Group Blog
 
All blogs
 

แพ๊คกระเป๋าเที่ยว ไปเปรี้ยวที่เกาหลี ตอนที่ 2 สวัสดีเกาหลี เมียงดง ฮงอิก




ความเดิมตอนที่แล้ว
แพ๊คกระเป๋าเที่ยว ไปเปรี้ยวที่เกาหลี ตอนที่ 1 ออกเดินทาง

เอาล่ะค่ะ มาต่อกันนะคะ ในที่สุด เราสามคนก็ทุลักทุเลทัวร์มาถึงเกาหลีกันจนได้นะคะ เมื่อผ่าน ตม. มาแล้วยังค่ะ ยังไม่จบ พี่หรั่งโดนเรียกไปเปิดกระเป๋า (ก็เล่นใหญ่ซะขนาดนั้น) เจ้าหน้าที่เปิดดูมีแอบยิ้ม ก็ของกินทั้งนั้น มาม่า โจ๊ก หมูหยอง แถมตอนเก็บเจ้าหน้าที่เก็บไม่เหมือนเดิมอีก (มาท่าไหนก็ต้องไปท่านั้นสิยะ เดี๊ยะ สะบัดบ๊อบ)


เมื่อผ่านพ้นพิธีการต่าง ๆ เราต้องเดินทางไปสู่บ้านพัก Ann Guesthouse ซึ่งอยู่แถวมหาวิทยาลัย Hongik (ฮงอิก) รถไฟสายเขียวผ่าน

แต่ก่อนจะขึ้นรถไฟ ต้องมีบัตร T-money ก่อน ตามคู่มือบอกว่าบัตรนี้ซื้อได้ที่ร้าน G 25

เหลียวมองรอบกาย เจออยู่ร้านนึง จึงเดินไปถามด้วยความมั่นใจ

"เอ่อ....เอ่อ T-money อ่ะ " (ภาษาอังกฤษขั้นเทพ)

คนขายผายมือไปทางด้านซ้ายของดิฉัน ที่มีแต่เคาน์เตอร์ อิชั้นจึงไปยืนรอ ผ่านไป 5 นาที

"นี่ไง" พี่หรั่งชี้ เมื่อเห็นบัตรมันแขวนอยู่ตรงเคาน์เตอร์ เอ่อ....แล้วเมื่อกี๊กรูยืนรออะไรฟะ


"ใช้ไง" ทั้งสามคนเริ่มงง เมื่อทำหน้างงพร้อมกัน พระเอกก็เข้ามา เป็นนักธุรกิจชาวญี่ปุ่นใส่สูทผูกไทด์ บอกว่าต้องเติมตังค์เข้าไปก่อน

"แล้วเติมไง" ถามพระเอก พระเอกจึงบอกกับคนขาย คนขายยื่นกระดาษมาให้ 2 ใบ ภาษาเกาหลีล้วน พระเอกเดินจากไป ทิ้งสาวสวยทั้งสาม ยืนงงต่อ เห็นเจ้าของร้านทำหน้าเซ็ง เอาวะ เช็คบิลก็ได้ กระดาษเกาหลี ไม่เอา คืนเขาไป ได้ T-money มาสามใบ



พี่หรั่งคิดว่า Information ต้องช่วยเราได้ จึงรีบไปถาม สาวสวยInformation บอกมันมีเงินในบัตรแล้ว จึงสอบถามเส้นทางไปย่านฮงอิก เธอบอก ขึ้น airport bus ไปง่ายกว่าฮ่ะ จึงชี้ทางไปซื้อตั๋ว airport bus เราทั้งสามจึงคลำทางกันต่อไป


ถึงเคาน์เตอร์ ซื้อตั๋วไปย่านฮงอิก หนึ่งหมื่นวอน เขาบอกสามป้าย ไปลงป้าย Sinchon แล้วนั่งรถไฟกลับมาป้ายนึงง่ายดี ได้ตั่วเราก้ออกมายืนรอรถเมล์กัน ที่ป้าย 5B สาย 6002

ดูจากป้านที่รถจอด สุดสายที่ ชองยางนิ (ใครจะไปเกาะนามินั่งตรงไปเลยก็ได้ เดี่ยวบอกทางไปเกาะนามิอีกที)



ป้าย 5B



ตั๋ว

kr012

และนี่คือกระเป๋า ใบกลางของพี่หรั่ง (ไอ้ที่ว่า 19 โล) Smiley

kr011_5


สักพักมีคุณลุงเจ้าหน้าที่ใจดี คอยบอกให้ว่าให้รอตรงนี้ พร้อมขยับกระเป๋าไปรอให้ใกล้ที่ที่รถจะจอดเลย

นี่ไงคุณลุงใจดี

kr011_4

ไม่นานรถก็มา ขึ้นรถเรียบร้อย

(ระรื่นได้ตลอด 555)



หลังจากนั่งหลับคอตกไปประมาณ 1 ชั่วโมง (ไม่ผิดค่ะ 3 ป้าย แต่กว่าจะถึงป้ายแรกนี่เป็นชั่วโมง) เราก็ถึง ป้าย Sinchon แล้วจ้า



เราทั้งสาม ลงจากรถมายืนงง ๆ เหอะ ๆ Sinchon เว้ย เขาบอกนั่งรถไฟไปฮงอิก ป้ายนึง แต่ไหนล่ะสถานีรถไฟ


"Excuse me อันนี้ไปสนามบินใช่ไหมคะ" สาวนางหนึ่งลากกระเป๋าเดินทางมาถาม เหอะ ๆ นี่ไม่เห็นว่ากรูงงกันเหรอ เลยรีบตอบกลับไปฉับพลันว่า


"แหะ ๆ เพิ่งมาอ่ะ ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่า รถไฟไปทางไหนคะ"


เลยต้องให้เขาบอกทางไปรถไฟให้อีก.........


เราเดินทางไปยังสถานีรถไฟ sinchon ไม่ไกลเท่าไหร่จากป้ายรถเมล์ เพียงแต่ตาถั่วมองไม่เห็นเท่านั้นเอง

ภายในสถานีรถไฟ พลันบังเกิดสิ่งที่เราชอบเป็นพิเศษ นั่นคือ


"ตู้น้ำ"

รีบปรี่เข้าไปก็ปรากฏว่ามันเป็นตู้ "ขนม"



เอาล่ะ เราหาทางไปฮงอิกได้แล้ว เอวิเดินนำอย่างมั่นใจ ป้ายเดียวเท่านั้น เอาบัตร T-money ทาบโลด

"แป๊ด ๆ " เสียงเครื่องร้องดัง ปรากฏภาษาเกาหลีล้วน สีแดง และทางเข้าไม่เปิด

"เอาแล้วกรู !!"


เราสามคนจากที่ งง อยู่แล้ว เลย งง เข้าไปอีก และพระเอกก็โผล่มา จากสายสะพายที่เขาสวมเขาเป็นอาสาสมัครนักท่องเที่ยว คือช่วงที่ไปมีประชุม G20 พอดี คิดว่าคงมีคนมาประชุมรวมผู้ติดตามด้วยเยอะ เขาเลยจัดอาสาสมัครไว้บริการเลย



พี่แกบอกว่า



"เงินไม่มีในบ้ตร !!!!!!!!!!!!!!!!"



