iamZEON Blog : Comics , Anime และอีกสารพัดเรื่อง
|
||||
รูปแบบการเลี้ยงลูก
รูปแบบการเลี้ยงลูก
คอลัมน์ สดจากจิตวิทยา นฤภัค ฤธาทิพย์/กรมสุขภาพจิต การ เป็นพ่อแม่นั้นเป็นบทบาทสำคัญในการพัฒนาลูกให้เติบโตขึ้นมา เพราะลูกจะมีบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัยอย่างไร ส่วนสำคัญเกิดจากลักษณะการอบรมเลี้ยงดูของพ่อแม่ นั้นเพราะรูปแบบและวิธีการเลี้ยงดูลูกที่มากหรือน้อยเกินไป ย่อมมีผลกับพัฒนาการและการเติบโตของลูกโดย - พ่อแม่ที่รักปกป้องและทะนุถนอมลูกมากเกินไป เลี้ยงลูกแบบเด็กเล็กๆ ทำทุกอย่างให้ โดยลูกไม่ต้องคิดตัดสินใจด้วยตนเอง จะทำให้ลูกไม่รู้จักโต ไม่รู้จักคิดตัดสินใจ ลูกจึงขาดความเชื่อมั่น เชื่อและหลงผิดได้ง่าย - พ่อแม่ที่ตามใจลูกมากเกินไป ให้เงินทองสิ่งของไม่มีขาดโดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสม ปล่อยให้ลูกทำตามใจตนเองโดยไม่สอนให้ลูกรู้ว่าสิ่งใดถูกผิด ลูกจะเอาแต่ใจตนเอง ปรับตัวเข้าสังคมได้ยาก ขาดความอดทน นำไปสู่ปัญหาตามมามากมาย - พ่อแม่ที่วิตกกังวลมากเกินไป ตีตนไปก่อนไข้ หวาดกลัวไปเสียทุกเรื่อง ทำให้ลูกเติบโตด้วยความกังวลหวาดกลัว คิดมากวิตกกังวลเกินเหตุ จนขาดความสุขและความเชื่อมั่นในตนเอง - พ่อแม่ที่เจ้าระเบียบ จัดระเบียบให้ลูกทุกอย่างไม่รู้จักยืดหยุ่น คอยสั่งซ้ำซากจุกจิกจู้จี้กับลูกแม้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ และเมื่อโกรธจะตำหนิดุว่าลูกอย่างรุนแรง ลูกจะรู้สึกผิด มีปมด้อยว่าตนเองไม่มีความสามารถ ขาดความมั่นใจในตนเอง สิ่งเหล่านี้คือรูปแบบการเลี้ยงดูลูกที่ขาดความพอดี ที่มักส่งผลต่อพฤติกรรมของลูกในอนาคต ดังนั้น การเลี้ยงดูลูกจึงควรให้ความรักความเข้าใจมีเหตุและผลที่พอเหมาะสำหรับลูก นั้นเพราะการเลี้ยงลูกเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ ที่ช่วยหล่อหลอมให้ลูกเติบโตอย่างมีคุณภาพ //www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hNREkxTURNMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB5TlE9PQ== เมื่อต้องพาลูกไปหาหมอ
เมื่อต้องพาลูกไปหาหมอ
สดจากจิตวิทยา นฤภัค ฤธาทิพย์/กรมสุขภาพจิต ช่วง นี้อากาศแปรปรวนเดี๋ยวก็ร้อนมาก เดี๋ยวก็มีฝนตกลงมา จึงทำให้ไม่สบายได้ง่าย ยิ่งในเด็กด้วยแล้ว ยิ่งต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ เพราะหากไม่สบายต้องไปหาหมอ คงสร้างความยุ่งยากให้กับพ่อแม่พอสมควร พ่อแม่หลายคนคงประสบ ปัญหาหนักใจเมื่อต้องพาลูกไปหาหมอเพราะลูกอาจรู้สึกกลัวงอแง ร้องโยเยเมื่อจะพาไปหาหมอแต่ละครั้ง ดังนั้น