Group Blog
 
All blogs
 

เคล็ดลับการดูแลเท้า

- หลังจากสวมรองเท้าส้นสูง เดินไปทำงานทั้งวัน ควรแช่เท้าด้วยน้ำร้อนที่พอทนได้ ให้ระดับน้ำสูงถึงครึ่งน่อง ใช้เวลาช่วงเย็นนาน 10-15 นาที

- ออกกำลังกาย ด้วยการพยายามพยุงอุ้งเท้า ยืนเท้าสะเอว วางเท้าห่างกันประมาณ 4 นิ้ว งอนิ้วเท้าเข้าด้านใน ทิ้งน้ำหนักของร่างกายลงด้านหน้าของเท้า งอเข้าเล็กน้อย แล้วกลับเดินเข้าท่าปกติ

- การดูแลรักษาเท้าเป็นประจำ ภายหลังที่ใช้เท้าเดินไปไหนมาไหนตลอดทั้งวัน มิใช่ทำในช่วงเวลาที่เกิดเท้าแพลงเดินไม่ได้

- ควรแช่เท้าในน้ำอุ่น ที่เหยาะน้ำหอมไว้สักครู่

- ตีฟองสบู่หรือทาโลชั่นลงบนฝ่ามือ ถูตามผิวเท้าอย่างเบามือ กระตุ้นโลหิตให้หมุนเวียนได้ทั่วถึงทุกนิ้วเท้า

- การออกกำลังกายเป็นการถนอมฝ่าเท้าดีที่สุด ถ้าเป็นไปได้ควรทำเป็นประจำ เช่น เดินเล่นบนดินหรือพื้นทราย

- อยู่บ้านเดินเท้าเปล่า เวลาขึ้นลงบันใดเขย่งปลายเท้า ขึ้นลงวันละ 20 ครั้ง ทุกวัน นอกจากบริหารเท้าด้วยวิธีง่าย ๆ แล้วก็ควรเปลี่ยนรองเท้าให้เหมาะสมกับเท้า

- ควรให้การดูแลเอาใจใส่ และทะนุถนอมเท้าบ้าง อย่าใช้เท้าทำงานหนักเกินไป

- วิ่งหรือจ๊อกกิ้ง ออกกำลังตามถนนสาธารณะในตอนเช้าหรือตอนเย็น ต้องมีหูตาไว เมื่อวิ่งบนถนนใหญ่ ให้พยายามวิ่งสวนทางกับทางรถวิ่ง เพราะสามารถมองเห็นรถที่

ที่มา sanook.com




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 25 กรกฎาคม 2552 17:51:44 น.
Counter : 324 Pageviews.  

เรื่องไข่ๆ กินแค่ไหนถึงจะพอดี

น้อยกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ไม่เพียงพอ

การไม่ทานไข่อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้นะ ไข่ฟองเล็กๆ หนึ่งฟอง มีปริมาณวิตามินบี 12 ซึ่งดีต่อร่างกายมากกว่าปริมาณมาตรฐานที่แนะนำ ให้บริโภคต่อวันเสียอีก "วิตามินบี 12 จำเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใยประสาท" อะแมนดา เออร์เซลล์ นักโภชนาการและผู้เขียนหนังสือ Complete Guide to Healing Foods กล่าว "ถ้าขาดวิตามิน เส้นใยประสาทอาจถูกทำลายจนฟื้นฟูกลับคืนมาไม่ได้"

นอกจากนี้ไข่ยังดีต่อสายตาคุณโดยเมื่อไม่นานมานี้มีผลการศึกษาจากอเมริกาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Nutrition ได้ค้นพบว่า การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เพราะสารลูทีนและซีแซนทีนซึ่งเป็นสารรงควัตถุในตระกูลแคโรทีนอยด์ ในไข่แดงจะช่วยบำรุงจอประสาทตานั่นเอง


6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี

ไข่เจียวถือเป็นยาบำรุงร่างกายได้เลย เพราะนอกจากไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดีแล้ว ยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณสารซีลีเนียมและวิตามินอี ในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจ ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้คุณมีหุ่นกลมเป็นไข่อีกด้วย ผลวิจัยจากมหาวิทยาลัยหลุยส์เซียนาสเตท พบว่า คนที่ทานมื้อเช้าโดยมีไข่เป็นส่วนประกอบ จะลดน้ำหนักได้มากกว่าคนที่ไม่ทานไข่ในมื้อเช้าได้ถึง 65 เปอร์เซ็นต์ เมื่อบริโภคแคลอรี่ในปริมาณที่เท่ากัน