อ้าว แล้วยัย information ที่สนามบิน !!!!!!!!! (เดี๋ยวชั้นจะกลับไปสะบัดบ๊อบใส่หล่อน ....)



ว่าแล้วเราก็เติมตังกันคนละหมื่นวอน (ฟังดูเยอะเนอะ 300 กว่าบาท) เติมเสร็จ เอาบัตร ปิ๊ด ตรงประตู ประตูเปิด เริ่ด มาก ๆ



รถไฟมา ทีนี้เราต้องดูสถานีปลายทาง กับสถานีที่เราจะไป เพราะที่ชานชาลา มันมักจะเขียนสถานีปลายทาง เราก็ดูว่า ถ้าเราหันทิศไปทางปลายทาง มันผ่านสถานีเราไหม ถ้าผ่าน ก็ขึ้นฝั่งนั้น



สถานีเดียว เราก็ถึงสถานี Hongik จากอีเมล์ที่ Guesthouse ให้มา ก็บอกให้ออกที่exit 1


เดินมาตาม exit 1 ก็เจอป้ายเบ้อเร่อ ว่า Ann guest house ให้ไปทางนี้

Ann guest house จะอยู่ที่ตึกเดียวกับดังกิ้นโดนัท


อันนี้ให้ดูแผนที่ที่เอามาจากเว็บไซต์ก่อนนะคะ


พอออกมาปุ๊บก็นี่เลย

ดังกิ้นไหม....



ถึงเลยจริง ๆ 0 นาทีอย่างเขาว่า



พอถึงแล้วเราทั้งสามก็ไปติดต่อเจ้าของเขาค่ะ ขณะนั้นเวลาประมาณ 10 โมงกว่า เจ้าของท่าทาง friendly มาก เห็นใคร ๆ เรียกเธอว่าแอน ก้เลยเรียกตามซะเลย


แอนบอกว่าเช็คอินได้บ่ายสองค่ะ และให้ฝากกระเป๋าไว้ แนะนำให้พวกเราออกไปเที่ยวกันก่อน

งั้นพวกเราไปเมียงดงกันเถอะ !!

เอาล่ะ เอาล่ะ ในที่สุดพวกเราก็มาตั้งต้นที่ Ann guesthouse เรียบร้อยแล้วนะคะ และตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน จึงฝากกระเป๋าไว้ที่เกสท์เอ้าส์ก่อน เราจึงเดินทางไปเมียงดงค่ะ

หลังจากแปลงร่างเรียบร้อย แปรสภาพจากอาซิ้ม โดยการโป๊วหน้าตา ผมเผ้าให้ออกไปถ่ายรูปเริงร่าได้ ก็ขอสวัสดีเกาหลีอย่างเป็นทางการก่อนนะค๊าาา

สวัสดีค่ะ



การเดินทางไปจากฮงอิก ขึ้นรถไฟ สายสีเขียว ไปลงที่สถานี Euljiro-3-ga แล้วเปลี่ยนเป็นสายสีส้ม ไปลงที่สถานีเมียงดงค่ะ

ตอนนี้พวกเราเริ่มใช้บัตร T-money กันคุ้นแล้ว เดินผ่านก็ปิ๊ด แค่คอยดูตังค์ในบัตร (จะโชว์หน้าจอตอนปิ๊ด) ไม่ให้หมดเท่านั้นเอง

จากฮงอิก ไป Euljiro-3-ga ไกลอยู่เหมือนกัน และวันนี้ก็เป็นวันเสาร์ราว 11 โมง คนก็เยอะนะคะ แต่ไม่นานก็ได้นั่งค่ะ

ซักครึ่งชั่วโมงได้มั๊ง ถึงสถานี Euljiro-3-ga เราต้องเปลี่ยนไปสายสีส้ม แต่ระยะทางระหว่างสถานีไกลมากเลย (จะไกลไปไหนฟระ)

เดินกันเกือบตายก็ถึงสายสีส้ม ต่อไปเมียงดงแค่ป้ายเดียวค่ะ ขึ้นมาก็นะ



เครื่องสำอางมาดักกันก่อนเลย

ยามเกือบเที่ยง โล่ง ๆ เนอะ
ดูเหมือนคนเกาหลี จะออกตัวช้า



เดินไปเดินมาชักหิวแล้วดิคะ ก็มัน 11 โมงจะเที่ยงแล้ว (จริง ๆ เมืองไทยมันก็ 10 โมงเองนะ) แต่เอาว่าหิว หาของกินกันดีกว่าเนอะ

แล้วก็มาเจอร้านนี้ น่ากินแถมราคาถูก !!



ทางขึ้นร้าน อยู่ชั้นสอง นั่งได้ชั้นสองกับชั้นสาม



ร้านนี้หาไม่ยากนะคะ เล็งเขียว ๆ ไว้ ใช่เลย

ร้านนี้เป็นแบบบริการตัวเองค่ะ คือสั่งแล้วจ่ายตังค์ที่เคาน์เตอร์ แล้วเขาจะเรียกไปรับอาหาร แล้วยกมาทานที่โต๊ะ



จากวิวที่นั่ง เห็นบรรยากาศของเมียงดง



เก๊กสวยก่อนเผื่อรสชาติอาหารจะดีขึ้น



ถ่ายเมนูให้ดูนะคะ ร้าน Han's Deli



ดูกันเล่น ๆ เพราะสั่งอาหารไปเรียบร้อยแล้ว ราคาไม่แพง

เริ่มจากข้าว

ขออภัย รูปเล็กไปหน่อย



เห็นมีรูปพริก แปลว่าเผ็ด ที่นี่เน้นเผ็ดแบบพริกป่น



Pasta ก็มี



Steak โอ๊วววววว



นั่งรอกันไปคุยกันไป ไม่นานก็มาแล้วค่ะ



ของเอวิ ฮ่า ๆ เน้นโปรตีน



ฮ๊า....กลายเป็นบล๊อกเรื่องกินไปซะแระ

เอาน่า กินในเกาหลี ก็เกาหลีไง...

จานนี้ของพี่หรั่ง



จานนี้ของพี่ป้อม พาสต้าทะเล



กินเสร็จเราก้ไปเดินเมียงดงกัน สาวน้อยคนนี้ขายอะไร...



มองสาวสวยชัด ๆ

ขายอารายยย



มันคือปลาหมึกปิ้ง............. เหนียว แสรด..........เคี้ยวกันเหนียงยานทีเดียว



เดินไปอีกนิดก็กรี๊ดดดดดดดดดด การ์ฟิลด์

พรีเซ็นเตอร์ของร้าน Cat cafe ที่เมียงดงนี่ล่ะค่ะ เราสามคน เห็นแมวไม่ได้ รีบแจ้นไป cat cafe ทันที อย่างอื่นไม่ดูแระ



แต่กลายเป็นว่า ร้านเต็มอ่ะ ไม่มีที่นั่ง งั้นเรามาช้อปปิ้งกันดีกว่า อิอิ

แป๊บบบบ เดียวมาอยู่หน้า Etude (แต่มือถือ starbuck!!!)