หากต้องพาลูกไปหาหมอพ่อแม่ควรหาวิธีการช่วยให้ลูกคลายความกลัวความกังวลที่ เกิดขึ้นโดย - บอกให้ลูกรู้ว่าจะพาเขาไปไหน ต้องพบใครบ้าง โดยใช้คำพูดนุ่มนวลอ่อนหวาน ที่สำคัญพ่อแม่ไม่ควรใช้วิธีการข่มขู่ให้ลูกว่า ถ้าไม่เชื่อฟังจะพาไปให้หมอฉีดยา - เล่นหมอกับคนไข้กับลูก โดยสลับกันเป็นหมอเป็นคนไข้เพื่อให้ลูกคุ้นเคยและรู้ว่าต้องเจอสิ่งใดบ้างเวลาไปหาหมอ - พ่อแม่ควรเตรียมอาหาร นม น้ำดื่มหรือขนมที่ลูกชอบไปด้วยเพื่อเป็นรางวัลให้กับลูกเมื่อหาหมอเรียบร้อยแล้ว - ระหว่างรอพบหมอควรให้ลูกเล่นของเล่นที่มีอยู่หรืออ่านนิทานให้ลูกฟังเพื่อให้ลูกรู้สึกผ่อนคลาย สิ่งเหล่านี้คือวิธีการง่ายๆ ที่ช่วยเตรียมตัวและคลายความหวาดกลัวของลูกในยามที่ต้องไปหาหมอที่พ่อแม่สามารถทำได้ //www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hNVEl6TURNMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB5TXc9PQ== เรียนรู้จากหนังสือ 1 เล่ม
เรียนรู้จากหนังสือ 1 เล่ม
คอลัมน์ เก็บเรื่องมาเล่า ชนา ชลาศัย อยาก ปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน ไม่จำเป็นต้องหาซื้อหนังสือเป็นตั้งๆ มาล่อตาล่อใจ หนังสือเพียงเล่มเดียวก็ทำให้เด็กสนุกกับการอ่านได้แล้วถ้ามีเทคนิคที่ดี "ศศิธร" แห่งคอลัมน์ "Smart Tips" นิตยสาร "Kids and School" ฉบับมี.ค.แนะนำดังนี้ 1.ชวนลูกเลือกหนังสือนิทาน หรือหนังสือที่ชอบ 1 เล่ม - เกณฑ์เบื้องต้น ควรคำนึงถึงความถูกต้องตัวสะกด ตัวหนังสือควรมีหัว ภาษาสุภาพ เนื้อเรื่องสนุก ไม่โหดร้ายรุนแรง ภาพประกอบสวยงามสอดคล้องกับเนื้อเรื่อง - อ่านผ่านๆ ก่อน 1 รอบ เช่น มีตัวละครอะไรบ้าง รูปภาพเป็นอย่างไร จะทำให้ลูกเข้าใจเนื้อเรื่องได้รอบด้านและละเอียดมากขึ้นเมื่ออ่านรอบที่ 2 หรือไม่ - ทำความรู้จักกับส่วนประกอบต่างๆ ของหนังสือ เช่น ปกหน้า ปกหลัง ชื่อเรื่อง คนเขียน สารบัญ คนวาดภาพประกอบ - อ่านทำความเข้าใจ เพิ่มความหรรษาให้การอ่านด้วยการชวนลูกทำเสียงเลียนแบบตัวละครในช่วงสนทนา เช่น เสียงคุณยาย เสียงหมาป่าเจ้าเล่ห์ - พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่อ่าน หรือย้อนทบทวนเนื้อเรื่อง เพื่อฝึกให้เด็กกล้าแสดงความคิดเห็นของตัวเอง 2.สนุกเรียนรู้กับหนังสือ 1 เล่ม หลังทำความรู้จักกับเนื้อหาในหนังสือแล้ว ลองเพิ่มกิจกรรมดังนี้ - แต่งเนื้อหาเพิ่มเติม จากคำถามที่ว่า "ถ้าเรื่องไม่จบแบบนี้ หนูอยากให้จบแบบไหนจ๊ะ หรือถ้าเพิ่มตัวละครใหม่อีกสักตัว จะเป็นอย่างไร ลองวาดเติมลงไปสิจ๊ะ" - สนุกรู้ความหมายของคำ คุณแม่อาจช่วยบอกความหมายของคำที่แปลกใหม่ให้ลูกได้รู้จักมากขึ้น แต่เพื่อกันลืมลองหาโพสต์อิตสีสวยๆ เขียนความหมายกำกับติดไว้ข้างตัว - เล่นเกมค้นหาจำนวนและสิ่งของจากภาพ หรือหยิบยกลักษณะตัวละครตัวใดตัวหนึ่งมาแต่งนิทานใหม่ 3.