"โปรตีนในไข่จะทำให้คุณรู้สึกอิ่มขึ้น ถึง 50 เปอร์เซนต์ และยังทำให้คุณลดปริมาณมื้อเที่ยงที่ทานโดยเฉลี่ยได้อีก 164 แคลอรี่" นิคิล ดูเรนดาร์ ผู้เขียนงานวิจัยกล่าว แต่ถ้าคุณอยากสร้างกล้ามเนื้อก็ไม่ต้องกังวล เพราะงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม พบว่า การทานไข่วันละ 3 ฟอง เป็นเวลา 2 วัน ต่อสัปดาห์จะช่วยหนุ่มนักเล่นเวตทั้งหลายสร้างกล้ามเนื้อที่ปราศจากไขมันได้เป็น 2 เท่าในช่วงเวลา 12 สัปดาห์ แล้วเรื่องคอเลสเตอรอลที่เล่าลือกันล่ะ "จริงค่ะ ไข่มีคอเรสเตอรอล" พาเมลา ไดสัน นักโภชนาการแห่งสมาคมโภชนาการประจำสหราชอาณาจักร กล่าว

"แต่จัดว่ามีผลน้อยมากต่อการเพิ่มระดับ คอลเรสเตอรอลในเลือด เมื่อเทียบกับปริมาณไขมันอิ่มตัวที่คุณบริโภคอยู่ทุกวัน" นอกจากนี้ผลการวิจัยเมื่อไม่นานมานี้ ของมหาวิทยาลัยคอนเนติคัตยัง พบว่า การทานไข่ช่วยลดคอเรสเตอรอล LDL (ไม่ดี) เพิ่มคอเรสเตอรอล HDL (ดี) และลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมองได้


6 ฟองต่อสัปดาห์ ..... ปริมาณที่พอดี

ตามรายงานที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Clinical Nutrution ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้านได้เหมือนกัน ถ้าคุณทานมากกว่า 1 ฟองต่อวัน ติดกัน ทุกวัน "ขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ทำให้มีอันตรายถึงชีวิต ในทางตรงกันข้ามการทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซนต์" ดร.ไมเคิล กาเซียโน แห่งคณะแพทยศาสตร์ของฮาร์วาร์ด ซึ่งเป็นผู้เขียนรายงานการวิจัย กล่าวว่า ที่สำคัญคือ สำหรับหนุ่มที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไข่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้ ดังนั้นคำพูดที่ว่าทานไข่วันละฟองอาจทำให้คุณไม่ป่วยไข้และห่างไกลหมอ ข้อนี้เฉพาะในกรณีที่คุณตรวจสุขภาพเป็นประจำ และร่างกายแข็งแรงอยู่แล้วเท่านั้น


ขอบคุณที่มา : นิตยสาร Men's Health




 

Create Date : 22 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 25 กรกฎาคม 2552 2:09:13 น.
Counter : 276 Pageviews.  

วิธีไล่ยุง มด แบบปลอดภัย ไร้กังวล

ไม่ว่าจะเป็นโรคชิคุนกุนยาไข้เลือดออก มาลาเรียหรืออีกหลายๆ โรค ล้วนมีสาเหตุมาจากยุง ยิ่งหน้าฝนที่น้ำขังอย่างนี้ยุงยิ่งเยอะ ลำพังยุงก็ปวดใจจะแย่ บางบ้านยังมีมดที่หนีน้ำขึ้นมาสมทบ ฉบับนี้เราจึงนำวิธีแบบธรรมชาติไว้ไล่ยุงและมดมาบอก และด้วยความเป็นธรรมชาติจึงไม่เป็นภัยกับคนในบ้าน และยังไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม เรียกได้ว่าปลอดภัยไร้กังวลจริงๆ ค่ะ

4 ของในครัวไล่ยุงร้าย

กระเทียม

นำกระเทียมตำให้พอบุบ ผสมกับน้ำแล้วทาลงบนจุดชีพจรต่างๆ ในร่างกายและบนใบหน้าจะช่วยให้ยุงไม่เข้าใกล้อีก แต่ระวังอย่าให้เขาตาและไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบกลิ่นกระเทียม เพราะอาจจะมีกลิ่นค่อนข้างฉุน