แป๊บเดียวก็มีถุง Etude ในมือ 55555 เรื่องอย่างงี้ไวนัก



เราเดินเล่นกันไปมา ก็ตกบ่าย 2 บ่ายสาม แหละค่ะ ร้านค้าแผงลอยเริ่มมาตั้งกันเต็มไปหมด ขายของเหมือน ๆ กัน เช่น ถุงเท้า ก็มีซะ 5-10 ร้าน แถมลายเดียวกันอีก

เลือกถุงเท้าจ้า...........(คู่ที่ถืออยู่หนาดี 2000 วอน เองค่ะ)





อากาศเริ่มเย็น เพราะมันบ่ายจัด ๆ แล้ว
พวกเรากลับที่พักกันค่ะ เพราะนัดแอนไว้ว่าจะเช็คอิน เราเดินทางกลับแบบเดียวกับที่มา

เมื่อไปถึง แอนพาเราไปห้องพัก เราจองห้องพักแบบ dorm หมายถึงพักรวมกับคนอื่นนะคะ เป็นห้องสิบเตียง ราคาเตียงละ 2 หมื่นวอน (ประมาณ 600 บาท)
ใน 1 ห้อง ข้างล่าง 6 เตียง ชั้นบน 4 เตียง วันที่เช็คอิน มีหนุ่มฝรั่งเศสจองของไว้แล้ว แต่ไม่เห็นตัว

รูปที่ทุกคนรอคอยมาถึงแล้วววว

Ann guest house

รูปนี้ถ่ายไปชั้นลอย (ที่มี 4 เตียง) แอนให้เราเลือกที่นอนได้เอง



พวกเราเลือกชั้นล่างค่ะ สะดวกดี พี่หรั่งเตียงเบอร์ 1 พี่ป้อมเบอร์ 2 อยู่ข้างบนพี่หรั่ง



เอวิเตียงเบอร์ 3 อยู่ที่ไหน รกที่นั่น 5555

(ในภาพรื้อของมาแสดงความเป็นเจ้าของเต็มที่)



อันนี้เตียงหนุ่มฝรั่งเศส ที่บอกว่าไม่เคยเจอกันเลย



อันนี้ห้องโดยรวม มีห้องน้ำในตัว



หลายคนถามว่า นอนรวมกับผู้ชายไม่กลัวหรือ ไม่กลัวค่ะ เพราะห้องนึงมี 10 คน ทุกคนมาเที่ยวกันหมด คงไม่มีใครอยากมีเรื่องหรอกค่ะ ต่างชาติ ต่างภาษา เจอกันแค่ตอนเช้า พอนอนก็ไม่รู้ใครหญิงชาย คลุมโปงหมด ส่วนใหญ่ฝรั่งนอนดึก ตื่นสาย ไอ้เราเที่ยวเช้า กลับเร็ว บางทีไม่เห็นกันด้วยซ้ำ

เอวิเคยทีนึงที่ไปญี่ปุ่น ไปกับเพื่อนสาวชาวอังกฤษ คืนนั้นเธอไม่กลับ ปล่อยเอวิไว้กับชายหนุ่มทั้ง 5

ซวยสุด ๆ แม่งแข่งกันกรน !!!! นี่แหละ ถ้าผู้ชายเยอะก็ซวยอย่างงี้ .......

ในห้องมีครัวให้ทำอะไรนิดหน่อยได้



กาแฟฟรี กินได้เลยทุกวัน



เอาล่ะ เราไปหาข้าวเย็นกินกัน

พวกเราเลือกเดินอยู่แถวฮงอิกนี่ล่ะค่ะ เนื่องจากเป็นย่านมหาลัย เรารู้ว่าต้องมีของกินเป็นแน่แท้

เราเดินมาถึงอาคารนี้ค่ะ



ร้านอยู่ซอยนี้นะคะ

(มือสั่น แปลว่าหิว)



ขึ้นไปชั้น 2 โซนด้านในที่ไม่ได้ติดกับระเบียง (จะลึกลับไปไหน)



ดูราคา ชามละ 5-6 พันวอน (ร้อยกว่าบาท) ดูประหยัดดี เป็นราเมงค่ะ ร้านก็สะอาดสะอ้าน



พร้อมสุด ๆ



แน่นอน มีกิมจิ และเครื่องเคียงผักดอง กินฟรี


เมนู มีท่านผู้ชมขอหย่าย ๆ จัดให้...

เมนูมีภาษาอังกฤษด้วย อ่านไปก็ไม่เก๊ท เอาเป็นว่ารู้ว่าหมู ปลา ไก่ พอ



ของเอวิ ราเมงหอย ใส่สาหร่าย ไม่เผ็ด





ของพี่หรั่ง แดงจัดจ้าน



ของพี่ป้อม สาหร่าย น้ำข้น ใส่เกี๊ยวด้วย (แบบมีเกี๊ยวจะแพงกว่านิดหน่อย)

ร้านนี้อร่อย และให้ชามโตมากค่ะ แนะนำสาว ๆ มาสามสั่งสองพอ เรางี้เกือบตาย



เสร็จแล้วเราเดินดูของนิดหน่อย มานั่งพักเหนื่อยกัน

มืดแล้วหน้ายังแจ่ม

เอ่อ พี่ป้อมคะ ร่าเริงไปนิดมั๊ยคะ ...



นั่งพักเหนื่อย เท่ซะไม่มี

"เท่ซะ....ในสายลมหนาว"



จะเก็กไปไหน ........



วันแรกในเกาหลี ของสามสาวก็หมดลง

ตอนต่อไป ตอนที่ 3 เพื่อนสาวเกาหลี พระราชวังเคียงบก กดตามไปเลยจ้า




 

Create Date : 10 มิถุนายน 2554    
Last Update : 17 สิงหาคม 2561 10:21:03 น.
Counter : 7661 Pageviews.  

แพ๊คกระเป๋าเที่ยว ไปเปรี้ยวที่เกาหลี ตอนที่ 1 ออกเดินทาง



วัน : วันเดินทาง (เครื่องออก ประมาณเที่ยงคืน)

เวลา : เที่ยง

 เสียงโทรศัพท์ดัง ฉันจึงคว้ามารับโดยฉับไว พี่หรั่งน่ะเอง

พี่หรั่ง : 5555 ข้าลาครึ่งวัน จัดกระเป๋าแล้วนะโว๊ยยย

เรา : หนูยังทำงานอยู่เลยอ่ะ

พี่หรั่ง : พี่ป้อมก็อยู่ด้วยเนี่ย จัดกระเป๋ากันอยู่ (น้ำเสียงลั้นลามาก)

เรา : ....(อิจฉาอ่ะ)

เวลา : เย็น

พี่หรั่ง : แกอยู่หนาย........