เชื่อมโยงการเรียนรู้สู่เรื่องอื่นๆ จากหนังสือ 1 เล่ม สามารถเชื่อมโยงสู่การเรียนรู้เรื่องรอบตัวได้หลากวิธี - เรียนรู้โลกกว้างในโลกออนไลน์ ชวนลูกตั้งกระทู้ถาม หรือค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมจากเรื่องที่เด็กสนใจและสงสัย - พาลูกไปห้องสมุดใกล้บ้าน หรือห้องสมุดที่โรงเรียน ชวนค้นหาหนังสือน่าอ่านเล่มใหม่ที่เขาชอบ - แลกเปลี่ยนหนังสือกับเพื่อนยืมกันอ่าน เรียนรู้การแบ่งปันความสนุกและความรู้ไปสู่เพื่อนๆ โดยที่ลูกเองก็ได้อ่านหนังสือหลากหลายจากหนังสือเล่มโปรดของเพื่อน - วันหยุดพาเด็กๆ ไปดูสถานที่จริงจากที่เคยเห็นแต่ในหนังสือ สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์ ทะเล เป็นต้น ถ้าเด็กสนุก ไม่รู้สึกฝืนใจ เขาก็จะค่อยๆ ซึมซับและกลายเป็นหนอนน้อย ในที่สุด //www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hOakU1TURNMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB4T1E9PQ== ความขัดแย้งในชีวิตคู่
ความขัดแย้งในชีวิตคู่
คอลัมน์ สดจากจิตวิทยา นฤภัค ฤธาทิพย์/กรมสุขภาพจิต เป็นธรรมดาของคนที่ใช้ชีวิตร่วมกันย่อมมีเรื่องกระทบกระทั่ง มีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น ดังลิ้นกับฟันที่ย่อมมีกระทบกันเป็นธรรมดา อย่างไรก็ตาม การมีปัญหาขัดแย้งหรือกระทบกันอย่างไรก็อย่าให้ปัญหาที่เกิดขึ้นลุกลามถึง ขั้นแตกหักจนยากที่จะประสานรอยร้าวให้เหมือนเดิม ดังนั้น หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในชีวิตคู่ ควรที่จะ - ไม่พูดเมื่อมีอารมณ์โกรธ เพราะขณะโกรธต่างฝ่ายต่างมีอารมณ์ร้อน คำพูดที่ออกมาย่อมมีความรุนแรง จนอาจสร้างความบาดหมางและรอยร้าวให้เกิดขึ้นมากกว่าที่ควร ดังนั้น ให้ระงับอารมณ์ให้เป็นปกติเสียก่อน อาจทำได้โดย ออกจากสถานการณ์ในขณะนั้นไปสักพัก นับหนึ่งถึงร้อย พยายามนึกถึงผลเสียที่จะตามมาหากจัดการปัญหาในขณะมีอารมณ์ - หลังสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ควรหันหน้าพูดจากัน โดยพยายามบอกความรู้สึกและความคิดของตน การพูดคุยกันอาจมีความเห็นที่แตกต่างก็ควรเปิดใจรับฟังด้วยเหตุผล ไม่มุ่งแต่การเอาชนะ พยายามหาข้อยุติโดยการทำความตกลงร่วมกัน ต่อรองหรือหาทางออกที่สามารถยอมรับได้ทั้งสองฝ่าย - หลังปัญหาการขัดแย้งที่เกิดขึ้น ต้องรู้จักที่จะให้อภัยกันและกัน ไม่ถือโทษโกรธกัน ทำความเข้าใจกัน และคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนมาจากอารมณ์ชั่ววูบ แม้ไม่มีใครที่จะเข้าใจหรือเห็นด้วยกับใครได้ทุกเรื่อง แต่อย่าให้อารมณ์ที่เกิดขึ้นเพียงชั่ววูบมาทำลายความสัมพันธ์อันดีที่สร้าง ร่วมกันมา ลดทิฐิ ระงับอารมณ์ รับฟังเหตุผลและความรู้สึกของกันและกันเพื่อความสุขของชีวิตคู่ //www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hNREU1TURNMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB4T1E9PQ== ดนตรีขวบปีแรก
ดนตรีขวบปีแรก
สดจากจิตวิทยา นฤภัค ฤธาทิพย์ / กรมสุขภาพจิต หลาย คนคงเคยได้ยินว่าดนตรีเป็นเสียงที่ช่วยกระตุ้นพัฒนาการสมองของทารก พ่อแม่หลายคนจึงพยายามให้ลูกได้ฟังดนตรีตั้งแต่อยู่ในท้องกันเลยทีเดียว ไม่ เพียงการฟังดนตรีตั้งแต่ลูกอยู่ในท้องเท่านั้นที่เกิดประโยชน์เมื่อลูกออกมา ลืมตาดูโลกแล้วเสียงดนตรีก็ยังมีความสำคัญที่ช่วยให้ลูกผ่อนคลายและช่วย กระตุ้นพัฒนาการของลูกได้เป็นอย่างดี ดังนั้น เรามาทำความรู้จักดนตรีที่เหมาะกับลูกในขวบปีแรก 0-4 เดือน ในช่วงวัยนี้กิจกรรมส่วนใหญ่คือการนอน เพลงที่เหมาะกับลูกช่วงนี้คือเพลงที่เป็นทำนองช้าๆ เช่น เพลงคลาสสิคเบาๆ หรือเพลงไทยเดิมที่ไพเราะ 5-6 เดือน ช่วงที่ลูกเริ่มพัฒนาการเคลื่อนไหวมากขึ้น เพลงที่เหมาะสมคือเพลงที่มีจังหวะชัดเจนขึ้น เพื่อให้ลูกสามารถเคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะเพลงที่ได้ยิน 7-9 เดือน เป็นวัยที่ลูกเริ่มพูดอ้อแอ้ มีกิจกรรมมากขึ้น เพลงที่ฟังจึงควรเริ่มมีเนื้อร้อง ซึ่งช่วยให้ลูกฟังแล้วเริ่มจดจำคำบางคำจากเพลงที่ได้ยิน 10-12 เดือน เพลงที่ฟังควรเน้นในเรื่องของภาษา การร้องตาม การเล่นเกม เพราะช่วงนี้ลูกจะเริ่มเรียนรู้จังหวะและภาษาได้บ้าง การร้องเพลงที่เป็นคำคล้องจองเพลงง่ายๆ แบบเด็กๆ ช่วยให้ลูกได้พัฒนาการทางภาษา ดนตรีช่วยพัฒนาการให้กับลูกทั้งทาง ร่างกาย จิตใจ ให้กับลูก เพลงบรรเลงช่วยเสริมพัฒนาการทางอารมณ์ เพลงที่มีเนื้อร้องช่วยพัฒนาการทางภาษา ที่สำคัญยังช่วยให้ลูกรู้สึกมีความสุขและอารมณ์ดีไปกับเสียงดนตรี //www.matichon.co.th/khaosod/view_news.php?newsid=TUROamIyd3hNakUzTURNMU1nPT0=§ionid=TURNd013PT0=&day=TWpBd09TMHdNeTB4Tnc9PQ== |
iamZEON
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 111 คน [?] ยินดีต้อนรับทุกท่านนะครับ ^^/ ข่าวสารการ์ตูนญี่ปุ่น กับเกี่ยวข้องอย่างภาพยนตร์-เพลง รายชื่อการ์ตูนออกใหม่-งานหนังสือ เรื่องทั่วๆไปทั้งในและนอกประเทศก็มีบ้าง
Group Blog
All Blog
Friends Blog
Link |
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |