Group Blog
 
All blogs
 

6 เคล็บลับก่อนอาบน้ำ

1.หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัด หรืออาบน้ำอุ่นนานๆ แต่ถ้าเลี่ยงไม่ได้ หลังอาบน้ำให้กระชับผิวด้วยน้ำเย็นหรือน้ำอุณหภูมิห้องเพื่อกระชับรูขุมขน

2.การอาบน้ำอุ่นก่อนนอนจะช่วยให้คุณสาวๆ หลับสบายมากขึ้น

3.ไม่ควรอาบน้ำหลังรับประทานอาหารเลยทันทีเพราะจะทำให้ไม่สบายท้อง

4.ก่อนอาบน้ำลองจุดเทียนหอมกลิ่นโปรด และอาบน้ำอย่างละเมียดละไม แช่น้ำอุ่นสัก 15 นาที จะช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดประจำวันได้

5.ถ้าอาบน้ำด้วยฝักบัว ควรอาบน้ำเย็นรดตัวเป็นครั้งสุดท้าย คุณจะรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที เพราะระบบหมุนเวียนโลหิต จะถูกกระตุ้นให้ทำงานอย่างรวดเร็ว

6.หลังเช็ดตัวควรทาโลชั่นทันที เพื่อเก็บกักความชุ่มชื่นของผิวเอาไว้

เพียง 6 เทคนิคง่ายๆนี้ก็สามารถช่วยให้คุณสดชื่น คลายเครียด และแลดูอ่อนกว่าวัยได้แล้ว

ที่มา sanook.com




 

Create Date : 21 มิถุนายน 2552    
Last Update : 28 มิถุนายน 2552 2:48:27 น.
Counter : 374 Pageviews.  

กิน วิตามิน อย่างไรจะไม่เกิดโทษ

ปัญหาที่หลาย ๆ คนเกิดคำถามขึ้นในใจว่ากินวิตามินไปแล้วได้ประโยชน์อะไรบ้าง ทำไมใคร ๆ เขาจึงหันมากินกัน แล้วกินอย่างไรจึงจะดี เอาเป็นว่าวิตามินนั้นเป็นของจำเป็น หากได้จากอาหารไม่พอก็ต้องหามากินเสริม แต่ถ้าบริโภคมากเกินไปจะเป็นอันตรายไหม? วันนี้เรามีคำตอบค่ะ

- วิตามินเอ กินมากไปจะทำอันตรายกับตับ ผมร่วง ภาพที่มองเห็นเลอะเลือน และมีอาการปวดศีรษะ

- วิตามินบี ที่กินเกินการจะทำให้เกิดอาการชาที่ปาก ลิ้น และมือ หรือเดินไม่สะดวก

- วิตามินซี เคยเชื่อกันว่าถ้ากินมากไปจะเป็นสาเหตุของนิ่วในไต เดี๋ยวนี้ก็ทราบแล้วว่าไม่ใช่ เพียงแต่ทำให้เกิดอาการปวดท้อง และท้องเสียอย่างแรงเท่านั้น

- วิตามินดี ที่กินเกินพอดีจะมีผลต่อแคลเซียมในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อ เยื่อบุหัวใจ การแอบแดดจะไม่ทำให้วิตามินดีมีมากเกินต้องการ

- ธาตุเหล็ก กินนาน และมากเกินไป เช่น ผู้ที่ต้องการจะเพิ่มเม็ดโลหิตในเลือด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุและสตรีหมดประจำเดือน ทำให้เกิดการสกัดกั้นการแทรกซึมของธาตุสังกะสี ซึ่งเป็นธาตุที่ทำให้แผลประสานเร็ว และภูมิป้องกันอื่น ๆ

- ซุปสกัดบางชนิดราคาแพงลิบลิ่ว หากฟังโฆษณาจะดูมีประโยชน์มาก แต่ในความเป็นจริงแล้ว ซุปสกัด มีประโยชน์ต่ำกว่าราคา เพราะส่วนใหญ่กินเพื่อ "จิตวิทยา" มากกว่า

วิตามินอาจช่วยในการลดไขมันในเลือด ถ้าปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์ แต่ถ้าหมอไม่สั่ง กินเองมากไปจะเป็นอันตรายกับตับ