เรา : นั่ง taxi กลับบ้านอยู่ บอกแม่เอากระเป๋ามากองแล้ว

พี่หรั่ง : สองทุ่มข้านั่ง taxi ไปรับนะเฟร้ยยย

เรา : เออ จะรอ มานะ จุฟๆ

เวลา : ทุ่มครึ่ง

เรา : โทรหาพี่หรั่ง.........หงะ ปิดเครื่อง

เวลา : ทุ่มสี่ห้า

เรา : โทรหาพี่หรั่ง.........หงะ ปิดเครื่อง

เวลา : ทุ่มห้าสิบ
เรา : โทรหาพี่หรั่ง.........หงะ ปิดเครื่อง แง๊.......................

เวลา : สองทุ่ม

พี่หรั่ง : เฮ้ยยยย นั่ง taxi ออกมาได้ป่ะ รถข้าเต็ม

เรา : ไมเพิ่งบอกหงะ จะได้นั่งรถเมล์ไป (คิดในใจ รถมันจะเต็มได้ไงวะ พี่หรั่งกะพี่ป้อมสองคน)

ข้าพเจ้าจึงโทรให้ Taxi มารับ พ่อและแม่ผู้ซึ่งห่วงลูกสาวมาก เดินมาส่งหน้าประตู
ไม่ได้ห่วงหรอก ออกมาล๊อคประตู !! (ความเดิมตอนที่แล้ว ตอนไปญี่ปุ่น บอกแม่ไปแล้วนะ แม่ตะโกนออกมาจากห้องน้ำว่า "เออ')

สามทุ่ม ณ สนามบินสุวรรณภูมิ

สามสาวก็ได้มาพบกัน รวมทั้งญาติพี่หรั่งพี่ป้อมเต็มไปหมด เสมอเหมือนจะไปเรียนต่างประเทศ (กรูนึกแล้วทำไมรถเต็ม)

มาถึงก็รีบไปเช็คอิน


ตั๋วค่ะ



ร่ำลาญาติโยมที่มากันคับคั่ง เสมอเหมือนจะไปเรียนต่างประเทศ เครื่องเราออกเที่ยงคืนนิด ๆ ราวสี่ทุ่มจึงเสร็จพิธีร่ำลา

พี่หรั่งยกกระเป๋าขึ้นชั่งน้ำหนัก เอ่อ มัน 19 โลกว่า ๆ นะคะเนี่ย (เขาให้ไม่เกิน 25 โล)

"พี่หรั่งเอาบ้าอะไรไปเยอะแยะคะ"

"ก็แกบอกให้ชั้นเอามาไง๊" พี่แกเอากล้องวิดีโอ โน๊ตบุ๊ค ของกินต่าง ๆ ราวกับจะย้ายไปอยู่เกาหลี ส่วนกระเป๋าเอวิ มี 1 ใบ (ข้างในมีอีก 1 ใบ หนักประมาณ 9 กิโล)

มุ่งหน้าสู่ด่านตรวจคนเข้า (ออก) เมือง ผู้คนไม่รู้มาจากไหน ว่าซื้อตั๋วไม่ใช่ช่วง high season แล้วนะ ขาออกนี้เขาเปิดแค่ 2 แถว สำหรับชาวไทย แถวยาวเป็นอันมาก เอวิเริ่มร้อนใจเพราะจองของ King power ไว้ กลัวไม่ได้ของ ช่วงเที่ยงคืน Route ฮิต ๆ ก็จะมี เกาหลี ญี่ปุ่นนี่แหละค่ะ ที่เครื่องออกประมาณเที่ยงคืน ผู้คนเต้มไปหมด บางคนใส่เฟอร์ รองเท้าบู๊ตมาทีเดียว (เมิงไม่ร้อนเร้อ....) มีทีมเราแต่งตัวราวกับไปสำเพ็ง นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะว่าคนหน้าตาดีทำอะไรก็ดูดีไปหมดแหละ

ผ่าน ต.ม. เข้าไป เอวิรีบไปร้านเครื่องสำอางทันที (อ่านะ........)



ดูไปดูมา ดูกันใหญ่เลย



แล้วเราก็ไปรับของที่จองไว้กับ King power คลาคล่ำไปด้วยฝูงคุณป้าชาวญี่ปุ่น ท่าทางรีบเหมือนกันเพราะที่จุดนั้นเป็นเวลาเกือบ 5 ทุ่มแล้วค่ะ เราเสียเวลาตรงนั้นไม่นานก้ไปถึงหน้า gate รอไม่นานเขาก้เรียกขึ้นเครื่องค่ะ ทั้งเครื่องมีแต่ผู้โดยสารชาวไทย --"

หน้าเกต



เครื่องบินลำนี้จะพาเราไปค่ะ



บนเครื่อง ชมวิวข้างนอกกันค่ะ



เราขึ้นเครื่องได้ ตั้งใจหลับทันที แต่ เขาไม่ปิดไฟซะทีวะคะ

เครื่องออก เที่ยงคืนเกือบครึ่ง ...... เอวิตั้งใจหลับมาก และด้วยความเป็นคนหลับยาก ก็ไม่หลับ...................

ตีหนึ่งก็แล้ว

ตีหนึ่งครึ่งก็แล้ว

....จากนั้นเริ่มสับปะหงกด้วยอุปกรณ์ปิดหูปิดตาที่พกมา

ตีห้าเกาหลี (แปลว่าตีสามไทย) พี่แกปลุกแล้ว "ผู้โดยสารโปรดแซบ อีกไม่นานเราจะลงสู่หนามบินอินชอนแล้ว" (แปลว่าพวกเมิงตื่นมากรอกเอกสารกันได้แล้ว)

ดูวิวก่อน อาหารยังไม่เสริฟ (ให้อภัยๆ สายการบินใหม่ไม่ถึงปีในขณะนั้น ช้าบ้างไรบ้าง)



ไม่ช้าไม่นาน ของกินมาแล้ว นั่นคือ

"ข้าวห่อหมก" (หมก หมก หมก)



กินเสร็จ กรอกเอกสารเข้าเมืองเสร็จ ฉันรู้สึกว่าเครื่องบินลดระดับเร็วมาก มองไปข้างนอกมีแต่เมฆทั้งนั้น จะรีบไปไหนฟะ สายการบินนี้นี่

พลันออกไปมองข้างนอก เห็นเส้นรันเวย์สีเหลือง ๆ อ๊ายยย ที่เห็นไม่ใช่เมฆ มันหมอกตะหากล่ะ มิน่าลดระดับซะเร็วเชียว ขอโต๊ดดด นู๋เข้าใจผิด.......

"สายการบินบิซิเนสแอรืยินดีต้อนรับสู่สนามบินอินชอน อากาศภายนอก ในวันนี้มีหมอกคลุมหนา.........." <--- บอกก่อนหน้านี้จะดีไหมคะคุณน้องแอร์ขา.....

