ้าใครชอบบรรยากาศประมาณเนินเขาทุ่งหญ้าและดอกไม้เหมือนฝนล่ะก้ออย่าพลาดเชียวค่ะ วันนี้ขอตัวไปนอนก่อนค่า...





ปล. วันนี้ฝากเพลงๆ นี้ไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะ กำลังโปรดค่ะ ต้องยกเครดิตให้นุ้งเล็กกี้ LoveToBeLoved เลยค่ะ เพราะน้องเล็กกี้เป็นคนแนะนำเพลงนี้ให้ฝนได้ฟัง แค่ฟังครั้งแรกก็หลงรักเลยล่ะค่ะ The Show ของ Lenka น่ารักมากมายทั้งเพลงและคนร้องเลยค่ะ...
























 

Create Date : 04 ตุลาคม 2551    
Last Update : 6 ตุลาคม 2552 0:09:21 น.
Counter : 4785 Pageviews.  

สวิสเซอร์แลนด์ ตอนที่ 4 Lausanne, Vevey, and Montreux

หวัดดีค่ะ วันนี้จะพาไปเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์กันต่ออีกสามเมืองนะคะ คือ Lausanne, Vevey, แล้วก็ Montreux ค่ะ สามเมืองนี้จะอยู่ติดๆ กันนะคะ โดยสุดท้ายจะจบที่ Montreux ก่อนที่จะขึ้นรถไฟสาย Golden Pass ไปลงที่เมือง Zweisimmen เพื่อที่จะขึ้นรถบัสของทัวร์ไปที่เมือง Luzern ต่อไปค่ะ ฝนจะเก็บเมือง Luzern ไว้สำหรับตอนหน้านะคะ

ขอเริ่มต้นการเดินทางของตอนนี้ด้วยเมือง Lausanne ก่อนนะคะ เมืองโลซานน์เป็นเมืองที่รายล้อมด้วยภูเขาและทะเลสาปเจนีวาซึ่งทะเลสาปเจนีวาในโซนนี้เค้าจะเรียกกันอีกชื่อว่าทะเลสาปเลอมังค่ะ ที่นี่ยังเป็นเมืองที่ปลูกองุ่นไว้ทำไวน์เยอะเหมือนกัน นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นเมืองที่เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จย่าและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราก็ได้มาเติบโตที่นี่ค่ะ ด้วยเวลาอันจำกัดก็เลยได้แวะเที่ยวแค่บางส่วนตามนี้ค่ะ



ขอเริ่มต้นทริปด้วย Olympic Museum แล้วกันนะคะ เมืองโลซานนี้เป็นจุดศูนย์กลางของ Olympic Committee และเป็นที่ที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับกีฬาโอลิมปิคที่ใหญ่ที่สุดเลยค่ะ ช่วงที่ไปก็กำลังโปรโมตกีฬาโอลิมปิคที่จีนอยู่ค่ะ เพราะงั้นธีมที่เห็นเค้าจัดก็จะออกแนวจีนๆ ตกแต่งด้วยสีแดงเป็นหลักเลยค่ะ ฝนว่าถ้าไม่ใช่คอกีฬาไม่มาที่นี่ก็คงได้นะคะ ด้านในก็จะเป็นพวกข้อมูลเกี่ยวกับกีฬาและโอลิมปิค เพราะงั้นเลยไม่ค่อยมีไรตื่นเต้นสำหรับฝนเท่าไหร่ค่ะ แต่ดันมาตื่นเต้นตอนจะกลับนี่สิคะ.. เพราะอาจารย์ที่เป็นไกด์กิตติมศักดิ์เค้าเคยเรียนอยู่ที่เมืองนี้ เลยบอกว่าเดินเลยจากที่นี่ไปอีกหน่อยจะเจอร้านเครปเจ้าอร่อยค่ะ ด้วยความตะกละเลยแอบขอตามอาจารย์แว้บไปลองทานค่ะ



ใครสนใจก็เดินเลาะริมทะเลสาปเลยจาก Olympic Museum ไปเรื่อยๆ ผ่านสวนสาธารณะเล็กๆ แล้วจะเห็นตึกด้านขวามือติดป้ายไว้ว่า Creperie D'ouchy ก็แวะเข้าไปสั่งได้เลยค่ะ ด้วยเวลาที่จำกัดเลยเลือกตามที่อาจารย์บอก คือเครปแบบธรรมดาราดนมกะน้ำตาล ราคาก็ต้องปลงเล็กน้อยนะคะ ประมาณอันละสิบสองฟรังค์ค่ะ พอได้ลองทานแล้วก็นึกถึงโรตีแบบนุ่มๆ บ้านเราเลยค่ะ ราคาถูกกว่ากันเป็นไหนๆ



หลังจากนั้นก็แวะไปดูมหาวิทยาลัยโลซานค่ะ เห็นว่าบริเวณลานด้านหน้าบางช่วงเวลาก็อันตรายเหมือนกันนะคะ



แล้วก็เดินเลาะๆ ขึ้นเนินเพื่อที่จะแวะไปชมอตีตโรงเรียนอนุบาลที่ในหลวงท่านเคยเรียนค่ะ แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่นแล้วนะคะ



ระหว่างทางจะผ่านโบสถ์สำคัญของเมืองค่ะ เป็นโบสถ์ที่สร้างด้วยศิลปะแบบโกธิคเช่นเคย

แล้วก็จบการท่องเที่ยวที่เมืองโลซานอย่างรวดเร็วค่ะ มาต่อกันที่เมืองทถัดไปคือ Vevey เมืองนี้เป็นเมืองที่ใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักเช่นเดียวกันกับที่โลซานน์ค่ะ ที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของ Nestlé บริษัทที่เพื่อนๆ คงคุ้นเคยกันดีนะคะ นอกจากนี้เมืองเวเว่ย์ก็ยังเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่สำคัญแห่งนึงของสวิสเซอร์แลนด์ด้วยค่ะ ด้วยภูมิประเทศที่สวยงาม รายล้อมด้วยภูเขาและมีทะเลสาปเจนีวา จึงทำให้เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวแห่งนึงที่ใครๆ ก็อยากมาค่ะ



ตอนไปที่เวเว่ย์ รถไปจอดให้บริเวณริมทะเลสาปเจนีวาค่ะ เลยได้เห็นวิวสวยๆ ของน้ำกับภูเขา บวกกับอากาศในวันนั้นที่เมฆจะมากหน่อย เลยได้เห็นวิวไกลๆ สวยไปอีกแบบค่ะ





ชอบภาพมุมด้านบนเป็นพิเศษค่ะ มันดูโรแมนติคดีจัง..



แอบเห็นเจ้านี่แล้วสงสัยว่ามันคืออะไร.. ก็เลยไปดูใกล้ๆ เข้าใจว่าน่าจะเป็นนาฬิกานะคะ เห็นมีแผงพลังงานแสงอาทิตย์ด้วย คงใช้ขับเคลื่อนกลไกต่างๆ เพราะจะมีลูกเหล็กกลมๆ ไหลวนไปรอบๆ เลยค่ะ มองแล้วเพลินเชียว



แล้วก็เดินชมวิวมาเรื่อยๆ จนถึงจุดหมายปลายทางค่ะ ก็คืออนุสาวรีย์ของ Charlie Chaplin ตลกชื่อดังที่ใครๆ ก็คงรู้จักนะคะ ชาลี เชปลินได้มาอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ในช่วง 25 ปีสุดท้ายของชีวิตเค้าค่ะ ใกล้ๆ กันก็จะมีเจ้าส้อมยักษ์ปักอยู่ริมทะเลสาปให้ได้ถ่ายรูปเล่นกันสนุกสนานเลยค่ะ เพราะมันเก๋ดี..ไม่เหมือนใคร ก็แอบสงสัยเหมือนกันนะคะว่าเค้าสร้างมามีความหมายอะไรรึเปล่า




หลังจากถ่ายรูปจนหนำใจแล้วก็เดินกลับค่ะ แต่ฝนเลือกข้ามไปเดินตรงฝั่งตึกอีกด้านเพื่อจะไปดูร้านค้าต่างๆ บริเวณนั้นค่ะ เวลามองลอดผ่านช่องตึกออกมาเห็นทะเลสาปแล้วก็สวยไปอีกแบบนะคะ



ร้านค้าที่นี่จะมีทำป้ายยื่นออกมาหน้าร้านเก๋ๆ หลายร้านค่ะ ที่นี่ยังไม่ค่อยเท่าไหร่ บางเมืองนี่ถือว่าเป็นจุดเด่นของเค้าเลยล่ะค่ะ ไว้ฝนจะพาไปชมกันในตอนหลังๆ นะคะ และแล้วก็หมดเวลาที่เมืองเวเว่ย์แห่งนี้แค่นี้เองล่ะค่ะ ขอปิดท้ายด้วยเมืองที่สามคือ Montreux นะคะ