ของอย่างนี้ถ้า "เชื่อ" เสียอย่างและมีสตางค์ซื้อกินก็ไม่มีอะไรเดือดร้อน ความจริงเมืองไทยเรานั้นแสนจะอุดมสมบูรณ์เลือกกินได้สารพัดทั้งยังเป็นธรรมชาติได้เคี้ยว ได้กลืน ได้ย่อย จะดีและมีความสุขกว่ากินอาหารเป็นเม็ดคุณว่าไหม

ที่มา sanook.com




 

Create Date : 20 มิถุนายน 2552    
Last Update : 21 มิถุนายน 2552 18:16:52 น.
Counter : 525 Pageviews.  

10 ปัญหาคาใจเกี่ยวกับการนอน

1. ทำไมการนอนจึงสำคัญ
การนอนทำให้กล้ามเนื้อและอวัยวะทุกส่วนได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ พร้อมสำหรับการทำงานในวันต่อไป เมื่อนอนน้อยอาจส่งผลให้ทำงานผิดพลาด ทำงานได้น้อยลง คุณภาพงานต่ำกว่าปกติ และมีงานวิจัยในต่างประเทศ พบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 4 ชม. หรือนอนมากกว่า 10 ชม. ต่อคืน เป็นประจำ อาจมีอายุสั้นกว่าคนที่นอนหลับปกติ คนที่นอนไม่เพียงพอนานๆ อาจเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจขาดเลือด โรคหลอดเลือดเมื่ออายุมากขึ้น และการนอนระหว่าง 21. 00-22.00 น. จะได้ประโยชน์มากที่สุด เพราะโกร๊ธ ฮอร์โมน ( growth homone) หลั่งออกมาอย่างเต็มที่ในช่วง 22.00-24.00 น. ช่วยซ่อมสร้างเซลล์ในร่างกาย และควรนอนให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ต่อวัน

2. นอนหลับท่าไหนดีที่สุด
การนอนมีความสัมพันธ์กับกระดูกสันหลัง เพราะหากนอนผิดท่า เช่น นอนงอตัวหรือนอนบิดตัว ติดต่อกันหลายๆ ปี อาจทำให้กระดูกสันหลังเลื่อนออกนอกแนวระนาบ ผิดรูป หรือคดงอได้ ท่านอน เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นอนหลับสนิท ตื่นนอนอย่างสดชื่นและไม่ปวดเมื่อย
- นอนหงาย ควรใช้หมอนหนุนหัวแบบต่ำเพื่อให้ต้นคออยู่แนวเดียวกับลำตัว ป้องกันการปวดคอจากนอนคอพับหรือนอนเงยคอมากเกินไป แต่ท่านี้ไม่เหมาะกับผู้ป่วยโรคปอดและโรคหัวใจ เพราะกล้ามเนื้อกระบังลมจะกดทับปอดทำให้หายใจไม่สะดวก หัวใจทำงานลำบากขึ้น การนอนหงาย ยังอาจทำให้ผู้มีอาการปวดหลังมีอาการรุนแรงขึ้นด้วย

- นอนตะแคง การนอนตะแคงขวาช่วยให้หัวใจทำงานสะดวก และอาหารที่ค้างในกระเพาะจะถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ช่วยลดอาการปวดหลังได้ทางหนึ่ง แต่การนอนตะแคงซ้ายอาจทำให้เสียดลิ้นปี่ เพราะอาหารย่อยไม่หมดและค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร หญิงตั้งครรภ์ควรนอนตะแคงเพื่อไม่ให้มดลูกไปกดทับกระดูกสันหลังและเส้นเลือดแดงใหญ่กลางลำตัว

- นอนคว่ำหน้า อาจทำให้หายใจติดขัดและปวดต้นคอ เพราะคอแอ่นมาทางด้านหลังหรือบิดไปด้านใดด้านหนึ่งเป็นเวลานานๆ ถ้าต้องนอนคว่ำหน้าควรใช้หมอนรองใต้หน้าอกเพื่อไม่ให้ปวดเมื่อยต้นคอ