น้ำมันมะกอก

นำน้ำมันหอมระเหยที่มีกลิ่นลาเวนเดอร์ ยูคาลิปตัส มะนาว ตะไคร้ ทีทรีไธม์ และ เปปเปอร์มินต์ หยดลงในน้ำมันมะกอก 2-3 หยด แล้วทาลงบนผิวจะช่วยให้ยุ่งไม่เข้าใกล้ แถมยังมีกลิ่นหอม ช่วยผ่อนคลายความเครียดอีกด้วย

วานิลา

นำผงวานิลาผสมกับน้ำเล็กน้อย แล้วทาลงบริเวณจุดชีพจรบนผิวหนัง หรืออาจจะแต้มลงบนเสื้อผ้า เมื่อยุงได้กลิ่นจะไม่กล้าเข้าใกล้

ตะไคร้

นำตะไคร้มาตำให้แหลก ผสมน้ำเล็กน้อย แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปเคี่ยวจนเป็นน้ำมัน แล้วมาทาลงบนผิว ช่วยป้องกันยุงได้อย่างดี

4 วิธีไล่มดตัวจิ๋วจอมป่วน

คุณแม่บ้านทั้งหลายคงคำราญกับการก่อกวนของเจ้าพวกมดตัวน้อยตัวนิด ที่เวลาวางกับข้าวหรือน้ำหวานเพียงไม่กี่นาทีก็เดินขบวนยาวสามัคคีกันมาเป็นแถว หากจะกำจัดปัญหาปวดหัวนี้ แค่ใช้วิธีง่ายๆ ด้วยการหาของใช้ในบ้านเรานี่แหละมาปราบเจ้ามดกัน

วิธีที่ 1 นำน้ำส้มสายชูผสมน้ำ แล้วเช็ดตามทางเดินมด จะทำให้มดไม่กลับมาเดินอีก และยังช่วยไล่แมลงสาบได้อีกด้วย

วิธีที่ 2 ใช้ผงฟูโรยตามทางเดิน หรือใช้ฟองน้ำเปียกๆ เช็ดตามทางเดินมด จะทำให้มดหาทางเดินไม่เจอ ไม่เดินกลับมาที่อาหารได้อีก

วิธีที่ 3 โรย พริกป่น กากกาแฟ สะระแหน่แห้ง ตามทางที่มดเดิน จะทำให้มดสับสนหาทางเดินไม่ได้

วิธีที่ 4 นำมะนาวบีบลงไปในรูมด แล้วทิ้งเปลือกมะนาวไว้ตรงนั้นจะทำให้มดไม่กลับมาอีก

เห็นไหมคะ เพียงแค่เดินเข้าครัวก็หาสิ่งของป้องกันเจ้ายุงร้ายกับมดตัวจี๊ดได้ไม่ยาก โดยที่ไม่ต้องไปหาซื้อลิ้นเปลืองและยังปลอดภัยไม่มีสารพิษตกค้างให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพคนในบ้านด้วยค่ะ

ที่มา นิตยสารสุขภาพดี




 

Create Date : 20 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 25 กรกฎาคม 2552 17:52:14 น.
Counter : 568 Pageviews.  

ออกกำลังกายตามอารมณ์

อย่าปล่อยให้อารมณ์ของคุณ-ไม่ว่าดีหรือร้าย มาบ่อนทำลายการออกกำลังกายของคุณ

ไม่ว่าคุณจะชอบออกกำลังกายแค่ไหน มันอาจจะยากที่จะลุกไปเข้าคลาสแอโรบิก ขณะที่มีเรื่องวุ่นๆ ในที่ทำงาน หรือแม่ของคุณกำลังป่วย แต่การศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าแม้กระทั่งการออกกำลังกายแบบเบาๆ ก็สามารถทำให้อารมณ์ของคุณดีขึ้นได้

"คนจำนวนมากงดการออกกำลังกายในเวลาอารมณ์ไม่ค่อยดี เพราะไม่มีกำลังใจพอ" ผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายและสุขภาพจิต ดร.แจ็ค แรคลิน แห่งมหาวิทยาลัยอินเดียน่าบอก "เคล็ดลับอยู่ที่การหาการออกกำลังกายที่เหมาะกับอารมณ์ของคุณในช่วงนั้นๆ"

ต่อไปนี้คือคำแนะนำในการรักษาการออกกำลังกายเอาไว้ให้ได้ ไม่ว่าภาวะจิตใจของคุณจะเป็นอย่างไรก็ตาม