เมือง Montreux เป็นเมืองพักตากอากาศและศูนย์กลางของการศึกษาวิชาการโรงแรมที่ลือชื่อและได้รับความนิยมสูงสุดแห่งหนึ่งของยุโรป เมืองนี้ก็เหมือนสองเมืองแรกคือรายล้อมด้วยภูเขาแอลป์และทะเลสาปเลอมังหรือเจนีวาค่ะ



หลังจากนั่งรถเข้ามาที่เมืองนี้ผ่านไร่องุ่นไปหลายเนินก็จะเห็นปราสาทแห่งนึงอยู่ไกลๆ ณ ริมทะเลสาปเจนีวา



ปราสาทแห่งนี้เป็นที่ท่องเที่ยวที่ใครๆ ที่ได้แวะมามองเธอ..ไม่ใช่แระ เมืองมองเทรอต่างหาก ใครได้แวะมาเมืองนี้มักจะไม่พลาดที่จะแวะมาเยี่ยมชมปราสาทชิยงแห่งนี้ค่ะ



Château de Chillon หรือ Chillon Castle เป็นปราสาทเก่าแก่ที่สร้างขึ้นมาเพื่อคอยเก็บค่าผ่านทางของเรือที่ล่องผ่านทะเลสาปเจนีวาแห่งนี้ ภายหลังปราสาทแห่งนี้มามีชื่อเสียงเนื่องจากเป็นที่ที่ทำให้ Lord Byron เกิดแรงบันดาลใจในการแต่งบทกวี "The Prisoner of Chillon" ซึ่งมาจากชีวิตจริงของ François Bonivard นักโทษการเมืองของเจนีวาที่ถูกจองจำอยู่ในปราสาทแห่งนี้และภายหลังได้ถูกปล่อยตัวในช่วงคริสตศตวรรตที่ 15



ปราสาทแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นอย่างแน่นหนา สังเกตดูจะเห็นว่าช่องหน้าต่างของป้อมปราสาทจะเป็นแค่รูเล็กๆ เอาไว้แค่ส่องดูภายนอก ด้านในที่เป็นส่วนที่เคยเอาไว้คุมขังนักโทษรู้สึกเย็นยะเยือกมากๆ เลยค่ะ เค้าบอกว่าตอนน้ำขึ้น ในห้องนั้นจะหนาวจับใจ ยิ่งเวลามืดแล้วเนี่ยยิ่งไม่ต้องพูดถึง



เอารูปด้านบนมาให้ทายค่ะว่าคืออะไร....






พอชะโงกไปดูที่รูก็พบว่ามันเป็นช่องที่ลึกมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ลึกจนกระทั่งไปถึงทะเลสาปเลยค่ะ คงพอเดากันได้ว่าเป็นที่ขับถ่ายของคนในสมัยนั้นค่ะ และหน้าที่อีกอย่างก็คือ.. เอาไว้เป็นที่โยนนักโทษลงทะเลค่ะ ตกไปสูงขนาดนี้..คงมะรอดแน่ๆ



แอบเอารูปน่ารักๆ มาให้ดูค่ะ คือว่าตอนฝนมาถึงที่ปราสาทชิยงแห่งนี้ ขาเดินเข้าไปก็แหงนหน้าไปเจอนุ้งเป็ดน้ำยืนเด่นอยู่บนท่อนไม้ที่ยื่นมาจากปราสาทตัวนี้ค่ะ พอขากลับออกมา..ก็ไปเจอว่ามีนกเป็ดน้ำอีกตัวมาเกาะอยู่เป็นเพื่อนเรียบร้อยแระ เห็นแล้วเลยอดขำไม่ได้น่ะค่ะ ก็เลยเอามาใส่การ์ตูนเล่นหนุกๆ ซะเลย 555



อาหารที่ถ่ายรูปเก็บเอาไว้มือนี้เริ่มจากซุปใสค่ะ กินไปนึกถึงซุปคะนอร์ขึ้นมาเชียว เลยหันไปคุยกะคุณไกด์ เค้าบอกว่าก็ที่นี่เค้าผลิตคนอร์นี่นา เพราะงั้นจะเป็นเรื่องปกติที่เค้าจะมีกระปุกคนอร์อยู่บนโต๊ะอาหารค่ะ จานหลักขอผ่านมะค่อยประทับใจ ส่วนไอติมก็เป็นเชอร์เบทรสเปรี้ยวได้ใจจริงๆ เลยค่ะ



และแล้วก็จบทริปนี้ด้วยการนั่งรถไฟสาย Golden Pass จากมองเทรอไปลงที่เมือง Zweisimmen เพราะรถบัสไปรอรับอยู่ที่นั่นค่ะ รถไฟสาย Golden Pass นี้เป็นหนึ่งในรถไฟสายหลักที่จะแล่นผ่านภูมิประเทศที่สวยงามของสวิสเซอร์แลนด์ค่ะ รถไฟสายนี้จะเชื่อมระหว่าง Montreux กับ Luzern โดยจะมีแวะที่สถานีหลักๆ คือ Zweisimmen และ Interlaken ค่ะ ระหว่างทางจะผ่านวิวทิวทัศน์ที่สวยงามตลอดสองข้างทางเลยค่ะ ได้เห็นท้องทุ่งหญ้าเขียวขจีที่จะแซมด้วยสีสรรของดอกหญ้าดอกไม้ป่านานาชนิด ได้เห็นหมู่บ้านเล็กๆ น่ารักๆ และได้เห็นภูเขาที่มีธารน้ำแข็งปกคลุมอยู่บนยอด ผ่านทะเลสาป อุโมงค์และสะพานหลายแห่งเลยค่ะ พอถึงเมือง Zweisimmen ก็นั่งรถบัสผ่าน Interlaken และไปจบทริปที่ Luzern ค่ะ เดี๋ยวจะมาว่ากันต่อที่ตอนหน้าแล้วกันนะคะ

























 

Create Date : 20 กันยายน 2551    
Last Update : 6 ตุลาคม 2552 0:10:55 น.
Counter : 4923 Pageviews.  

สวิสเซอร์แลนด์ ตอนที่ 3 Berne & Mont Blanc

หวัดดีค่า.. ห่างหายไปนานไม่ได้อัพบล็อคเลยค่ะหลังจากหนีไปเป็นแม่ครัวสมัครเล่นลองทำบิบิมบับทานครั้งแรก พอดีช่วงที่ผ่านมาต้องวุ่นวายกับชีวิตเล็กน้อย ตอนนี้ก็กลับมามีเวลาอีกนิดหน่อยก่อนที่จะกลับไปสู่ชีวิตการทำงานอีกแล้ว เลยต้องรีบจัดการพาเพื่อนๆ ไปเที่ยวสวิสให้จบก่อนเริ่มงานดีกว่าค่ะ สำหรับวันนี้ได้รวบพาไปเที่ยวสองที่สองประเทศเลยค่ะ ที่แรกคือเมืองเบิร์น เมืองหลวงของสวิสเซอร์แลนด์ ส่วนอีกที่คือ Mont Blanc ยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขา Alps และยุโรปตะวันตกที่อยู่ในประเทศฝรั่งเศสค่ะ

ขอเริ่มต้นที่กรุงเบิร์นก่อนเลยนะคะ เมืองเบิร์น (Bern หรือ Berne) ชื่อเมืองนี้ก็แปลว่า "หมี" เนี่ยแหละค่ะ ที่มาของชื่อคุณไกด์เล่าให้ฟังว่ามาจากผู้ก่อตั้งเมืองได้ตั้งใจว่าตอนเค้าออกไปล่าสัตว์แล้วสามารถล่าสัตว์ชนิดไหนได้เป็นตัวแรกก็จะตั้งชื่อเมืองตามนั้น และแล้วผลก็คือเจ้าหมีกลายเป็นสัตว์ที่โดนล่าได้ ก็เลยได้เป็นที่มาของชื่อเมืองแห่งนี้มาดังนี้แหละค่า (ไม่รู้นุ้งหมีจะดีใจรึเสียใจนะนั่น ) แต่เชื่อหรือไม่คะว่าในปัจจุบันแทบจะไม่มีคนเจอหมีอาศัยอยู่ในป่าของเมืองนี้อีกแล้ว เห็นคุณไกด์บอกว่าเท่าที่เคยเจอก็เป็นนุ้งหมีที่เดินหลงทางมาจากที่อื่นอ่ะค่ะ อ้อ..คงยกเว้นนุ้งหมีที่อยู่ในบ่อหมีตรงจุดท่องเที่ยวหลักของเมืองอีกสองตัวนะคะ

วันนี้นั่งรถบัสมาที่กรุงเบิร์นใช้เวลาจากเจนีวาไม่นานค่ะ พอมาถึงจุดแรกที่แวะก็คือสวนดอกกุหลาบ Garden of Roses (Rosengarten) บริเวณนี้จะมีจุดชมวิวที่สามารถมองเห็นกรุงเบิร์นจากมุมสูงทำให้เห็นเมืองโดยรอบเลยค่ะ



เมืองเก่าของกรุงเบิร์นมีความสวยงามและมีความสำคัญมากๆ ในฐานะเป็นเมืองที่ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกจาก UNESCO ภาพที่ฝนถ่ายมาอาจจะไม่ค่อยสวยนักนะคะ แต่ถ้าใครได้ไปเห็นก็จะเห็นความสวยงามของการจัดวางบ้านเมือง ที่เค้าจะสร้างด้วยหลังคาสีส้มอมน้ำตาลไปทั้งเมือง มีแม่น้ำ Aare สีเขียวตัดผ่านเป็นรูปคล้ายๆ ตัวยูเลยล่ะค่ะ เมืองนี้คนส่วนใหญ่พูดภาษาเยอรมันกันนะคะ เดินผ่านตรงจุดชมวิวก็จะเป็นทางเดินลงไปเจอบ่อหมี จุดขายจุดนึงของเมืองนี้ค่ะ



เห็นมีบ่อหมีอยู่สองบ่อนะคะ แต่จะมีบ่อเดียวที่มีน้องหมีอยู่ เท่าที่เห็นมีอยู่สองตัวค่ะ ทำท่าน่ารักขออาหารจากนักท่องเที่ยวเป็นด้วยนะคะ ยืนดูไปก็แอบสงสารเหมือนกันนะคะ เหมือนเป็นผู้ยอมเสียสละอิสรภาพของตัวเองเพื่อเป็นสัญลักษณ์ทำรายได้ให้กับเมืองเลยอ่ะค่ะ หลังจากอยู่แถวนั้นซักพักก็ได้เวลาเดินเข้าไปเที่ยวในตัวเมืองเก่าแล้วค่ะ เมืองเบิร์นจะมีสัญลักษณ์อีกอย่างที่เห็นได้ทั่วไปตามถนนในเมืองเก่าก็คือ "น้ำพุ" ค่ะ เพราะที่นี่จะมีน้ำพุอยู่มากกว่าร้อยอันเรียงรายอยู่ตามถนน โดยบางอันจะเป็นรูปปั้นสวยงามที่สร้างมาตั้งแต่สมัยคริสตศตวรรตที่ 16 เลยค่ะ







จุดสำคัญอันนึงของเมืองก็คือหอนาฬิกา หรือ The Clock Tower (Zeitglockenturm) เอ่อ.. อย่าถามว่าในวงเล็บอ่านว่าอะไรนะคะ แต่ก่อนตรงนี้เป็นประตูเมืองเก่าค่ะ ที่นี่จะมีนักท่องเที่ยวมายืนคอยดูตอนครบชั่วโมงด้วยความคาดหวังว่าจะได้เห็นตุ๊กตาออกมาขยับแข้งขยับขากันอย่างหอนาฬิกาดังๆ ทั่วไป แต่สำหรับที่นี่ฝนไปยืนรอดูมาสองรอบก็ได้เห็นแค่ไก่ขยับออกมาขัน แล้วก็มีตุ๊กตุ่นตุ๊กตาขยับกันนิดๆ หน่อยๆ แค่นั้นเองค่ะ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะต้องเป็นเวลากี่โมงถึงจะได้เห็นแบบเต็มรูปแบบนะคะ แอบขำเหมือนกันเพราะนักท่องเที่ยวที่มารอดูแต่ละคนได้แต่หัวเราะแล้วบอกว่า..มีแค่นี้เหรอ แถมยังแบบไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าตกลงมาทันเวลารึเปล่า



ในเมืองมักประดับประดาตึกด้วยธงเต็มไปหมด ส่วนใหญ่จะเป็นธงประจำเมืองต่างๆ ของสวิสเซอร์แลนด์ ธงของกรุงเบิร์นคงเดากันได้ไม่ยากนะคะว่าก็เป็นรูปหมีนี่แหละค่ะ แต่ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าน้องหมีแลบลิ้นสีแดงออกมาด้วยนะคะ



ในรูปข้างบนจะเป็นธงที่อยู่ด้านขวามือค่ะ พื้นสีเหลืองมีสีแดงที่ขอบๆ เดินไปเรื่อยๆ ก็จะเจอบ้านที่ไอสไตน์เคยอาศัยอยู่ค่ะ



ในช่วงปี 1903-1905 ไอสไตน์เคยอาศัยอยู่ในอพาทเม้นต์ Kramgasse 49 แห่งนี้ค่ะ ในรูปด้านบนก็จะเห็นตัวหนังสือสีแดงที่เค้าจะเขียนไว้ชัดเลยค่ะว่าบ้านของไอสไตน์ มีใครแอบสงสัยรึเปล่าคะว่าเจ้าประตูทางด้านขวาล่างคืออะไร...



เราก็แอบสงสัยค่ะ จนได้ไปเจออันที่เค้าเปิดเอาไว้ ถึงได้ถึงบางอ้อว่าที่แท้ก็เป็นทางเดินลงไปชั้นใต้ดินนั่นเองค่ะ เพราะบริเวณนี้จะเป็นพวกร้านค้าน่ะค่ะ ชั้นใต้ดินก็จะมีเปิดเป็นร้านค้าด้วยเหมือนกัน มาดูนี่กันดีกว่า..



จากบ้านของไอสไตน์ พอหันไปฝั่งตรงข้ามก็จะเจอกันบ้านผีสิง...บรื๋ออออ จำไม่ได้แล้วว่าเป็นห้องชั้นไหน แต่จะเป็นห้องที่ไม่มีคนอยู่อ่ะค่ะ ประมาณว่าใครที่มาอยู่ห้องนี้ก็จะมีเหตุเป็นไปให้ต้องย้ายออกไปทุกที เมื่อกี้ลองซูมรูปดูว่าห้องไหนหว่า.. ก็ไปเจอว่าห้องที่สงสัยจะเป็นห้องตรงตึกซ้ายมือชั้นสามอ่ะค่ะ ที่เหมือนจะมีม่านปิดไว้นะ แต่ตอนซูมดูหน้าตาฝั่งซ้ายจะมีเงาดำๆ จนเราไม่กล้าดูต่อเลยง่ะ เดี๋ยวไว้จะลองให้คนอื่นลองดูดีกว่าว่าเราตาถั่วมองให้น่ากลัวไปเองรึเปล่า



เท่าที่ฝนสังเกตบ้านเรือนบริเวณนี้ ฝนจะชอบหลังคาอ่ะค่ะ เพราะบนหลังคาจะมีปล่องหรือห้องเล็กๆ อยู่เต็มไปหมดเลย ก็แอบสงสัยอีกว่าทำไมต้องมีแบบนี้ด้วย ถามคุณไกด์เค้าก็ไม่แน่ใจนะคะว่าใช่เอาไว้สังเกตการณ์ไรงี้รึเปล่า แต่มองๆ ไปก็น่ารักดีนะคะว่ามั๊ย



แล้วเดินๆ ไปก็ไปเจอเจ้านี่เข้าค่ะ รถอะไรก็ไม่ทราบ..เก๋ซะ มาวิ่งอยู่ถนนเมืองไทยจะรอดมั๊ยน้า.. แต่อย่างน้อยก็กันฝนได้นะนั่น



ในเมืองจะใช้รถรางเยอะเหมือนกันค่ะ เวลาเดินชมเมืองก็ให้ระวังหน่อยนะคะ ตรงจุดนี้เดินผ่านเห็นสายระโยงระยางของทางเดินรถรางแล้วก็เห็นเค้าจัดเมืองต้อนรับฟุตบอลยูโร 2008 สีฟ้าไปหมดเลยค่ะ



เดินไปซักพักจะผ่านตลาดนัดของเค้า ก็จะมีของมาขายหลายอย่างเลยค่ะ ชอบตรงส่วนขายต้นไม้ดอกไม้จังค่ะ ดอกไม้ที่นี่สวยจริงๆ นะคะ อยากจะหอบกลับมาเมืองไทยจริงๆ เลย




เดินถัดมาอีกหน่อยก็จะเจอ House & square of Parliament หรือรัฐสภาของเค้าอ่ะค่ะ ที่นี่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าไปชมได้นะคะ แต่ต้องเช็คเรื่องวันและเวลาก่อนนะคะ เพราะตอนฝนไปเค้าปิดค่ะ (แต่ถึงเปิดก็คงไม่มีเวลาเข้าไปอยู่ดีแหละน้า..ไปกะทัวร์เนี่ย)



ด้านหน้าของรัฐสภาเค้าจะครึกครื้นมากเลยค่ะ เพราะจะมีเด็กๆ มาวิ่งเล่นน้ำพุด้านหน้ารัฐสภากันเต็มไปหมด มองแล้วก็น่าสนุกดีแฮะโดยเฉพาะช่วงอากาศร้อนๆ เนี่ยช่วยคลายร้อนได้ดีทีเดียวค่ะ



พอเดินกลับก็เหลือบไปเห็นหมากรุกยักษ์ค่ะ มีคนมุงหลายคนเลย เพราะมีคุณลุงสองคนกำลังเล่นกันหน้าเครียดเชียวค่ะ



แล้วจุดท่องเที่ยวอีกที่ที่พลาดไม่ได้ก็คือ The Münster ค่ะ เป็นโบสถ์สไตล์โกธิคที่สวยเด่นกลางเมืองเก่าของกรุงเบิร์นค่ะ ที่นี่มีหอคอยที่สูง 100 เมตร ที่ว่าสูงที่สุดในสวิสเซอร์แลนด์ และด้านนึงของประตูโบสถ์จะมีรูปแกะสลักที่เรียกว่า "The Last Judgement" ที่แสดงตามความเชื่อของชาวคริสเตียนในเรื่องของ The Last Judgement ที่จะมีการแยกคนทำดีและคนทำไม่ดีออกจากกันชัดเจน โดยในภาพจะแยกคนทำไม่ดีที่จะอยู่ในสภาพเปลือยเปล่าและถูกทรมานอยู่ทางด้านขวามือของเรา ส่วนคนดีก็จะสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวอยู่ทางด้านซ้ายมือ ของเราค่ะ ตรงกลางก็จะเป็นผู้ตัดสินและนักบุญต่างๆ ค่ะ



ด้านในโบสถ์จะตกแต่งสไตล์โกธิค และมีหน้าต่างประดับด้วยแก้วสีหรือ Stained Glass ที่มีคุณค่ามากเลยค่ะ เพราะทำตั้งแต่สมัยคริสตศตวรรตที่ 14 โดยอันที่มีสำคัญที่สุดเรียกว่า "The Dance of Death" ที่จะแสดงถึงความตายของมนุษย์ที่ไม่ว่าใครก็หลีกเลี่ยงไม่ได้

ขอจบเที่ยวที่กรุงเบิร์นไว้แค่นี้นะคะ มาต่อกันที่ Mont Blanc เลยดีกว่า ยอดเขามองบลังค์เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอลป์อยู่ในเมือง Chamonix ประเทศฝรั่งเศสค่ะ โดยจากสวิสก็สามารถเดินทางโดยรถไปได้ค่ะ ปกติถ้าจะเข้าไปที่ฝรั่งเศสที่ถูกต้องก็จะต้องมีการทำเชงเก้นวีซ่าก่อนนะคะ แต่เนื่องจากตอนฝนไปเนี่ยไม่มีเวลาที่จะไปทำเลยค่ะ แล้วก็เป็นคนเดียวในกรุ๊ปทัวร์ด้วยที่ไม่ได้ทำ เพราะคนอื่นทางทัวร์เค้าจัดการให้แล้วไงคะ ของฝนต้องจัดการเองเพราะตอนนั้นยังอยู่ที่เมกา คุณไกด์ก็ไปแอบถามพนง.ในโรงแรมดูว่ามันจำเป็นรึเปล่า ทางพนง.เค้าก็บอกว่าปกติไปแค่นี้ไม่ต้องใช้ก็ได้ คุณไกด์เลยบอกให้ฝนลองเสี่ยงไปค่ะ โดยโดนเนรเทศให้ไปนั่งหลังสุดเผื่อว่าเวลามีจนท.มาตรวจวีซ่าเค้าจะได้สุ่มดูแต่คนหน้าๆ นั่งอยู่หลังๆ จะได้รอด ตอนขับผ่านด่านนี่แทบทุกคนจะคอยลุ้นช่วยฝนกันใหญ่เลยค่ะ แต่เอาเข้าจริงรถไม่ได้จอดเลยล่ะค่ะ สรุปคือจนท.ไม่ได้ขอตรวจเช็คอะไรเลย..ผ่านฉลุย หลังจากเหตุการณ์ระทึกขวัญผ่านไปก็เริ่มชมวิวได้สบายใจแระ ก็เริ่มผ่านภูเขากะทุ่งหญ้าไปเรื่อยๆ จากที่ไม่มีหิมะ..



ก็เริ่มเจอภูเขาที่มีหิมะปกคลุม..



และแล้วก็มาถึงซะที แต่..ค่ะ มีแต่ เพราะพอไปถึงทางขึ้นกระเช้าพบว่าเค้ายังไม่อนุญาตให้ขึ้นไปบนยอดเขาค่ะ เนื่องจากว่าสภาพอากาศแย่มากๆ จนท.บอกว่าจะเปิดให้ขึ้นตอน 11 โมงค่ะ



ระหว่างนั้นนักท่องเที่ยวจากหลายสัญชาติก็มานั่งรอยืนรอกันเต็มไปหมด บางคนบอกว่ามาตั้งแต่เมื่อวานแต่ขึ้นไม่ได้เลยต้องมาวันนี้อีกที ฝนก็ตกประปราย..แอบลุ้นเหมือนกันค่ะว่าจะได้ขึ้นรึเปล่า และแล้วพอ 11 โมงก็ได้ฤกษ์ซะทีค่ะ Mt Blanc นี้ทอดยาวระหว่างประเทศฝรั่งเศสและอิตาลีค่ะ กระเช้าที่ขึ้นไปบนยอดเนี่ยยาวมากกกกกกกกก ต้องมีการต่อระหว่างทางด้วยนะคะ ขึ้นถูกขึ้นผิดก็ระวังไปโผล่ผิดที่ได้นะคะ และแล้วก็ได้ขึ้นแล้วค่า..



มองไปเริ่มเห็นแต่หิมะแย้ว...



และแล้วก็ขึ้นมาถึงซักทีค่ะ.. และนี่คือสิ่งที่เห็น 555



อันนี้เห็นจากด้านในก่อนออกมาที่ทางออกไปดูจุดชมวิวค่ะ พอออกไปข้างนอกแทบผงะ..



ราวกั้นที่เต็มไปด้วยน้ำแข็ง..



คุณจานดาวเทียมที่น่าสงสาร..



จุดชมวิวที่ต้องทำใจและฟิตร่างกายก่อนออกไป เพราะไม่งั้นอาจปลิวและหน้าชาได้ค่ะ



เกร็ดน้ำแข็งที่อยู่ตามผนัง..



คุณน้องสาวยังไม่เคยได้สัมผัสหิมะ พอมาเจอที่นี่ก็คงเหวอไปเลยอ่ะค่ะ ลมแรงมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกก หิมะก็ตกหนักมากกกกกกกกกกกก และก็หนาวมากกกกกกกกกกกกกกก แอบขำเหมือนกันที่เอาไปเอามาอุตส่าห์ได้ขึ้นมาข้างบนแต่ก็ไม่ได้เห็นหรอกยอดเขามองบลังค์เนี่ย เจอแต่พายุหิมะค่ะ



หลังจากวิ่งเล่นอยู่ข้างบนซักพักก็ขอลงดีกว่า อยู่ไปก็มองไรมะเห็น..



กลับลงมาสู่ความสงบสุขข้างล่าง.. ที่อบอุ่นกว่า



แล้วก็ได้เวลาทานอาหารซักที หิวมากมาย.. อันนี้เป็นวิวที่มองจากร้านอาหารค่ะ



อันนี้ภาพวิวอีกมุมนึงเห็นธารน้ำที่เกิดจากการละลายของหิมะจากบนเขา น้ำไหลแรงมากกกกกกก สีขุ่นข้นยังกับโอวัลตินไวท์มอลต์เลยอ่ะค่ะ



ปิดท้ายทริปวันนี้ด้วยทาร์ตผลไม้อาหารหวานของมื้อเที่ยง..เอ บ่ายแล้วสิจากเมือง Chamonix ประเทศฝรั่งเศสค่ะ อ้อ..หลังทานอาหารแอบหนีไปช้อปปิ้งกะรุ่นพี่คนนึง เสียดายสุดๆ ที่มีเวลาแค่สิบนาที ไม่งั้นคงได้สอยไรกลับมาแน่ๆ เลยอ่ะ ไม่เป็นไร..ไปซื้อที่สวิสก็ได้เนาะ แต่จะเป็นไงต่อไป ติดตามชมตอนหน้าแล้วกันนะคะ..


















 

Create Date : 09 กันยายน 2551    
Last Update : 6 ตุลาคม 2552 0:11:36 น.
Counter : 2003 Pageviews.  