เมื่อสำนึกได้ว่ามันถึงแล้วนี่หว่า จึงเก็บข้าวของ (ที่งัดออกมาแต่งหน้าเมื่อกี๊) เตรียมตัวเข้าเมืองได้ ล ลลล ลล ลุย ..... เดี๋ยวก่อน ตกลงเราพร้อมกันจริง ๆ ใช่ไหม.........

ด่านต่อไป คือด่าน ตม. ที่ทุกคนกลัวนักกลัวหนา เราซึ่งเดินทางมาเยอะ (กับเขาด้วย) ก็กลัวอ่ะ อะไรที่ชาวบ้านเขากลัว เรากลัวหมด เดี๋ยวเชย....

เสียงพี่กัปตัน แว่วมา บอกข้างนอกสององศา เอาหละ ชุดเดินสำเพ็งเมื่อกี๊ท่าจะใช้ไม่ได้แล้ว งัดเสื้อกันหนาวหากิน ใช้มาตั้งแต่ปี 2006 ซื้อที่ญี่ปุ่นตัวแรกในชีวิต ราคา 600 บาท หวังว่าจะช่วยได้

ลงจากเครื่อง มุ่งหน้าสู่ ตม. ด้วยสีหน้า มั่นใจ (มั๊ยฟะ)



ถึง Terminal ที่ออกมาจากเครื่องบิน ต้องต่อรถไฟ ไป terminal หลัก

ดิชั้นหน้าตาเคร่งเครียดมาก

หาที่เช็คอิน foursquare อยู่ !!! (อยู่ที่ไหนก็หา)

(หาสัญญาณอินเตอร์เน็ตสนามบินอยู่ค่ะ แจ้งให้แฟนเพลงทราบว่า ข้ามาถึงแล้ว 5555)



ไม่ต้องกลัวหลงค่ะ เราเดินตามป้าย "อะไรว๊า..." ไป (Arrival)

ออกจากรถไฟ ทำท่ามั่นใจหน่อยซิ



เราจัดลำดับโดยวางแผนดังนี้ คือต่อแถวเดียวกัน ให้มันเปิดกี่แถวกรูก็จะแถวเดียวกัน พี่หรั่งนำไปก่อน พี่ป้อมตรงกลาง เราปิดท้าย เผื่อคนข้างหน้าไม่ผ่านจะได้ไปเม้ง (เรื่องเม้ง ๆ นี่ถนัด)

ที่สำคัญคือสายการบินที่เรามา เป็นกรุ๊ปทัวร์ฮ่ะ เนียนเลยทีนี้ (ตอนไปญี่ปุ่นถูกถามว่าคนไทยทำไมมาสายการบินมาเลย์ คราวนี้ไม่น่ามีปัญหา)

พี่หรั่งเข้าไปก่อน เห็นบุ้ยใบ้มาทางนี้ ประมาณว่ามาด้วยกัน ผ่านง่ายดาย

พี่ป้อมตามไป ปั๊มอย่างเดียวไม่ถาม

อย่ามาไม่ผ่านตรงตูนะเฟร้ย........พี่แกไม่ถามอะไร ปั๊มให้อย่างง่ายดาย


เย้.........เรามาถึงเกาหลีแล้ว

** ติตามตอนหน้า เริ่มวันแรกในเกาหลี มั่วกันแบบฮา ๆ ใครแอบอ่าน เม้นด้วย!!

ไปต่อ
แพ๊คกระเป๋าเที่ยว ไปเปรี้ยวที่เกาหลี ตอนที่ 2 สวัสดีเกาหลี เมียงดง ฮงอิก




 

Create Date : 06 มิถุนายน 2554    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2560 19:40:35 น.
Counter : 2041 Pageviews.  

ทัวร์ถังแตก กินแหลกที่สิงคโปร์ ตอนที่ 2 ย่าน bugis

หายไปร่วมสี่เดือน อาจทำให้บางท่านคิดว่าอิชั้นตายไปแล้ว หุ ๆ ยังอยู่ค่ะ เพียงแต่ชีวิตยุ่งสุด ๆ ยังไม่ลืมมิตรรักแฟนเพลงหรอกน่า

ความเดิมตอนที่แล้ว

ตื่นมาเช้าอันสดใส ณ สิงคโปร์ วันนี้วันที่ 16 ตุลา 52 ท้องฟ้าสดใส(ตรงไหน) ขมุกขมัว Joanna บอกว่า อินโดนีเซีย เผาป่า ควันเลยลอยมา

อย่างที่ทราบกันว่า อิชั้นมีการเตรียมตัวพอสมควรในการมาเที่ยวครั้งนี้ นั่นคือ ไม่ได้เตรียมอะไรเลย เพราะถือว่า การท่องเที่ยวขึ้นกะโชคชะตา (หุหุ)
ดังนั้นวันนี้เราจะพึ่งเพื่อนอย่างเดียวเลย

ตื่นเช้ามา 7 โมงบ้านเรา Joanna ผู้ซึ่งเล่น facebook ยันตีสามเมื่อคืนยังไม่ตื่น เราจัดแจงเข้าห้องน้ำเรียบร้อย เดินออกจากห้องน้ำมา ท่านพ่อของ joanna กวักมือเรียก เห็นกำลังทอด ๆ อะไรอยู่หอมเชียว คุณพ่อเป็นชาวสิงคโปร์เชื้อสายจีนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ค่ะ ทำท่าเหมือนให้เรากินที่ ๆ คุณพ่อทำอยู่ แหมช่างเข้ากับนโยบายของทริปนี้จริง ๆ

ดู ๆ ไปนี่มันขนมหัวผักกาดบ้านเรานี่หว่า



"Carrot cake" Shi qi หลานสาวของ Joanna บอก โอ้ ว้าวววว รสชาติอร่อยสุดยอด!!!

เราก็นั่งกินด้วยความเพลิดเพลิน คุยกับ shi qi ซึ่งแปลเป็นภาษาจีนกลางให้คุณพ่อฟังอีกที คุณพ่อบอกว่าเคยมาเมืองไทย 2 ครั้ง มากรุงเทพ เชียงใหม่ เชียงราย

หันมาอีกที Joanna พร้อมแล้ว

เธอบอกว่าจะพาไปไหว้พระก่อน เอาล่ะออกเดินทางกันเลย

Joanna อาศัยอยู่แถบ Tampines ค่ะ เป็นย่านพักอาศัย มีแต่แฟลตเต็มไปหมด ชาวสิงคโปร์ส่วนใหญ่มักอยู่ flat เพราะมีพื้นที่จำกัด คนที่มีบ้านอยู่จัดว่ารวยจริง ๆ

เรามาที่ป้ายรถเมล์กัน หันกลับไป นี่เป็นย่านแฟลตที่ joanna อยู่ค่ะ




ซูมใกล้ๆ

เรานั่งรถเมล์สาย 27 เพื่อไปยังอู่รถเมล์ของ Tampines แล้วต่อรถไฟจากสถานี Tampines ที่อยู่ตรงอู่พอดี

มาดูกันค่ะ ว่ารถเมล์ผ่านที่ไหนบ้าง (เมืองไทยน่าจะมีงี้มั่งเนอะ)