เวลาที่คุณโกรธ

ถึงแม้คุณอาจจะอยากระบายออก แต่งดการออกกำลังอย่างเช่น คิกบ๊อกซิ่งเอาไว้จะดีกว่า เพราะคุณไม่อาจปลดปล่อยความโกรธออกจากตัวได้ด้วยการชกต่อย ลองทำอะไรบางอย่างที่ต้องใช้สมาธิ และทำให้คุณเลิกใส่ใจในสิ่งที่ทำให้คุณโกรธแทน เช่น เข้าคลาสแอโรบิกที่คุณไม่เคยลองมาก่อน การเรียนรู้ท่าเต้นใหม่ๆ จะเบี่ยงเบนจิตใจคุณไปจากสิ่งที่ทำให้คุณโกรธได้

เวลาที่คุณซึมเศร้า

การศึกษาแสดงให้เห็นว่าการออกกำลังกายแบบเบาๆ ราว 40 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการเต้นของหัวใจ จะทำให้อารมณ์คุณสดชื่นแจ่มใสขึ้นได้ ฉะนั้น ถ้าคุณไม่อยากทำอะไรที่ต้องใช้พลังงานเยอะๆ ลองทำกิจกรรมเพลินๆ ที่คุณชอบ เช่น ปลูกต้นไม้ หรือไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ เพื่อผ่อนคลายจิตใจ และยังได้ออกกำลังกายด้วย

เวลาที่คุณรู้สึกเบื่อ

การอยู่กับคนอื่นเป็นวิธีที่ง่ายและรวดเร็วในการเอาชนะความเบื่อ การเล่นกีฬากับคนอื่นยิ่งดีกว่า เช่น เล่นเทนนิสหรือกอล์ฟ หรือเข้าร่วมกลุ่มคนที่เดิน หรือขี่จักรยานเป็นประจำ การได้อยู่กลางแจ้งกับคนอื่นทำให้กระตือรือร้นและทำให้คุณไม่เบื่อ

เวลาที่คุณเครียด

เมื่อสมองเต็มตื้อและวิตกกังวล คุณจำต้องเปลี่ยนไปสู่กิจกรรมที่ไม่ต้องใช้ความคิด เพื่อทำให้มันสงบลง การทำอะไรซ้ำๆ อย่างเช่น ว่ายน้ำ หรือเดินบนลู่ไฟฟ้าแทบไม่ต้องใช้ความคิด มันจึงมีประสิทธิภาพอย่างมากในการลดความรู้สึกเครียด และเพิ่มความสงบ

เวลาที่คุณมีความสุข

อารมณ์อิ่มสุขอาจทำให้การออกกำลังกายเป๋ได้ง่ายพอๆ กับความเศร้า ลองใช้ประโยชน์จากอารมณ์แจ่มใสของคุณ ในการออกไปข้างนอกและท้าทายตัวเองให้มากขึ้น ดูสิคุณสามารถวิ่งได้ไกลกว่าเดิมมั้ย หรือยกน้ำหนักเพิ่มขึ้นอีกเซ็ตได้หรือเปล่า ใช้พลังงานที่มีเพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกดีกว่าเดิม


ที่มา Lisa




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 19 กรกฎาคม 2552 22:04:37 น.
Counter : 328 Pageviews.  

ดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง ดีอย่างไร?

การดื่มน้ำเมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะเพื่อรักษาสุขภาพที่ดี ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้เป็นที่นิยมการดื่มน้ำทันทีหลังตื่นนอนตอนเช้า (ก่อนแปรงฟัน) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี

มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่า น้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคได้ เราสามารถใช้น้ำเพื่อบำบัดรักษาโรคได้หลายโรค มีการพิสูจน์จนยอมรับว่าสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล 100% (ค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็วโรคลมบ้าหมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไต และยูริก โรคแสลงคลื่นไส้ต่างๆโรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวง โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง และรอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก

วิธีการรักษาปฏิบัติดังนี้

1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี)

2. หลังจากนั้นสามารถแปรงฟันและล้างหน้าได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือรับประทานอะไรจนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ

3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว


ที่มา sanook.com




 

Create Date : 15 กรกฎาคม 2552    
Last Update : 16 กรกฎาคม 2552 15:39:05 น.
Counter : 386 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  

icy_cute
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







CO.CC:Free Domain
Friends' blogs
[Add icy_cute's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.