สวิสเซอร์แลนด์ ตอนที่ 2 Zurich & Geneva

จากตอนแรกที่ได้ให้ข้อมูลทั่วๆ ไปเกี่ยวกับประเทศสวิสเซอร์แลนด์ และการเตรียมตัวการเดินทางอย่างคร่าวๆ เอาไว้ มาตอนนี้ก็จะขอพาออกเที่ยวซักทีนะคะ ฝนแพลนเอาไว้ว่าการเขียนบล็อคพาเที่ยวสวิสเซอร์แลนด์ของฝนจะขอไล่เรียงตามลำดับการเดินทางของฝนนะคะ โดยจะแยกเป็นเมืองๆ แต่จะมีซูริคที่จะมีวนไปอีกทีตอนขากลับนะคะ เพราะวันแรกที่มาถึงก็จะแวะเที่ยวที่น้ำตกไรน์ที่เดียวแล้วก็ไปที่เจนีวาเลยค่ะ ได้มาเก็บตกที่เที่ยวในซูริครอบหลังตอนก่อนกลับค่ะ

ตามกำหนดการเดินทาง เครื่องมาลงที่ซูริคช่วงเกือบสิบโมงเช้า หลังจากรถบัสมารับแล้วก็มุ่งหน้าไปเที่ยวจุดแรกกันเลยค่ะที่ The Rhine Fall หรือ Rheinfall น้ำตกไรน์ น้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ซึ่งเกิดจากการละลายของหิมะบนยอดเขาสู่ทะเลสาปคอนแสตนท์ เป็นพรมแดนทางธรรมชาติของประเทศสวิสกับเยอรมัน น้ำตกนี้อยู่เมือง Schaffhause (ชาร์ฟฮาวเซ่น) ฝนได้ไปน้ำตกนี้สองรอบเลยค่ะ รอบแรกไปกับทัวร์ รอบที่สองไปเอง เพราะพอดีคุณพ่อฝนเค้าตามมาทีหลังเลยไม่ได้มาเที่ยวที่นี่ พอตอนก่อนจะกลับที่ได้แวะมาซูริคอีกรอบ ฝนเลยพาคุณพ่อมาที่นี่อีกทีน่ะค่ะ รอบที่สองนี่มาทางรถไฟ ความรู้สึกของการมาช่างแตกต่างกันมากมายเลยค่ะ ตอนมาครั้งแรกจะมาโผล่ตรงด้านหน้า ที่จะเห็นน้ำตกจากทางด้านหน้า ถึงจะเดินอ้อมๆ ไปดูน้ำตกจากทางด้านซ้ายของน้ำตก แต่ตอนนั้นในความรู้สึกคือ..นี่เหรอน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ทำไมมันไม่ค่อยอลังการณ์อย่างที่คิดเลยแฮะ แต่..พอรอบหลังที่มาทางรถไฟแล้วจะไปโผล่ตรงด้านขวาของน้ำตก พอเห็นน้ำตกแล้วตกใจเลยอ่ะค่ะ อาจจะเพราะเป็นส่วนที่ได้ใกล้ชิดกับกระแสน้ำตกที่ไหลลงมาก็ได้ เลยทำให้ได้เห็นความแรงและยิ่งใหญ่ของน้ำตกไรน์แบบชนิดที่ทำเอารู้สึกว่านี่ถ้าไม่ได้มาตรงจุดนี้คงต้องเสียใจแน่ๆ เลยอ่ะค่ะ รายละเอียดตอนไปทางรถไฟจะเล่าตอนหลังแล้วกันนะคะ และสำหรับรูปตอนนี้เอาเป็นมุมที่เห็นจากตอนไปรอบแรกไปดูกันก่อนแล้วกันนะคะ



ถ้ามองในภาพจะเห็นหินรูปคล้ายๆ น้องเต่าอยู่ตรงกลางน้ำตก จริงๆ เป็นโขดหินสองก้อนที่ฝนเองก็ยังแอบเป็นห่วงเลยว่าต่อไปมันจะต้านแรงน้ำตกไปได้อีกนานแค่ไหน เพราะตรงช่วงฐานมันดูกร่อนๆ เป็นร่องเข้าไปเยอะเหมือนกันนะคะ แต่ว่าตรงนี้นี่แหละที่เหมือนเป็นจุดขายอันนึงของน้ำตกไรน์ที่จะมีเรือพาไปที่โขดหินอันใหญ่ (ที่จะเห็นธงชาติสวิสปักอยู่น่ะค่ะ ถ้าพยายามเพ่งในรูปจะเห็นจุดแดงๆ บนยอดโขดหินนั่นแหละค่ะ ) เพราะที่โขดหินอันนี้จะมีบันไดพาขึ้นไปที่จุดยอดของโขดหิน ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกัน แต่ฝนไม่ได้ไปหรอกนะคะ เพราะมีเวลาจำกัดและไม่ได้นึกอยากจะขึ้นไปด้วยล่ะ



หลังจากออกจากน้ำตกไรน์ ก็ได้เวลาทานอาหารพอดีค่ะ จำชื่อเมนูไม่ได้แล้ว รู้สึกจะเป็นปลาอะไรซักอย่าง ส่วนน้ำนี่เป็นน้ำองุ่นธรรมดาค่ะ จะบอกว่าชอบน้ำองุ่นมั่กๆ เห็นคุณไกด์เค้าบอกว่าไวน์ของสวิสอร่อยเพราะได้แสงแดดถึงสองครั้ง ครั้งแรกคือแสงแดดตามธรรมชาติ ครั้งที่สองคือแสงแดดที่สะท้อนจากทะเลสาป แต่ฝนทานไวน์ไม่เป็นก็เลยบอกไม่ได้ว่าไวน์ของสวิสอร่อยต่างจากที่อื่นยังไงนะคะ เคยอ่านเจอของบางเมืองในสวิสเค้าจะบอกว่าไวน์ของเมืองเค้าจะโดนแสงอาทิตย์สามครั้งเลยด้วยซ้ำ แสงครั้งที่สามเกิดจากการที่กำแพงหินของเมืองดูดซับแสงอาทิตย์เอาไว้แล้วปล่อยสู่ไร่องุ่น (ช่างเปรียบเปรยกันจริงๆ) เท่าที่ทราบประมาณว่าแสงอาทิตย์มีความสำคัญกับคุณภาพขององุ่นในการทำไวน์น่ะค่ะ

การเดินทางโดยรถบัสจากซูริคที่อยู่ทางด้านเหนือเยื้องๆ ไปทางตะวันออกไปที่เจนีวาที่อยู่ปลายด้านตะวันตกของประเทศ ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงค่ะ วันแรกก็เลยใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเดินทางค่ะ ได้ออกมาเที่ยวในเจนีวาก็วันรุ่งขึ้น แต่อย่างที่ได้เกริ่นๆ ไว้แล้วว่าช่วงที่ฝนไปเจอฝนตกหลายวันเลยค่ะ เช้าวันถัดไปที่ไปเที่ยวในเจนีวาเลยไม่ค่อยได้ทำไรมาก แวะไปตามจุดสำคัญๆ ของเมืองแบบผ่านๆ แค่นั้นเอง



เจนีวาหรือถ้าอ่านออกเสียงแบบฝรั่งเศสรู้สึกจะเป็น เจเหนฟ (เมืองนี้จะใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลักค่ะ เพราะอยู่ติดกับประเทศฝรั่งเศส เดี๋ยวจะมีแว้บๆ ข้ามไปเที่ยวยอดเขามองบลังค์ในฝรั่งเศสด้วยค่ะ โปรดติดตามตอนต่อๆ ไปนะคะ ) เป็นเมืองที่สำคัญเมืองนึงของสวิส โดยได้ชื่อว่าเป็น global city เนื่องจากเป็นที่ตั้งขององค์กรที่สำคัญต่างๆ มากมาย เช่น UN (ภาพข้างบน), สภากาชาด ธนาคารโลก องค์กรอนามัยโลก ฯลฯ รวมทั้งเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องของนาฬิกาค่ะ



ด้านหน้าของ UN จะมีเก้าอี้สามขาตัวใหญ่มากๆ ตั้งอยู่ เก้าอี้ตัวนี้มีชื่อว่า "The Broken Chair" เป็นเก้าอี้ไม้สูง 12 เมตร ผลงานของศิลปินชาวสวิสชื่อ Daniel Berset การที่ทำเก้าอี้ให้ขาหักไปข้างนึงแต่ก็สามารถตั้งอยู่ได้นี้เค้าต้องการจะให้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความทุกข์ทรมานของเหยื่อที่ต้องพิการเพราะโดนกับระเบิด แต่ก็ยังดีกว่าเหยื่อกับระเบิดอีกมากมายที่ต้องเสียชีวิตไป เป็นสัญญลักษณ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อต่อต้านการใช้กับระเบิดประมาณนั้นอ่ะค่ะ



หลังจากนั้นก็จะเป็นโปรแกรมไปล่องทะเลสาปเจนีวา แต่ระหว่างทางก็จะผ่าน Brunswick Monument อนุสาวรีย์ของ The Duke of Brunswick ที่มาเสียชีวิตอยู่ที่เจนีวา



ส่วนนี่เป็นต้นไม้บริเวณท่าเรือที่จะขึ้นไปชมทะเลสาปเจนีวาค่ะ ไม่รู้เหมือนกันว่าต้นอะไร แต่ชอบอ่ะค่ะ เป็นต้นไม้ที่แปลกดี วันนั้นอากาศค่อนข้างขมุกขมัวค่ะ เพราะว่าฝนเพิ่งหยุดตกไป เลยทำให้ท้องฟ้าไม่สดใสแถมยังทำให้วิสัยทัศน์ไม่ค่อยดีเพราะมีหมอกมาบังจนมองมะเห็นยอดเขามองบลังค์เลย ทะเลสาปเจนีวาเป็นทะเลสาปที่กว้างใหญ่มากๆ ถือว่าเป็นทะเลสาปที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปกลางเลยทีเดียว จุดเด่นของทะเลสาปเจนีวาซึ่งถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองเจนีวาเลยก็ได้ก็คือ The Jet d'Eau หรือที่เราจะเรียกกันว่าน้ำพุเจ็ทโดนี่แหละค่ะ ด้วยความสูงประมาณ 140 เมตร ทำให้เป็นจุดเด่นที่ใครๆ ก็ต้องมาแวะถ่ายรูปด้วย



ขาลงจากเรือ เจอภาพที่ประทับใจค่ะ ใครๆ ก็ต้องหยุดดูน้องเป็ดตัวนึงที่ไปนอนอยู่ในกระถางต้นไม้ที่ปลูกต้นลาเวนเดอร์เอาไว้ น่ารักมากๆ เลย คุณเธอนอนนิ่งซะจนนึกว่าเป็นตุ๊กตาซะอีก



บริเวณใกล้ๆ กันจะมีสวนสาธารณะที่เรียกกันว่า the Jardin Anglais (English Garden) จะมีสัญลักษณ์อีกอันของเมืองเจนีวาค่ะ สัญลักษณ์ที่ว่าก็คือ Flower Clock หรือนาฬิกาดอกไม้นั่นเอง



นาฬิกาดอกไม้เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงความมีชื่อเสียงของเมืองเจนีวาในเรื่องของอุตสาหกรรมนาฬิกานั่นเองค่ะ ในช่วงที่ฝนไปเป็นช่วงที่กำลังจะมีฟุตบอลยูโร 2008 พอดี เค้าก็เลยจัดนาฬิกาดอกไม้ให้เป็นรูปลูกฟุตบอลเข้ากะเทศกาลเลยค่ะ



ขอปิดท้ายเมืองเจนีวาด้วย The Cathedral of St. Peter เป็นโบสถ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองอยู่บริเวณเมืองเก่า สร้างด้วยศิลปะแบบโรมาเนซผสมกับแบบโกธิค เก้าอี้ที่เห็นในรูปเป็นเก้าอี้ของท่าน John Calvin (ถ้าอังกฤษจะอ่านคาลวิน ถ้าฝรั่งเศสรู้สึกจะเป็นคาลแวงนะคะ) พระนักปฏิรูปองค์สำคัญท่านนึงของศาสนาคริสต์นิกาย Protestant (ผิดถูกยังไงขออภัยนะคะ พอดีความรู้ด้านศาสนาคริสต์ไม่ค่อยแข็งแรงค่ะ ) ใครมีโอกาสได้ไปและมีเวลาก็ลองแวะขึ้นไปบนยอดโบสถ์นะคะ เพราะจะเป็นจุดชมวิวของเมืองเจนีวาที่ดีเลยค่ะ

สำหรับขาช้อป.. เจนีวาก็เป็นเมืองที่เหมาะแก่การช้อปปิ้งมากๆ เมืองนึงในยุโรปเลยนะคะ โดยเฉพาะนาฬิกาคงจะเป็นของที่หลายๆ คนที่มีโอกาสได้แวะมาที่สวิสโดยเฉพาะที่เจนีวาจะต้องนึกที่จะซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้าน สำหรับแหล่งช้อปปิ้งที่น่าเดินก็จะเป็นบริเวณ city center ใกล้ๆ กับน้ำพุเจ็ทโดนั่นแหละค่ะ ที่นี่จะมีสินค้าแบรนด์เนมต่างๆ รวมทั้งร้านนาฬิกาใหญ่ๆ ให้เลือกมากมาย แต่ควรแพลนการช้อปให้ดีนะคะ เพราะร้านค้าในสวิสโดยส่วนใหญ่จะปิดร้านในวันอาทิตย์ และในวันที่เปิดก็จะปิดร้านค่อนข้างเร็วกว่าเมืองไทย ส่วนใหญ่ทุ่มนึงก็ปิดร้านกันหมดแล้วค่ะ สำหรับร้านนาฬิกาที่ใหญ่และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวก็จะเห็นหลักๆ อยู่สองร้านนะคะ คือ Bucherer และ Gubelin สองร้านนี้จะมีนาฬิกายี่ห้อดังๆ ขายค่อนข้างเยอะและมีสาขาอยู่หลายเมืองค่ะ

วันนี้ก็ขอจบทริปที่เมืองเจนีวาไว้แค่นี้แล้วกันนะคะ แล้วไงจะมาต่อกันที่ Berne หรือกรุงเบิร์น เมืองหลวงของประเทศสวิสเซอร์แลนด์กันตอนหน้านะคะ

















 

Create Date : 24 สิงหาคม 2551    
Last Update : 6 ตุลาคม 2552 0:12:21 น.
Counter : 3875 Pageviews.  

สวิสเซอร์แลนด์ ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นการเดินทางและการเตรียมตัว

หวัดดีค่ะ ในที่สุดก็ได้ฤกษ์เปิดตัวบล็อคท่องเที่ยวประเทศสวิสเซอร์แลนด์ซักที หลังจากที่แอบอู้มานานหลายเดือน จากที่ข้อมูลกำลังเฟรชๆ ในหัวเมื่อตอนกลับมาใหม่ๆ ตั้งแต่ต้นมิถุนายนที่ผ่านมา จนตอนนี้ยอมรับเลยว่าข้อมูลคงไม่ปึ้กเหมือนตอนแรกแล้ว พวกเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่เคยจำๆ เอาไว้ว่าจะเอามาเขียนก็ชักหลงลืม แต่ยังไงจะพยายามใส่ข้อมูลให้ได้มากที่สุดแล้วกันนะคะ

จุดเริ่มต้นของทริป

สำหรับที่มาของทริปอันนี้ก็เป็นความโชคดีอีกตามเคยที่ได้มีโอกาสเกาะคุณป๊ะป๋าไปประชุมค่ะ เพราะงั้นเลยช่วยเซฟค่าเครื่องและค่ากินอยู่ในช่วงแรกๆ ไปได้หลายวันเลยค่ะ เราไปช่วง 24 พค - 8 มิย ค่ะ รวมแล้วก็ประมาณสองสัปดาห์ แต่ช่วงวีคแรกจะเป็นการไปเที่ยวกับทัวร์นะคะ เพราะว่าทางบริษัทที่พาไปเค้าให้บริษัททัวร์ดูแลทั้งหมด และด้วยจุดประสงค์ของการไปคือไปประชุมที่เจนีวา ดังนั้นโปรแกรมต่างๆ จึงค่อนข้างเบาๆ เพราะต้องพักที่เจนีวาเป็นหลักค่ะ เราแยกเที่ยวเองหลังจากที่จบโปรแกรมการประชุมแล้วค่ะ และต้องขอออกตัวก่อนเลยว่าเราไม่ค่อยมีเวลาเตรียมตัวสำหรับทริปคราวนี้มากนัก เพราะว่าเป็นช่วงที่เราต้องกลับจากเมกามาเมืองไทยแบบถาวร พอมาถึงไทยได้สี่ห้าวันก็ต้องบินไปสวิสต่อเลยน่ะค่ะ เลยไม่ได้จัดโปรแกรมเที่ยวแบบข้อมูลแน่นปึ้กเท่าไหร่นะคะ แต่ก็ถือว่าเป็นทริปที่คุ้มค่ามากๆ เลยล่ะค่ะ เอาล่ะ.. เข้าเรื่องกันเลยดีกว่านะคะ


มารู้จักสวิสเซอร์แลนด์กันก่อน




ขอเล่าแบคกราวของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ก่อนแล้วกันนะคะ สวิสเซอร์แลนด์เป็นประเทศเล็กๆ อยู่ในทวีปยุโรป ประเทศนี้ไม่มีทางออกสู่ทะเลเลย ลักษณะทางภูมิประเทศก็มีแต่ภูเขา ไม่มีแร่ไม่มีน้ำมันให้ขุดขาย ไม่มีศิลปะวัฒนธรรมที่ล้ำค่าให้ชื่นชมเหมือนประเทศอื่นๆ ในยุโรป แต่สวิสเซอร์แลนด์กลับเป็นประเทศที่รุ่งเรืองและร่ำรวย แถมยังเป็นประเทศในฝันที่ใครหลายๆ คนอยากจะมีโอกาสไปเที่ยวกันทั้งนั้น ฝนว่าถ้าคุณได้มีโอกาสไปสัมผัสกับที่นี่คุณก็จะไม่แปลกใจเลยว่าทำไมสวิสฯ ถึงได้เป็นประเทศที่มั่งคั่งที่สุดประเทศหนึ่งในโลก