อันนี้คือสาย 72 ที่นั่งมาเมื่อคืน จะเห็นว่าสีดำ ๆ ก็คือจุดที่ยืนอยู่ (รูปนี้ถ่ายจากหน้าแฟลตค่ะ)




บนรถกับ Joanna



วิวจากรถ พื้นที่สีเขียวเขาเยอะ

ถึงอู่รถเมล์ก็จะมีของขายเยอะแยะ นี่เป็นร้านอาหารแบบธรรมดา (อารมณ์ร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา) ชามนึง สองสามเหรียญ (อย่าคูณเป็นเงินไทยนะ หัวใจวายตาย)



แล้วเราก็ไปขึ้นรถไฟกันค่ะ เริ่มจากสถานี Tampines ที่เราอยู่



เราจะมุ่งหน้าเข้าเมืองกันนะคะ

รถไฟมาแล้ว



ระหว่างอยู่บนรถไฟก็ดูเส้นทางรถไฟไปด้วย



ออกมาชักภาพกับรถไฟหน่อย



ถึงสถานี Bugis แล้วววว



ขึ้นมาด้านบนกันนะคะ



ชัดเลยว่ามาถูกทางแล้ว



เดินเที่ยวกันค่ะ



เราจะมาที่วัดจีนที่ bugis กันค่ะ เราชอบไปวัดอยู่แล้ว ถูกใจจริงๆ







เสี่ยงเซียมซีกันหน่อยนะคะ






โอ้ ชีวิต...อุตส่าห์เลขสวยแล้ว

เรื่องราวของวัดนี้ค่ะ



ด้านหน้าวัดที่กำแพงสวยเชียว



ของขายก็น่าสนใจ




ไปต่อค่ะ ข้าง ๆ มีวัดฮินดูด้วย
Sri Krishnan Hindu Temple




สวยงามมาก







Radha Kishan












ข้ามถนนมาฝั่งตลาดกันมั่งนะคะ



บรรยากาศแบบชาวจีน



ดื่มน้ำไหมคะ กระป๋องละเหรียญ

ในตลาด Bugis มีของขายตรึม ราคาปานกลาง ไม่แพงแต่ก็ไม่ถูกนะคะ






ของกินก็มี







เอาล่ะ เราไปเดินห้างย่านบูกิสกันบ้างค่ะ













ร้านอาหารเยอะแยะมากมาย โดยเฉพาะอาหารญี่ปุ่นเพียบ ฮิตเหมือนบ้านเรา

เดินขึ้นมาถึงชั้นสาม เจอร้านไอติมน่าทานมาก ชื่อร้าน Mable slab creamery เลยชี้ชวนกันทานดีกว่าค่ะ มาดูไอติมกันนะ (น้ำยายไย๋)










อ้ำ..า..า (กินสามคนนนะ)



จากนั้นคุณหลานขอตัวไปทำธุระ เหลือเรากับคุณเพื่อนเดินเที่ยวรอบ ๆ เอ้าถ่ายรูปหน่อย ที่ห้าง BHG Bugis



ไปกันต่อ



เดี๋ยวมาต่อ เหนื่อยแระ




 

Create Date : 31 มกราคม 2553    
Last Update : 30 มิถุนายน 2553 7:11:40 น.
Counter : 10048 Pageviews.  

ทัวร์ถังแตก กินแหลกที่สิงคโปร์ ตอนที่ 1 ออกเดินทาง

กลับมาแล้วจ้าาา ทริปถังแตก กินแหลกที่สิงคโปร์
เรียนท่านผู้อ่านนะคะว่าอย่าคาดหวังอะไรกับทริปนี้ เนื่องจาก ไม่ค่อยได้เที่ยวหรอกค่ะ เน้นกินกะช้อปซะมากกว่า (อ่านะ) แต่ถ้าใครมีอะไร อยากถาม ถ้าตอบได้ก็จะตอบให้ หรือเมล์ไปถามเพื่อนให้นะคะ

ความเดิมตอนที่แล้ว

ก็มีการวางแผนกัน อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า ได้ตั๋วในราคาโปรโมชั่นที่ถูกพอสมควร ทีเดียว




เอาล่ะค่ะ เมื่อเตรียมตัวพร้อมแล้ว เราก็ออกเดินทางกันเลยค่ะ

เครื่องของเราออกเวลา 18.15 ของวันที่ 15 ตุลาคม 2552 ดังนั้น เราออกจากบ้านตั้งแต่บ่าย 2 เลย (รีบเช็คอิน จะได้ไปดูของที่ดิวตี้ฟรี)
บ้านอยุ่รามอินทรา นั่งรถเมล์สาย 554 ไปจากหน้าซอยเลยค่ะ
(ไม่มีใครมาส่งเค้าเลยยย พอขับรถไปทิ้งป้ายรถเมลืหน้าปากซอย
)

เมื่อไปถึงก็เกือบบ่ายสาม ยังไม่เปิดให้ check in เดินไปดูแผงก่อนดีกว่า



รู้สึกเหมือนของเราจะเลื่อนออกไป 15 นาที (ตอนเช็คอิน เจ้าหน้าที่บอก ดีเลย์ 15 นาที)

นั่งเล่นรอ....ประมาณบ่ายสามครึ่งก็เปิดเคาน์เตอร์ให้เช็คอินค่ะ

เช็คอิน กระเป๋าขาไป 8 กิโล ของฝากเยอะ (โปรดจำตัวเลขให้ดี ไว้เทียบกับขากลับ)



เรียบร้อยค่ะ

เสร็จแล้วอย่ารีรอ ผ่าน ตม. เข้าไปข้างในกันเลย เกท F1 ค่ะ เข้าไปแล้วเดินไปทางขวา เลยไม่เจอ



ข้างบนเป็นภาพเก่าตอนไปญี่ปุ่นค่ะ

เกท F1 ต้องไปทางด้านขวา ก็มีของสวย ๆ งาม ๆ ให้ดูเช่นกัน



เช็คของเช็คราคา เดี๋ยวไปเทียบกับที่ สิงคโปร์




แวะถ่ายรูปเครื่องบิน ฮือๆๆๆๆ มันติดลูกกรง



ได้เวลา 18.30 ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิ ประเทศไทย

ฟ้ามืด แล้วยังได้ที่นั่งกลางขวา (15E) อดถ่ายรูปโดยสิ้นเชิง ข้างซ้ายเป็นฝรั่ง ใจดีมาก ช่วยเราเอากระเป๋าใส่ที่เก็บข้างบนด้วย ข้างขวาเป็นสาวไทย

ขาไปนอนไม่หลับ เพราะก่อนขึ้นเครื่องไปกินกาแฟฟรีของ แบล๊คแคนยอน ที่ให้สมาชิก AIS ฟรี แถมยังสั่งชุด set แถมกาแฟอีก กลายเป็น 2 แก้ว หายอยาก เราสั่ง set breakfast (สั่งตอนเย็น แหะๆ) ที่ร้านปกติไม่มี ที่นี่บัตรสมาชิกแบล็กใช้ไม่ได้นะคะ

