|
ไขปัญหาผื่นคันหน้าร้อน พร้อมวิธีรับมือ
ถึงช่วงหน้าร้อนทีไร หลายคนมักประสบปัญหาอาการแสบคันกับผดผื่นที่ผุดขึ้นตามร่างกายทุกที แน่นอนยิ่งอากาศร้อนจัด มีเหงื่อชุ่ม ยิ่งคันและแสบมากแบบไม่ต้องบรรยาย สร้างความหงุดหงิดรำคาญใจให้ไม่น้อยทีเดียว คุณทราบหรือไม่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด?
รศ.พญ.พรทิพย์ ภูวบัณฑิตสิน สาขาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อธิบายว่า ความร้อนอาจทำให้อุณหภูมิใน ร่างกายสูงขึ้น แต่มนุษย์จะมีระบบปรับอุณหภูมิโดยเพิ่มการขยายตัวของหลอดเลือดแดงที่ผิว หนังเพื่อระบายความร้อนออกจากผิว และต่อมเหงื่อสร้างเหงื่อ เมื่อระเหยแห้งก็จะช่วยลดอุณหภูมิลง
ต่อมเหงื่อมีอยู่ทั่วร่างกายอยู่เหนือชั้นหนังแท้ จะมีมากที่บริเวณรักแร้ ฝ่ามือ และฝ่าเท้า เหงื่อที่ขับออกจะช่วยให้ผิวหนังชุ่มชื้นมีความยืดหยุ่นและช่วยปรับ อุณหภูมิในร่างกาย โดยท่อเหงื่อจะคดเคี้ยวในชั้นหนังกำพร้า ถ้ามีการอุดตันของท่อเหงื่อจะเกิดผดได้ สำหรับประเทศไทยอยู่ในเขตร้อนความชื้นสูงเป็นปัจจัยให้เกิดผดผื่น ในฤดูร้อนจึงพบจำนวนผู้ป่วยสูงมาก
"ผด" นั้นเกิดจากความผิดปกติของ ท่อเหงื่อ เมื่อมีเหงื่อเพิ่มขึ้น หนังขี้ไคล ที่บวมอาจทำให้เกิดการอุดตันของท่อ ซึ่งการอุดตันตามระดับของท่อเหงื่อแบ่งได้ 3 ระดับ คือ...
1. การอุดตันในระดับตื้น ลักษณะผื่นเป็นหยดเหงื่อใสค้างใต้ผิวหนัง ชั้นขี้ไคล ไม่มีอาการเมื่อถูตุ่มใสจะแตกออก
2. การอุดตันในระดับลึก เหงื่อออกไม่ได้จึงเซาะเข้าในหนังชั้นกำพร้า เกิดการอักเสบเป็นตุ่มแดง มีอาการคันมาก ในบางรายอาจ มีอาการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนได้
3. การอุดตันลงลึก จะเป็นตุ่มสีปกติ ตุ่มจะใหญ่ขึ้นเมื่อเหงื่อออกมาก พบน้อยมักเป็นในประเทศซึ่งอยู่ในทะเลทรายหรือผู้ป่วยเป็นผดเรื้อรัง
ลักษณะผดที่พบทั่วไปมักเป็นผื่นแดงเล็กกระจายสม่ำเสมอและเปลี่ยนเป็นตุ่มใส มีฐานเป็นสีแดง ผื่นในเด็กพบบริเวณคอ หน้าขา และรักแร้ ส่วนในผู้ใหญ่พบในบริเวณร่มผ้าที่มีการเสียดสี โดยเฉพาะคอ หนังศีรษะ ลำตัว หน้าอก และข้อพับ ซึ่งจะคันมากเมื่อมีเหงื่อออก
อย่างไรก็ตาม ผดผื่นพบมากในทุกชาติและทุกวัย พบกระจายในร่มผ้า โดยเฉพาะบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก การใส่เสื้อผ้ารัด แน่นหรือใช้วัสดุหนาหรือพลาสติกที่อากาศไม่ถ่ายเทจะทำให้เกิดการอุดตันของ ผิวหนังเป็นสาเหตุของการเกิดผดผื่น แต่เมื่อสภาพอากาศปกติผดผื่นจะทุเลาได้เองภายใน 1-2 วัน
คุณหมอยังแนะนำวิธีรับมือจากผดผื่นว่า ถ้าอากาศร้อนติดต่อกันนานต้อง อาบน้ำให้บ่อยขึ้น เปิดพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศตามสถานะเหมาะสมและควรสวมใส่เสื้อผ้าที่เบาสบาย ไม่รัดแน่นจนเกินไป แต่ถ้าเป็นผดแล้วควรงดการออกกำลังกายชั่วคราว ส่วนอาการคันให้ใช้ยาทา แป้งน้ำช่วย เมื่อผื่นหายผิวจะกลับสภาพปกติ
หากทราบถึงปัญหาการเกิดและวิธี รับมือผดผื่นแล้ว ร้อนนี้หวังว่าหลายคนคง จะทุเลาลงจากอาการแสบคันเพราะผดผื่นได้บ้าง รวมทั้งมีสุขภาพจิตที่ดีไม่หงุดหงิดง่ายพร้อมรับลมร้อนท้าแสงแดดในซัมเมอร์นี้อย่างสนุกสนาน