ด้วยอาณาเขตที่ติดกับ 5 ประเทศ คือ ทางด้านตะวันออกติดออสเตรียและลิกเตนสไตน์ ด้านเหนือติดเยอรมัน ด้านตะวันตกติดฝรั่งเศส และด้านใต้ติดอิตาลี ทำให้สวิสประกอบไปด้วยประชากรที่มีเชื้อสายมาจากประเทศเหล่านี้ โดยหลักๆ ก็คือเชื้อสายเยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาลี และโรมานช์ (ประมาณชาวเขาบ้านเราน่ะค่ะ) สัดส่วนประมาณ 70:20:9:1 และมีผลทำให้ภาษาราชการของสวิสมีถึง 4 ภาษา คือ ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาอิตาลี และภาษาโรมานช์ เพราะงั้นอย่าแปลกใจนะคะที่เวลาอ่านป้ายต่างๆ ในสวิสคุณจะได้เห็นภาษาสองสามภาษาบนป้าย โดยจะเรียงลำดับแรกด้วยภาษาหลักที่ใช้ในพื้นที่นั้น (ก็มักจะแยกโซนภาษาตามพื้นที่ว่าอยู่ติดกับประเทศไหนนั่นแหละค่ะ) แล้วตามด้วยภาษารอง และอาจจะมีตบท้ายด้วยภาษาอังกฤษ บางทีก็ไม่มีหรอกค่ะภาษาอังกฤษและคนในพื้นที่หลายคนทีเดียวที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หรือได้น้อย เพราะไม่ใช่ภาษาแม่ของเค้า



การเตรียมตัวก่อนเดินทาง

เอาล่ะ.. คงพอจะรู้จักกับสวิสเซอร์แลนด์กันมากขึ้นแล้วนะคะ ที่นี้มาว่ากันด้วยการเตรียมตัวก่อนเดินทางแล้วกันนะคะ ก่อนอื่นคงต้องเริ่มต้นกันที่ขอวีซ่ากันก่อน สถานทูตสวิสฯ ในไทยอยู่ที่ถนนวิทยุเหนือ เรื่องขั้นตอนและเอกสารฝนขอข้ามนะคะ เพราะตอนฝนทำฝนต้องทำกับสถานทูตสวิสที่เมกา ซึ่งขั้นตอนและเอกสารค่อนข้างจะแตกต่างเลยไม่กล้าให้ข้อมูลตรงนี้ ถ้าไงลองคลิ๊กไปอ่านข้อมูลที่นี่ดีกว่านะคะ //www.plan4swiss.com/?page_id=32 ที่เวปของคุณมดเอ็กซ์นี่ฝนขอแนะนำนะคะ ข้อมูลแน่นปึ้กสุดๆ ให้ข้อมูลตั้งแต่การเตรียมตัวและข้อมูลการท่องเที่ยวเลยค่ะ //swiss.mod-x.net/

คราวนี้พอได้วีซ่าแล้วก็คงเป็นเรื่องของการจองตั๋วเครื่องบินและวางแผนการท่องเที่ยว และที่ขาดไม่ได้ก็คือการซื้อ Swiss Pass ค่ะ เพราะคุณมีบัตรนี้แล้วจะช่วยเซฟการเดินทางไปได้เยอะมากๆ เพราะจะใช้บัตรนี้ในการขึ้นรถไฟ รถบัส เรือได้เกือบหมด รวมถึงใช้เข้าชมสถานที่ท่องเที่ยวได้หลายแห่ง หรือเป็นส่วนลดได้หลายอย่างค่ะ ซึ่ง swiss pass จะมีแบบ 4, 8, 15, 22 วัน และ 1 เดือนค่ะ ราคาก็จะแปรตามจำนวนวันนะคะ สนนราคาก็แพงเอาการเลยล่ะค่ะ แต่ยังไงก็คุ้มเพราะค่าเดินทางที่สวิสแพงใช้ได้เชียวค่ะ สำหรับเราก็ซื้อจาก agency ที่ไทยนี่แหละค่ะ มีอยู่หลายเจ้านะคะลองเช็คราคาเทียบกันดู บางที่จะมีบริการส่งให้ถึงบ้านเลยด้วย และหลายแห่งจะมีบริการจองที่พักให้ด้วย และสำหรับคนที่อายุไม่เกิน 26 ปี ก็จะซื้อเป็น Swiss Youth Pass ได้ โดยราคาจะถูกกว่าประมาณ 25% ค่ะ และถ้าไปกัน 2 คนขึ้นไปและไปไหนไปด้วยกันตลอด แนะนำให้ซื้อแบบ Swiss Saver Pass นะคะ เพราะจะช่วยเซฟไปได้ประมาณ 15% แต่ข้อเสียก็คือจะต้องเดินทางไปด้วยกันนะคะ เพราะจะออกตั๋วให้ใบเดียว อ้อ..เวลาซื้อเลือกแค่ชั้น 2 ก็พอแล้วนะคะ ราคาตั๋วรถชั้น 1 แพงกว่ามั่กๆ และสภาพรถชั้น 2 ของสวิสเนี่ยโอเคดีมากๆ แล้วค่ะ

สำหรับใครที่ต้องการพักของ Youth Hostel หรือตอนนี้เปลี่ยนชื่อเป็น Hosteling International (คนที่ไม่ใช่เยาวชนก็พักได้นะคะ) ก็ต้องทำการสมัครสมาชิกก่อนนะคะ ข้อดีคือที่พักราคาค่อนข้างถูกกว่าการพักตามโรงแรมทั่วไป (ก็เป็นที่รู้ๆ กันดีอยู่นะคะว่าราคาโรงแรมในยุโรปนี่แพงแค่ไหน) รายละเอียดฝนขอข้ามนะคะ เพราะฝนไม่ได้ใช้บริการเค้าหรอกเพราะมีเวลาจำกัดในการเตรียมตัว แต่ตอนหาข้อมูลไปเจอแล้วคิดว่ามันก็เป็นทางเลือกที่ดีอันนึงในการหาที่พักในสวิสน่ะค่ะ ยังไงลองเข้าไปเวปนี้ดูนะคะ //www.youthhostel.ch/home.html?&L=1 ตอนฝนไปนี่ตามมีตามเกิดมากๆ ค่ะ



การหาที่พัก

ด้วยเวลาที่จำกัดในการเตรียมตัว ฝนมีเวลาเตรียมการเที่ยวในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของทริปแค่ไม่กี่วันเองค่ะ เพราะงั้นฝนเลยได้จองที่พักไว้แค่สามวันแรกเท่านั้น ที่เหลือไปตายเอาดาบหน้าล้วนๆ เลยค่ะ สาเหตุก็คือความไม่แน่นอนในเรื่องของตารางการเดินทางว่าจะไปที่ไหนก่อนหลัง ด้วยปัญหาเรื่องสภาพอากาศในช่วงนั้นที่เค้าพยากรณ์ว่าฝนตกหลายวันเลยน่ะค่ะ แล้วไงจะเล่าให้ฟังอีกทีนะคะว่าตกลงเป็นไงบ้าง สำหรับการจองโรงแรมของฝน จริงๆ ได้ให้ทาง agency ที่ซื้อ swiss pass ช่วยดูให้เหมือนกัน แต่ติดที่เวลาจำกัดมากๆ จนไม่ทันที่จะคอนเฟิมกับเค้าได้น่ะค่ะ คือตอนนั้นอยากจะเช็คดูด้วยว่าราคาที่พักที่เค้าหาให้ไม่แพงเกินไป (ด้วยความงก) มัวแต่เช็คไปเช็คมาเลยไม่ทันซะงั้น เพราะนอกจากเรื่องราคาแล้วเนี่ย ฝนต้องการที่พักที่เดินทางสะดวกไงคะ ปกติเวลาฝนจองโรงแรมเองก็มักจะเลือกโรงแรมที่อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟเป็นหลักไว้ก่อนเลยค่ะ (อันนี้เห็นความจำเป็นมากๆ ตอนไปเที่ยวที่อิตาลี) โดยส่วนใหญ่การเลือกโรงแรมของฝนเลยจะเน้นดูจากแผนที่ก่อนเลยค่ะว่าสถานีรถไฟที่เราขึ้นอยู่แถวไหน มีโรงแรมอะไรใกล้ๆ บ้าง แล้วไล่หาเอาโรงแรมที่ราคาเหมาะกับความต้องการของเราน่ะค่ะ