3. เลือกซื้อที่นอนอย่างไรดี
ที่นอนควรมีขนาดกลางๆ ไม่นิ่ม หรือแน่นเกินไป (แต่ถ้าต้องเลือกระหว่างที่นอนนิ่ม กับที่นอนแน่น ควรเลือกที่นอนแน่น เพราะที่นอนนิ่มจะทำให้ปวดหลังได้มากกว่า) แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับโครงสร้างและสรีระของแต่ละบุคคล ถ้าคุณลองนอนดูแล้วไม่เกิดอาการปวดหลังก็ถือว่าใช้ได้ และควรเลือกที่นอนที่ยาวกว่าความสูงของตัวเองอย่างน้อย 15 ซม. และพิจารณาสิ่งสำคัญต่อไปนี้ด้วย

- ความแน่นของที่นอน (Firmmess) ขึ้นอยู่กับความชอบและรูปร่างของผู้นอน เช่น คนที่รูปร่างใหญ่ จะเหมาะกับที่นอนแน่นเป็นพิเศษ

- ชั้นโอบรับ (Conformity) คือมีส่วนที่สัมผัสและโอบรับกับร่างกายอย่างเหมาะสม เข้ากับส่วนโค้งเว้าได้ดี จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและนอนหลับสบายขึ้น

- ความแข็งของที่นอน (Edge Support) คือ ความสามารถในการรับน้ำหนัก โดยเฉพาะช่วงขอบของที่นอน ป้องกันการยุบตัว และไม่เกิดการลื่นไหลเวลานั่งขณะขึ้นหรือลงจากที่นอน

เมื่อใช้ที่นอนนานเกิน 6 เดือน ควรกลับที่นอนอีกด้านหนึ่งขึ้นมาใช้ เพื่อไม่ให้ที่นอนถูกใช้งานเพียงด้านเดียว เพราะทำให้ที่นอนเสื่อมสภาพเร็ว และควรกลับด้านหัวนอนและปลายเท้าสลับกันด้วย เพื่อใช้งานอย่างทั่วถึงทั้งสี่ด้าน

4. หมอนแบบไหนดีที่สุด
การหนุนหมอนที่ไม่มีคุณภาพนานๆ อาจทำให้กระดูกต้นคอ กดทับหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง หรือเกิดเป็นลิ่มเลือดอุดตัน หากลิ่มเลือดขึ้นสมองอาจกลายเป็นอัมพฤกษ์หรืออัมพาตได้ คุณจึงควรสังเกตอยู่เสมอว่ามีอาการปวดช่วงต้นคอหลังจากตื่นนอนด้วยหรือไม่ หมอนที่ดีควรนอนแล้วรับกับกระดูกต้นคอได้พอดี เสมอเป็นระนาบเดียวกับลำตัว นอนแล้วคอไม่แหงนหรือพับ วัสดุที่ใช้ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน

- ใยสังเคราะห์ มีทั้งแบบนุ่มฟูและแน่นขึ้นอยู่กับความชอบ ข้อดีคือมีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนตามรูปศีรษะ คืนรูปและระบายอากาศได้ดี ข้อจำกัด คือ เสื่อมสภาพเร็ว อายุใช้งานไม่คงทน

- โฟมลาเทกซ์ แข็งและแน่นมากกว่าหมอนประเภทอื่นๆ ข้อดีคือ คงทน อายุการใช้งานนาน ข้อจำกัดคือ การระบายอากาศไม่ดี หากเลือกขนาดไม่เหมาะกับศีรษะอาจนอนแล้วปวดคอได้

- ยางพารา มีทั้งแบบแข็งและแบบนิ่ม ข้อดีคือ คงทน อายุการใช้งานนาน ข้อจำกัดคือ การระบายอากาศไม่ดี

- ขนเป็ด มีความนุ่มฟูเป็นพิเศษ เหมาะกับผู้ที่ชอบหมอนนุ่มมากๆ มีข้อจำกัด เรื่องการทำความสะอาด (ซักไม่ได้) และราคาค่อนข้างสูง

- นุ่น เป็นวัสดุที่ดีในการทำเครื่องนอน เพราะสามารถปรับให้รับกับสรีระของผู้นอนได้ และราคาไม่แพง แต่มีข้อจำกัด คือ การทำความสะอาดยากและอาจมีเศษนุ่นหลุดเป็นละออง ออกมาจึงไม่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้