ที่มา: เดลินิวส์
Create Date : 31 มีนาคม 2552 | | |
Last Update : 31 มีนาคม 2552 15:07:38 น. |
Counter : 1184 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
10 เคล็ดลับ...หลับสบาย
น่าตกใจกับผลการวิจัยในสหรัฐอเมริกาชิ้นหนึ่งที่พบว่าเมืองนิวยอร์กทั้งเมืองล้วนเต็มไปด้วยสาวก Sleepless Society คนนอนไม่หลับมากมาย ในจำนวนนี้ยังได้หมายรวมไปถึงกลุ่มคนที่พยายามจะนอนให้หลับ และกลุ่มคนที่เทคยานอนหลับด้วย จากการแยกแยะวิเคราะห์พฤติกรรมและผลกระทบยืนยันว่า คนส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาวที่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี ซึ่งมีความเคร่งเครียดหลักจากสภาวะกดดันเรื่องความก้าวหน้าในการงาน และค่าครองชีพ การนอนไม่หลับอันเนื่องจากไม่รู้จัก Shut Down ความคิดที่วนเวียนในสมองนี้ ยังส่งผลให้เกิดอาการซึมเศร้า หดหู่ ที่กระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน และความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย และเมื่อเป็นอย่างนี้นานเข้า มันก็จะเริ่มก่อตัวเป็นวัฏจักรที่ไม่สิ้นสุด นั่นคือ เครียด-นอนไม่หลับ-หดหู่ซึมเศร้า-ขาดพลังงานและความคิดสร้างสรรค์-ผลงานไม่น่าประทับใจ-วิตกจริต และกลับมาสู่วงจรแห่งความเครียดซ้ำซ้อน นักวิชาการทั่วโลกต่างออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า... นี่คือมหันตภัยทางจิต ของเวิร์กกิ้งแมนและวูแมนทั่วโลกแห่งปี 2008 ที่น่ากลัว
9 Checks, Are You A Sleepless Society? ลองมาเช็กดูกันดีกว่าว่าวันนี้คุณมีอาการเข้าใกล้วงจรนอนไม่หลับแค่ไหน...คุณมีอาการแบบนี้หรือเปล่า
หลับตานานแล้ว แต่สมองยังไม่หยุดคิด มักรู้สึกตัวระหว่างนอนหลับเป็นระยะๆ ระหว่างหลับรู้สึกว่าสมองยังคิดและกังวล ไม่อยากตื่นทั้งที่รู้สึกว่านอนมานานแล้ว ความคิดตื้อตันไม่ทันใจ ง่วงนอนระหว่างวัน รู้สึกซึมเศร้าอย่างไม่มีสาเหตุ ปวดหัว และอ่อนเพลียง่าย ตื่นด้วยความงัวเงียไม่แจ่มใส แม้จะอาบน้ำและแปรงฟัน
10 Ways to Sleep Well ใช้ชีวิตเปลี่ยนแนว เพื่อการนอนหลับที่เป็นสุขและหมดทุกข์เรื่องเครียดกังวล กับ 10 คำแนะนำเหล่านี้
1. เข้านอนก่อน 4 ทุ่ม และตื่น 6 โมงเช้า เพราะนี่คือช่วงที่เหมาะสมที่สุดในการพักผ่อนร่างกาย 2. สะสาง วางแผนสิ่งที่กังวลที่จะทำในวันต่อไปให้เรียบร้อยเพื่อลดอาการวิตกจริต และคิดซ้ำซาก 3. บอกกับตัวเองว่าการเครียดกังวล และใช้สมองในช่วงที่ต้องนอนหลับนั้นเปล่าประโยชน์ เนื่องจากสติ สัมปชัญญะ และความอ่อนล้าของร่างกายคืออุปสรรค ดังนั้น นอนหลับให้สนิทแล้วตื่นมาคิดอย่างแจ่มใส ย่อมให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพดีกว่า 4. ถ้าคุณนอนหลับยาก ควรออกกำลังกายในช่วงเย็น หรือ 4-6 ชั่วโมงก่อนนอน แต่อย่าทำใกล้เวลานอน 5. ปรับอุณหภูมิห้องให้เย็นระหว่าง 17-25 องศาเซลเซียส แล้วจะหลับง่ายสบายบอดี้ 6. เสริมเครื่องฟอกอากาศในห้องนอนเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจนที่สมดุล จะนอนหลับลึกได้ต่อเนื่อง 