ถึงสิงคโปร์เวลาท้องถิ่น 21.45 ป่านนี้ Joanna คงรอแย่แล้ว

รีบวิ่งตามชาวบ้านเขาไป ตม. แต่มิวาย แอบแวะ duty free นีสนึง

วิ่งมาถึงนี่ ลงกระไดเลื่อนไป ก็ถึง



คิวยาวเชียวค่ะ ระหว่างรอ โทรบอกแม่ว่ามาถึงแล้ว

ผ่านโรมมิ่ง ตกนาทีละ 59 บาท รีบพูดอย่างไว

ตม. มองหน้าแล้ว รีบให้ผ่านไปโดยไว ออกมาเอากระเป๋า เจอ Joanna มากับหลานสาว รออยุ่เลย

Joanna พาขึ้นรถเมล์สาย 72 กลับบ้านที่ย่าน Tampines ค่ะ

ให้บัตร EZ-link card ราคา 25 เหรียญ ใช้ได้ทั้งรถเมล์ รถไฟ



ไม่นานประมาณ 20 นาทีก็ถึง Tampines คุณพ่อยังดูทีวีอยู่ จึงนำของฝากมาฝากกัน มากมายก่ายกอง แล้วก็เข้านอนกันค่ะ

ไว้ค่อยมาต่อเรื่องของวันรุ่งขึ้นค่ะ
คลิกเลยค่ะ ที่นี่




 

Create Date : 27 ตุลาคม 2552    
Last Update : 2 กุมภาพันธ์ 2553 19:11:22 น.
Counter : 1529 Pageviews.  

เก็บข้อมูลเตรียมเที่ยวสิงคโปร์ ฉบับตามใจเพื่อน แต่ผิดแผน ต้องไปคนเดียว

จริง ๆ วางแผนสำหรับ ทริปถัดไปจะเป็น Japan 2010 แต่เนื่องจากเพื่อน ๆ รบเร้าเซ้าซี้กันว่าอยากจะไปเยือนประเทศใกล้ ๆ กันก่อน เพราะญี่ปุ่นมันแพงอ่ะ....เลยมาลงตัวกันที่ สิงคโปร์

แต่แล้วก็แต่อีก ไม่รู้เวรกรรมอะไรกันนักหนา ตอนนี้เพื่อน cancel หมดเลย เหลือเราหัวเดียวกระเทียมลีบ เชอะ! ไปคนเดียวก็ได้

เราเคยไปสิงคโปร์มาแล้วเมื่อตอนอายุ 14 ครั้งนั้นนั่งรถไป ใช้เวลาทั้งสิ้น 10 วัน ราคา 7500 บาท (สมัยนั้นก็จัดว่าพอควร) ได้เที่ยงทั้งภาคใต้ มาเลเซียและ สิงค์โปร์

จนถึงวันนี้ 16 ปีผ่านไปแล้ว แน่นอนว่าอะไร ๆ มันต้องเปลี่ยน เอาวะ Let's go

ก่อน จะโก ก็นะ ตอนคิดทริปนี้พาสปอร์ต จะหมดอายุ ยังไม่ได้ไปทำ ต้องเตรียมหนังหน้าไปถ่ายรูปให้พร้อม แต่งหน้าไปอย่างงาม แต่ e-passport ออกมาเป็นขาวดำอ่ะ (เล่มเก่ามันเป็นสีเนอะ)

การไปสิงคโปร์ไม่ต้องทำวีซ่าค่ะ อยู่ได้ 30 วัน แต่พาสปอร์ตต้องมีอายุการใช้งานก่อนถึงวันหมดอายุไม่ต่ำกว่า 6 เดือนค่ะ

ห้ามนำเข้า : หมากฝรั่ง ของละเมิดลิขสิทธ์ และสิ่งผิดกฏหมายต่าง ๆ คนที่มียาโรคประจำตัวควรจะมีสลากหุ้มห่อชัดเจน บอกชื่อยา

ใช้ไฟ 220-240V AC 50 Hz แต่ว่าปลั๊กที่ใช้เป็นแบบสามรู ใครต้องใช้อะไรควรเตรียมไปให้พร้อม

แนวทางการเที่ยวได้แรงบันดาลใจมาจากเว็บพี่วุฒิพี่เคท ว่าจะดำเนินรอยตามพี่ ๆ นะคะ อ่านได้ที่นี่

//wutkate.com/index.asp?pageid=0071&catid=5&artcatid=4

เห้นว่าช่วงนี้ airasia มีโปรโมชั่นอยู่ ต้องแวะไปดูซะแล้ว
//www.airasia.com/site/th/th/home.jsp

และแล้วก็ได้ตั๋วมาค่ะ ราคา 3224 บวกค่ากระเป๋า (เราบ้าขน) ค่าประกัน สิริรวม 3634 บาทถ้วนจ้า



อันนี้คือรายการอาหารของสายการบิน เราไม่เคยขึ้นแบบโลว์คอส มันต้องจองก่อนบินใช่ไหม (ไม่ใช่ไฮโซเด้อ เพราะไปญี่ปุ่นมันไม่มีโลคอส เลยต้องขึ้นแบบนั้น) หรือไม่จองอาหารก็ได้ ไม่เป็นไร บินแป๊บเดียว ไม่กินก็ได้

เอาเมนูมาแปะก่อน เผื่อเปลี่ยนใจ
//www.airasia.com/storage/bo/aaportal.model.ContentFileUpload/edd7d518-7f000010-bc0eba00-743c35f7/name/snackattack_jan2009.pdf

พี่ วุฒิจากเว็บข้างบน กล่าวไว้ในเว็บไซต์ของเขาว่า "ถ้าท่านประสงค์จะอยู่ที่นี่เกิน 2 วัน ขอแนะนำว่า ซื้อบัตรอีซี่การ์ดเถอะครับ เพราะสะดวกสบายไร้กังวลด้วยประการทั้งปวง ใช้ได้กับยานพาหนะสาธารณะแทบทุกประเภท ที่สำคัญคือขึ้นไปแล้วจะลงตรงไหนก็ได้"

แต่ก็ไม่ใช่บัตรแบบเหมานะคะ คือเป็นบัตรเติมเงิน ซื้อและเติมเงินที่สนามบิน ราคา 15 SD ใช้ได้ 10 SD เป็นค่าธรรมเนียมบัตร 5 SD ไม่ได้คืน แต่เก็บบัตรไว้ตอนจะไปสิงคโปร์อีกได้ สถานี MRT ที่สนามบินอยู่ terminal 2 เติมเงินได้อีกตามสถานี MRT ทุกที่

แล้วก็เรื่องที่พัก โชคดีมาก ๆ ได้รับความกรุณาจากเพื่อนทางจดหมาย Joanna เธอบอกว่า ถ้ามาคนเดียวมาพักบ้านเธอเถอะ ไอ้เราก็เกรงใจ แต่เธอก็คะยัยคะยอ จนเรายอม (จริง ๆ มันก็อยากประหยัดอ่ะเนอะ)