5. เราจำเป็นต้องมีหมอนหนุนของตนเองหรือเปล่า
ควร เพราะสรีระแต่ละคนแตกต่างกัน ขนาดของหมอนที่เหมาะกับแต่ละคนจึงต่างกันไปด้วย การเลือกหมอนต้องดูความเหมาะสมกับร่างกาย เช่น ผู้ที่รูปร่างใหญ่ หรือนอนกรน ควรใช้หมอนที่สูง เพื่อให้คออยู่ระนาบเดียวกับลำตัวพอดี ทำให้รู้สึกไม่อึดอัด และลดการนอนกรน หากเป็นคนตัวเล็กอาจหนุนหมอนต่ำลงมาหน่อยเพื่อรักษาแนวระนาบของลำตัว

สำหรับรูปทรงของหมอนขึ้นอยู่กับท่านอนของแต่ละคน ควรเลือกหมอนที่มีขนาดใหญ่พอสมควร และมีส่วนกว้างออกมาถึงช่วงไหล่ เวลาพลิกตัวจะได้ไม่ตกหมอน หมอนที่มีส่วนเว้าโค้ง ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับกับต้นคอ จะเหมาะกับท่านอนหงาย หากนำมาใช้นอนตะแคงอาจปวดต้นคอ และลองนอนหนุนหมอนทุกครั้งก่อนซื้อ เพื่อทดสอบความพอดีกับต้นคอ ความสูง ความนิ่ม ว่าเหมาะสมกับตัวเองมากน้อยเพียงใด

นอกจากนี้ ยังมีหมอนเพื่อรองรับการใช้งานรูปแบบอื่นๆ เช่น หมอนรองเอว หมอนรองขา หมอนรองคอ หมอนข้าง ผู้ที่มีปัญหาเวลานอนแล้วปวดขา ปวดเอว อาจซื้อหมอนประเภทนี้มารองเพื่อให้รู้สึกนอนสบายยิ่งขึ้นก็ได้

6. หมอนสุขภาพจำเป็นไหม
หมอนสุขภาพมีการผลิตจากวัสดุหลายประเภท เช่น โฟมลาเทกซ์ หรือยางพารา ฯลฯ ซึ่งอาจผลิตให้โค้งเว้าเพื่อรองรับกระดูกต้นคอให้ได้ระนาบเวลานอนมากขึ้น ซึ่งมีข้อดีคือรองรับต้นคอได้พอดีเมื่อนอนหงาย แต่อาจไม่เหมาะกับผู้ที่ชอบนอนตะแคงเพราะจะคอเอียงและปวดคอได้

ส่วนหมอนที่ผลิตจากเปลือกไม้หรือเปลือกเมล็ดพืช เป็นหมอนที่ผลิตเพื่อรองรับและให้เข้ารูปกับศีรษะและต้นคอของผู้นอนแต่ละคน ซึ่งหลายคนที่เคยทดลองใช้ให้ความเห็นว่านอนหลับสบายขึ้น แต่มีข้อจำกัดคือราคาแพง และต้องผึ่งแดดบ่อยๆ เพื่อป้องกันความชื้นและแมลง

7. จะรู้ได้อย่างไรว่าควรเปลี่ยนเครื่องนอนชุดใหม่แล้ว
อายุของที่นอน/หมอนไม่ควรเกิน 15 ปี ถ้าเกินกว่านี้ก็ต้องสังเกตว่าคุณปวดหลัง ปวดตัว ทุกครั้งที่ตื่นนอน หรือที่นอนยุบลงไปเป็นแอ่งหรือเปล่า ทั้งที่คุณกลับด้านหน้า ด้านหลังมาใช้แล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นคุณควรเปลี่ยนที่นอนหลังใหม่ เช่นเดียวกับหมอน ถ้านอนแล้วไม่รู้สึกสบายรู้สึกปวดคอ ก็ควรเปลี่ยนได้แล้วค่ะ