7. ความมืดมิดและไร้เสียง คือเคล็ดลับที่จะทำให้หลับได้สนิทและยาวนาน 8. ดื่มหรือรับประทานอาหารที่มีองค์ประกอบของกรด อะมิโน Tryptophan จากโปรตีน อย่างธัญพืช หรือเครื่องดื่ม Whole Grains ก่อนนอน จะช่วยกระตุ้นให้ร่างกายปล่อยสาร Niacin จากวิตามินบี 5 ทำให้สมองและร่างกายผ่อนคลาย และง่วงนอนง่ายขึ้น 9. สร้างกิจวัตรใหม่ด้วยการเข้านอนและตื่นให้เป็นเวลาเดียวกันทุกวัน ลองทำแค่ 1 อาทิตย์ ติดต่อกัน ร่างกายก็คุ้นเคยแล้ว 10. หลีกเลี่ยงการดื่มชา กาแฟ และช็อกโกแลตระหว่างวัน เพราะกาเฟอีนที่ผสมอยู่จะทำให้ร่างกายตื่นตัว
สมองคืออาวุธที่จะมีประสิทธิภาพที่สุดเมื่อถูกนำมาใช้ในเวลาที่แจ่มใสที่สุด ดังนั้น ถ้าใครยิ่งต้องการความก้าวหน้า และความเฉียบแหลม จึงยิ่งต้องบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นคือการรู้จัก...ใช้เมื่อพร้อมถึงขีดสุด และหยุดดูแลเมื่อเต็มล้า
Create Date : 30 มีนาคม 2552 | | |
Last Update : 30 มีนาคม 2552 7:42:08 น. |
Counter : 338 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
หลีกเลี่ยง 10 นิสัย ทำร้ายสมอง
สมองเป็นอวัยวะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง เปรียบประดุจศูนย์บัญชาการการทำงานของร่างกาย การรู้จักบำรุงดูแลรักษาสมองให้ปฏิบัติงานได้ดี จึงเป็นเรื่องที่ควรทำอย่างสม่ำเสมอ อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งเรากลับมีพฤติกรรมที่ทำร้ายสมองของตัวเองอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ลองมาดูกันว่าอะไรบ้างที่เป็นพฤติกรรมทำร้ายสมอง
1.ไม่ทานอาหารเช้า
นอกจากทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำแล้ว ยังเป็นเหตุให้สารอาหารไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ
2. กินอาหารมากเกินไป
จะทำให้หลอดเลือดแดงในสมองแข็งตัว เป็นเหตุให้เกิดโรคความจำสั้น
3.สูบบุหรี่
เป็นสาเหตุให้สมองฝ่อ และโรคอัลไซเมอร์
4. ทานของหวานมากเกินไป ของหวานจะไปขัดขวางการดูดกลืนโปรตีน และสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นสาเหตุของการขาดสารอาหารและขัดขวางการพัฒนาของสมอง
5. มลภาวะ
สมองเป็นส่วนที่ใช้พลังงานมากที่สุดในร่างกาย การสูดเอาอากาศที่เป็นมลภาวะเข้าไปจะทำให้ออกซิเจนในสมองมีน้อย ส่งผลให้ประสิทธิภาพของสมองลดลง
6. การอดนอน
ถ้าอดนอนเป็นเวลานานจะทำให้เซลล์สมองตายได้
7.นอนคลุมโปง
การนอนแบบนี้จะเพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์ให้มากขึ้น และลดออกซิเจนให้น้อยลงส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของสมองไปในตัว
8.ใช้สมองในขณะที่ไม่สบาย
การทำงานหรือเรียนขณะกำลังป่วย จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลงเหมือนกับการทำร้ายสมองไปในตัว
9.ขาดการใช้ความคิด การคิดเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในการฝึกสมอง การขาดการใช้ความคิดจะทำให้สมองฝ่อ
10.เป็นคนไม่ค่อยพูด ทักษะการพูดเป็นตัวแสดงถึงประสิทธิภาพของสมอง