สำหรับเวปที่ใช้หาและจอง ฝนเองก็มั่วๆ เอานะคะ แต่เท่าที่จำได้ เวปที่ฝนใช้ก็จะมี..

www.booking.com
เวปนี้จะชอบตรงที่เค้าจะมี map ที่จะโชว์ว่ามีโรงแรมตรงไหนบ้าง และสามารถคลิ๊กไปดูรายละเอียดของโรงแรมได้เลย ทำให้เราเลือกทำเลของโรงแรมตามที่เราอยากได้ได้ง่ายดีค่ะ

www.tripadvisor.com
เวปนี้จะชอบตรงที่เวลาเรา search ได้ลิสต์โรงแรมมาแล้วเราสามารถเช็คราคาโดยพอกด check ratesจะขึ้น pop-up มาให้เราเลือกว่าเช็คราคาจากเวป partners ของเค้าได้หลายเวปค่ะ

//www.hostelworld.com/
อันนี้จะเป็นเวปของ hostel ราคาก็จะถูกหน่อยนะคะ


แต่สำหรับใครที่ไม่มีเวลาจะจองที่พักล่วงหน้าหรือยังไม่แน่นอนในการวางแผนการเดินทาง ในเมืองใหญ่ๆ ของสวิสจะมีบริการติดต่อกับทางโรงแรมในพื้นที่ตรงสถานีรถไฟเลยค่ะ แต่ขอเน้นว่าถ้าเป็นเมืองเล็กๆ ก็อาจจะไม่สะดวกนิดนึงนะคะ บางที่อย่างที่ซูริคจะมีพนักงานให้บริการเลยค่ะ เราบอกเงื่อนไขของเราไปแล้วเค้าจะช่วยเลือกโรงแรมให้ แล้วทำการจองให้ได้เลย ส่วนบางที่อย่างที่ Zermatt ฝนประทับใจมาก เพราะจะมีบอร์ดที่มีลิสต์ของโรงแรมพร้อม touch screen ที่เราจะกดเลือกโรงแรมและติดต่อโทรเข้าโรงแรมให้เราได้คุยเลยค่ะ พูดง่ายๆ คือ การไปหาที่พักเอาดาบหน้าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรมากมาย เพียงแต่มันอาจจะฉุกละหุกและอาจจะได้ช้อยส์ที่ไม่ได้ดีที่สุดเท่านั้นเองค่ะ

การเตรียมตัวอื่นๆ

การเตรียมตัวอื่นๆ ก็คงเป็นเรื่องของการจัดกระเป๋าและการเตรียมเงินแล้วล่ะค่ะ ก่อนเดินทางควรจะเช็คพยากรณ์อากาศด้วยนะคะ เพื่อจะได้เตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสม แล้วก็อย่าลืมว่าเราต้องเดินเยอะมากกกกกกกกก เพราะงั้นควรเตรียมรองเท้าดีๆ ที่ใส่เดินนานๆ ได้ไปด้วยนะคะ โดยเฉพาะถ้ามีโอกาสได้ไปเล่นสกีหรือขึ้นไปบนยอดเขาบางแห่งที่ต้องลุยหิมะ (อย่างเช่นที่ Titlis) ก็ควรเลือกรองเท้าที่กันน้ำและไม่ลื่นบนหิมะไปด้วย เรื่องเงินก็สำคัญควรเตรียมแลกเงินสดส่วนหนึ่งไว้ด้วยนะคะ

เฮ่อ... เกริ่นนำมายาวนานมากกกกกกก ตอนแรกตั้งใจว่าตอนนี้จะเริ่มพาไปเที่ยวกันเลย แต่สงสัยจะไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ แค่การเตรียมตัวก็ยาวเหยียดได้ขนาดนี้ งั้นขอยกยอด Zurich & Geneva ไปไว้ตอนที่ 2 แล้วกันนะคะ ไว้ไงจะมาเขียนต่อวันพรุ่งนี้ค่า...
























 

Create Date : 23 สิงหาคม 2551    
Last Update : 6 ตุลาคม 2552 0:12:42 น.
Counter : 2076 Pageviews.  

1  2  3  4  

แมวจอมกวน
Location :
กรุงเทพฯ United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ก็แค่อดีตคนไกลบ้านคนนึง ที่เริ่มจากหลวมตัวมาเรียนที่อเมริกา ผ่านเรื่องราวต่างๆ มากมายในชีวิต ได้รับประสบการณ์และแง่คิดมากมายจากดินแดนแห่งนี้ ตอนนี้หาทางกลับบ้านเจอแล้วค่า.. ได้กลับมาเริ่มต้นชีวิต (อีกครั้ง) ที่เมืองไทยซะที ที่มาของชื่อก็เพราะว่าเป็นคนที่รักแมว จึงเป็นที่มาของชื่อ "แมวจอมกวน" ยินดีที่ได้รู้จักกับทุกคนค่ะ


Link Blog ล่าสุด

คนโสดและไม่โสดหงายมือขวามาดูเดี๋ยวนี้ (เส้นสมรส ฟันธง!!!!)
มาทำความเข้าใจระบบเศรษฐกิจจากควายกันดูมั๊ยคะ ^^
คนค้นคน: มิสป่าตอง... หญิงที่ผูกติดกับภาพในอดีต
Cherubin Chocolate Cafe ร้านเค้กสำหรับคนรักช็อกโกแลต (และน้องหมี)
สำหรับแฟนบาร์บี้.. ชวนมาสะสมแสตมป์ไทยชุดบาร์บี้กันค่ะ
ตามรอยห้องก้นครัวไปชิม King Kong Buffet ซอยหลังสวนค่ะ
Lenka สาวสวยเสียงน่ารัก..เพลงยิ่งน่ารักน่าฟัง
หน้าร้อนแบบนี้.. มาสครับผิวกันดีกว่าค่ะ: รีวิวสครับที่กำลังปลื้ม
แอบงอน Coffee Bean เลยได้มาลอง Sugaroma ร้านเค้กน่ารักและน่ากินค่ะ
มาทำความเข้าใจกับวิกฤติการณ์แฮมเบอร์เกอร์กันง่ายๆ ด้วยภาพกันค่ะ
Review น้ำหอมในกรุ (ภาค 4)
Review น้ำหอมในกรุ (ภาค 3)
Ho Kitchen กับอาหารเย็นมื้อใหญ่
สวิสเซอร์แลนด์ ตอนที่ 5 Luzern & ไปลุยหิมะบนยอดเขาTitlis
สวิสเซอร์แลนด์ ตอนที่ 4 Lausanne, Vevey, and Montreux
สวิสเซอร์แลนด์ ตอนที่ 3 Berne & Mont Blanc
บิบิมบับ ข้าวยำเกาหลี เมนูที่ทำเองได้ไม่ยากเลยค่ะ
สวิสเซอร์แลนด์ ตอนที่ 2 Zurich & Geneva
สวิสเซอร์แลนด์ ตอนที่ 1 จุดเริ่มต้นการเดินทางและการเตรียมตัว
ผลจากโปรโมชั่นของ drugstore ทำให้ได้ไรมามั่ง มาเปิดถุงพร้อมรีวิวกันเลยค่ะ
รีวิว Bath & Body Works กลิ่นใหม่ต้อนรับสปริงค่ะ
If we hold on together >> Piano by คุณ tutu_pianist เพลงพิเศษสำหรับพี่หญิง ตัวเล็กอ้วนค่า
รีวิวผ้าเช็ดเครื่องสำอาง Pond's Cleansing Towelettes
Joanna Wang >> An Asian Version of Norah Jones
แม่ครัวสมัครเล่นกะเค้ก Tres Leches --> เค้กสามนม
รีวิว Skinceuticals C+ E Ferulic & Gamma Hydroxy & Kanebo กระปุกแดง
บล็อคสีชมพูกะเทศกาลดอกเชอรี่บาน Cherry Blossom @ DC
Review ครีมหอมๆ กลิ่นใหม่ๆ จาก Victoria's Secret และ Bath and Body Works ค่ะ
เปิดตัว MMU ตัวที่สามกับ Lumiere
เปิดตัว MMU ตัวที่สองกับน้องเหมียว Meow Cosmetics ค่ะ
รีวิว Everyday Minerals

เปิดตัว Mineral makeup ชิ้นแรกของเรา กับ Everyday Minerals ค่ะ
ประสบการณ์กรีดสิวที่คลินิคหมอเสริม-เพ็ญจันทร์

Magic Liquid Powder & Magic Illuminating Potion by Prescriptives
Aspirin Mask ของดีราคาถูกที่น่าลอง

บลัชลุงชู P Amber 87 VS elf Sun Kissed ความเหมือนที่แตกต่าง
Review Eyeshadow ของ Nars ค่ะ

รีวิวสีบลัช NARS ตามสัญญาค่ะ


   
11 March 2008
Friends' blogs
[Add แมวจอมกวน's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.