8. การนอนกับพื้นดีกว่านอนบนที่นอนจริงไหม
การนอนกับพื้นแข็งมากๆ ทำให้เกิดการกดทับเป็นเวลานาน ระบบเลือดไหลเวียนลำบาก ทำให้เมื่อย และอาจเกิดอาการชาได้ การนอนพื้นจึงควรปูที่นอนบุนวมนิดหน่อย เพื่อกระจายแรงกดทับของหลังกับพื้นโดยตรง แต่ทั้งนี้การนอนพื้นก็ไม่มีผลกระทบร้ายแรงแต่อย่างใด ถ้าคุณนอนแล้วไม่เกิดอาการปวด หรือเมื่อยหลังก็สามารถนอนได้ค่ะ

9. เครื่องนอนเคลือบสารป้องกันไรฝุ่นเชื่อได้แค่ไหน
ไรฝุ่น (dust mite) เป็นสัตว์ประเภท "แมง" กินเศษผิวหนังและรังแคเป็นอาหาร ไรฝุ่นจึงพบมากที่สุดในห้องนอน และเครื่องนอนต่างๆ 10% ของน้ำหนักหมอนที่เราใช้นาน 2 ปีขึ้นไป มาจากตัวไรฝุ่นและอึของมัน เช่นเดียวกับที่นอนที่ใช้นาน 6 เดือนก็อาจมีไรฝุ่นมากพอที่ทำให้คนเป็นภูมิแพ้เกิดอาการได้

ที่นอน ที่ทำจากใยสังเคราะห์ ฟองน้ำ ใยมะพร้าว หรือยางพารา เมื่อใช้ไประยะหนึ่งก็เกิดไรฝุ่นได้ ที่นอนที่ไม่มีไรฝุ่น คือ ที่นอนน้ำ (water bed) ส่วนหมอน ควรเลี่ยงชนิดที่ทำจากขนสัตว์ ฟองน้ำ นุ่น แต่ถ้าต้องการใช้ควรหุ้มด้วยผ้ากันไรฝุ่นอีกชั้นก่อนใส่ปลอกหมอนธรรมดา

เครื่องนอนเคลือบสารกันไรฝุ่นอาจช่วยป้องกันคุณให้ปลอดภัยจากไรฝุ่นได้ในระดับหนึ่ง สังเกตได้จากคำว่า Microban Allergy Control หรือ Scot guard ควรเลือกปลอกหมอน ผ้าปูที่นอนกันไรฝุ่น ที่ทำจากผ้าเนื้อแน่น ทอละเอียด ปูทับก่อนปูผ้า หรือปลอกหมอนธรรมดา หากเป็นผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ควรซักผ้าด้วยน้ำอุ่น เพื่อฆ่าไรฝุ่นด้วย แต่ถ้าไม่ได้ใช้ผ้าปูที่นอน หรือปลอกหมอนกันไรฝุ่น ควรทำความสะอาดที่นอนเป็นประจำทุกเดือน ซักผ้าด้วยน้ำร้อน 60 องศาเซลเซียส ทุก 1-2 สัปดาห์

10. เราควรเลือกปลอกหมอนและผ้าปูที่นอนอย่างไร
ผ้าปูที่นอนและปลอกหมอนเป็นส่วนที่สัมผัสกับร่างกายโดยตรง เนื้อผ้าที่ใช้ควรเป็นผ้านิ่ม เพราะผ้าที่แข็งเกินไปอาจทำให้เกิดรอยยับ หากรอยยับนั้นมากดบนผิวหน้าหรือร่างกายบ่อยครั้งอาจเกิดปัญหาตามมาได้ การเลือกจึงควรเลือกผ้าที่จับแล้วสบายมือพอสมควร ไม่หลุดเป็นขุย เนื้อผ้าที่นิยมใช้ทำเครื่องนอนได้แก่ ผ้า Cotton หรือผ้าฝ้าย ควรเลือกที่เป็น cotton 100% เพราะเนื้อผ้าจะนิ่ม ไม่ระคายผิว ผ้า Cotton satin เป็นผ้าที่ผสมระหว่างผ้าฝ้ายและผ้าไหม เนื้อผ้าจึงนิ่มและลื่นกว่าผ้า Cotton ซึ่งราคาก็สูงกว่าตามไปด้วย

พึงระลึกเสมอว่าของดีราคาถูกไม่มีและควรลงทุนกับเรื่องของสุขภาพให้มากๆ เพื่อที่เราจะได้มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง และให้การนอนเป็นการพักผ่อนที่มีความสุขอย่างแท้จริง

ที่มา sanook.com




 

Create Date : 19 มิถุนายน 2552    
Last Update : 23 มิถุนายน 2552 3:02:46 น.
Counter : 289 Pageviews.  