นิสัยทำร้ายสมองทั้งสิบอย่างนี้คัดมาฝากกันจาก "ต้นคิด" จดหมายข่าวรายเดือนของสำนักงานพัฒนาระบบข้อมูลข่าวสารสุขภาพ เพื่อจะได้ช่วยกันหลีกเลี่ยงพฤติกรรมทำร้ายสมองของตัวเอง ที่มา : ไทยรัฐ
Create Date : 28 มีนาคม 2552 | | |
Last Update : 28 มีนาคม 2552 14:20:30 น. |
Counter : 318 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
วิธีคืนความสดชื่นยามเช้า
ใครที่รู้สึกว่าตื่นนอนตอนเช้าแล้วไม่สดชื่น หรือตื่นแล้ว..แต่ไม่อยากลุกจากที่นอนบ้าง? มีวิธีเรียกความกระฉับกระเฉง คืนความสดชื่นยามเช้ามาฝาก เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมกับการออกไปปฏิบัติภารกิจในแต่ละวัน
1.หลังจากตื่นนอนให้เริ่มต้นด้วยการดื่มน้ำ เพื่อให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น
2.ยืดกล้ามเนื้อ ประมาณ 10 นาที เน้นออกกำลังกายในส่วนที่แต่ละคนต้องใช้งานบ่อย เช่น หนุ่ม-สาวออฟฟิต อาจต้องเน้นบริเวณหัวไหล่ คอ เป็นต้น นอกจากจะเป็นการกระตุ้นร่างกายให้ตื่นแล้ว ยังช่วยให้สมองปลอดโปร่งด้วย (ว่ากันว่าการออกกำลังกายช่วงเช้า จะเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสมองได้มากทีเดียว)
3.มาถึงอาหารมื้อเช้า ซึ่งถือเป็นมื้อสำคัญเพราะมีประโยชน์ต่อร่างกาย ช่วยให้พร้อมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดวัน แต่สำหรับวันที่เร่งรีบแล้วล่ะก็ กล้วย 1 ลูกช่วยได้ ถ้าให้ดีควรเป็นกล้วยน้ำว้า เพราะมีคุณค่าให้ทั้งโปรตีนและวิตามิน ตรงกันข้ามการอดอาหารเช้าจะเป็นการถ่วงสมองให้ตื่นสาย
4.ปิดท้ายด้วยการดื่มน้ำผลไม้ ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดี และเพิ่มความกระชุ่มกระชวย แต่สำหรับใครที่ชอบน้ำสมุนไพร ขอแนะนำเป็นน้ำขิงอุ่น ๆ ให้ความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า และช่วยปรับสมดุลของร่างกาย
หลักปฏิบัติเพียงเท่านี้ ก็ทำให้ร่างกายมีพลังงานในการทำกิจกรรมได้ตลอดวันแล้ว...
Create Date : 27 มีนาคม 2552 | | |
Last Update : 27 มีนาคม 2552 21:10:31 น. |
Counter : 1300 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ดื่มน้ำตอนไหนดีที่สุด
ทราบหรือไม่ว่าการดื่มน้ำก็ต้องมีเวลาที่ดื่มแล้วให้ประโยชน์สูงสุดเหมือนกัน วันนี้เดลินิวส์ออนไลน์มีเรื่องนี้มาฝาก...
ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ
ตอนสายๆ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทำงานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชำระของเสียเหล่านั้นออกไป
ตอนบ่ายๆ 3 แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง)
ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม)
ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น
การดื่มน้ำเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย และก็ควรดื่มให้ได้อย่างน้อย วันละ 8-10 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดี
ที่มา: เดลินิวส์
Create Date : 26 มีนาคม 2552 | | |
Last Update : 26 มีนาคม 2552 9:36:48 น. |
Counter : 485 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|