บ้าน Joanna อยู่ไม่ไกลจากสนามบินค่ะ เธอบอก 15 นาทีก็ถึงถ้านั่งรถเมล์

แต่ถ้าไม่มีที่พัก ตามแนวพี่วุฒิไปแนะนำให้พักที่ แฟรคแก้นซ์ สาขา Emerald พี่เขาว่าคืนละ 1300 กว่า ต่อห้อง อะไรงี้...เช็คล่าสุด กพ.52 ประมาณเกือบ 2พันบาท สำหรับห้องที่พักได้ 2 คน ราคาไม่รวมอาหารเช้า (ไม่เป็นไร มีแค่น้ำร้อนกระติกก็พอ)

การจองทางเน็ต ที่ //www.asiarooms.com/

นั่ง MRT สายสีเขียว จากสนามบิน ไปสถานีชุมทาง ทานาห์ เมราห์ โดยผ่าน สถานี เอ็กซ์โปลงเปลี่ยนรถ ที่สถานีชุมทาง ทานาห์ เมราห์ไปไปชานชาลาที่มีรถไป Boon lay และลงรถที่ Kalang

หรือนั่งรถ (เราว่านั่งรถดีกว่า ...อ่ะเปลี่ยนใจซะละ) พี่วุฒิแนะนำว่าจากสถานีเลี้ยวขวา รอรถที่ป้าย ขึ้นสาย 13 หรือ 33 หรือ 100 หรือ 67 หรือ 21 พอรถจอดก็ชะโงกไปถามคนขับว่า อะจู๊หนีด? (แปลว่าไรอ่ะพี่วุฒิ)ถ้าคนขับพยักหน้า ก็ขึ้นรถได้เลยครับ

ขึ้นรถแล้ว เอาบัตร อีซี่การ์ด ของ เอ็มอาร์ที แปะที่เครื่อง ให้ได้ยินเสียง 1 ตู๊ด เป็นอันว่าจ่ายตังแล้ว

พี่ วุฒิ : รถจะผ่านสี่แยกต่างๆ แล้วก็จอด 1 ป้าย แล้วก็ไปต่อครับ พอถึงป้ายที่ 2 ก็ลงได้เลยครับ....แล้วก่อนลงจากรถ อย่าลืมเอาบัตรแตะที่เครื่องอีก 1 ตู๊ดนะครับ ไม่งั้นโดนคิดค่าโดยสารไปถึงปลายทางเลยครับ

อีกวิธี นั่งแท๊กซี่

พี่ วุฒิ : ราคาก็ประมาณ 4 เหรียญ หรือ 100 บาทบวกลบครับ เพราะเขาเริ่มที่ นั่งปั๊บก็ 2.40 เหรียญ ต่อไป กม.ละ 20 เซ็นต์ และช่วงเร่งด่วน หรือ รัชอาวร์ ก็เพิ่มอีก 1-4 เหรียญตามลำดับครับ

เราว่าวิธีนี้ก็แหล่มสุด ไปหลายคนก็หารกัน

เอาแต่พี่วุฒิมาอ้างอิง เผื่อมาอ่านเจออย่าเพิ่งโกรธนะคะ หนูอยากไปได้แบบพี่บ้าง

เขาว่ากันว่ามัดบดที่เซเว่น เป็นแบบเครื่องกด อร่อย และแปลกดี เราชอบกินมันบดอยู่แล้ว น่าลองๆ

จะไปไหนบ้าง.. แน่นอนว่าต้องไปถ่ายรุปกะสิงโต เมอร์ไลออน โดยลงสถานีรถไฟ Raffles Place
- Ikea ก็น่าไป (แต่งบก็ไม่มากเน้อ....) //www.ikea.com.sg/about_ikea/map.asp
- นั่งเคเบิลคาร์ ไปเกาะเซ็นโตซ่า ราคา 20 เหรียญ (500 บาท ราว ๆ นั้น) คาดว่าจะนั่งขาไปขาเดียว ขากลับ กลับรถเมล์ดีกว่า เอ๊ะ หรือราคามันรวม 2 ขาเลยหว่า แต่การจะไปนั่งเคเบิลคาร์นั้น มันต้องไปขึ้นที่ไหนล่ะเนี่ย

ข่าวดี ตอนนี้เคเบิลคาร์ปิดปรับปรุง 55555 ไม่เป็นไร เจ๊ Joanna เธอบอกเดี๋ยวพานั่งรถเมล์ไป

- Little India
- สวนนกจูร่ง
- Orchard Road ไปwindow shopping โดยลง MRT สายสีเขียวที่สถานี Cityhall เพื่อเปลี่ยนไปขึ้นรถ MRT สายสีแดงเพื่อไปลงสถานี Orchard
- นั่งรถเมล์สาย 80 ชมเมือง เขาว่าผ่านทุกที่ยกเว้น Orchard Road

.... นอกนั้นยังไม่รู้ คิดอยู่ แล้วแต่คุณเพื่อนจะพาไปปล่อย

ช้อปอะไร.....มีคนบอกว่ารองเท้า Charles & Keith ราคาถูกว่าไทยราวครึ่งหนึ่ง แถมมี shop อยู่ดาดดื่น น่าสนใจ..เพื่อน ๆ ที่ทำงานก็เล็ง ๆ ว่าอยากได้

งบประมาณ..... คาดว่า 1.5 หมื่นเที่ยวแบบ คุณหนู ๆ (หนูหริ่ง...)มากกว่านี้ไม่มีแล้ว...

ของที่ควรเอาไป : ร่ม เอาแบบพกได้ เสื้อสีชมพูแป๊ด เนื่องจาก เรากับ Joanna ยังไม่เคยเจอกันมาก่อน เราเลยบอกเธอว่าจะใส่เสื้อสีชมพู shocking pink ไปเลย Joanna จะมารอรับที่สนามบินค่ะ อะไรอีกดี ก็ตังค์นั่นแหละ แล้วกลับมาจะมาเล่าให้ฟังนะคะ ว่าไปสิงคโปร์ โดยเที่ยวกับคนสิงคโปร์เอง จะออกมาเป็นแนวไหน ไป 15 กลับ 22 ตุลาจ้า

ของกินที่คาดไว้


ไปอ่านวันเดินทางกันเลยค่ะ กดจ้า




 

Create Date : 01 ตุลาคม 2552    
Last Update : 27 ตุลาคม 2552 11:42:15 น.
Counter : 2488 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

honeynut
Location :
กรุงเทพ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 15 คน [?]










new counter start at 16/5/15

from old counter 571368 Hits at 16/5/15

100,000 Hits at 3/4/08

flag counter since at 21/09/17

Flag Counter


ขอบคุณ Graphic สวย ๆ จาก

เนยสีฟ้า
ญามี่
gasara



come visit meeee
come visit meeee

Fanlisting





fanlisting คือ?

ปฏิทิน
...


Friend Link

บล๊อกที่ยังอยู่ในใจเสมอ
Friends' blogs
[Add honeynut's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.