5 เหตุผลดีๆ ที่คุณควรออกกำลัง

การออกกำลังทำให้ชีวิตของเราดีขึ้นในหลายด้าน และหนึ่งในเหตุผลที่น่าตื่นเต้นที่สุดก็คือ ผลของมันที่มีต่อรูปลักษณ์ของเรา ใครก็ตามไม่ว่าจะสวยหรือไม่ แค่ไหน ก็สามารถดูดีขึ้นได้อย่างมากด้วยการออกกำลัง และนี่คือผลประโยชน์บางอย่างจากการออกกำลัง
1. ผิวของคุณจะดูดีขึ้น การออกกำลังมีผลในแง่บวกหลายอย่างต่อผิวของเรา มันช่วยเติมสีสันให้พวงแก้ม ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งขึ้นจากการไหลเวียนโลลิตที่ดีขึ้น และมันยังทำให้ผิวของคุณกระชับขึ้น ซึ่งช่วยป้องกันความหย่อนยานหรือริ้วรอยได้ด้วย

2. ขนาดร่างกายของคุณจะสมส่วน การออกกำลังเป็นประจำจะช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีส่วนเกินและลดน้ำหนักได้ คุณจะค่อยๆ มีขนาดร่างกายที่เหมาะสมกับส่วนสูงและโครงสร้างร่างกายของคุณ มันจะทำให้ความมั่นใจของคุณเพิ่มขึ้น และคุณก็จะดูดีขึ้นตามไปด้วย

3. ผมของคุณจะแข็งแรงกว่าเคย การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยให้มีการสูบฉีดโลหิตไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย รวมทั้งหนังศีรษะด้วย รากผมจะได้รับอาหารจากเลือดที่เต็มไปด้วยออกซิเจน และช่วยกำจัดอนุมูลอิสระก่อนที่มันจะทำลายเส้นผมของคุณ

4. ดวงตาของคุณจะแจ่มใสขึ้น นี่เป็นผลของการไหลเวียนโลหิตที่ดีเช่นกัน มันจะทำให้ดวงตามีความชุ่มขึ้นและแจ่มใส นอกจากนี้ การใช้สายตาจับจ้องไปข้างหน้าตลอดเวลาของการออกกำลัง ทำให้ได้มีการออกกำลังกล้ามเนื้อดวงตา ที่ทำให้มันแข็งแรงขึ้นด้วยเช่นกัน

5. กล้ามเนื้อจะดีขึ้น การออกกำลังแต่ละอย่างจะทำให้กล้ามเนื้อของคุณกระชับขึ้น และดูเพรียวขึ้น เสื้อผ้าจะเข้ากับรูปร่างได้อย่างสวยงาม และคุณก็จะดูฟิตมากขึ้นด้วย


ที่มา Lisa




 

Create Date : 19 มิถุนายน 2552    
Last Update : 20 มิถุนายน 2552 20:14:11 น.
Counter : 343 Pageviews.  

ถ่ายรูปให้ออกมาดูผอมเพรียว

อย่างแรกต้องหามุมสวยของหน้าตัวเองให้ได้ก่อนค่ะ วิธีง่ายๆ คือการยืนหน้ากระจก มองหน้าตัวเองตรงๆ แล้วลองหันซ้าย หันขวา กดหน้า เอียงหลายๆ มุม จนกว่าจะเจอมุมที่คิดว่าดูดีที่สุด แล้วจำมุมองศานั้นไว้ให้แม่น จากนั้นฝึกซ้อมการวางตา และปาก หน้ากระจกบ่อยๆ (แต่ต้องตอนอยู่คนเดียวนะคะ) พอเราเริ่มคุ้นมุม จะสามารถถ่ายรูปได้อย่างเป็นธรรมชาติ

เมื่อหน้าสวยแล้ว ต่อไปก็ต้องดูเรื่องท่าทางค่ะ
การยืน ให้เรายืนวางขาทำมุม 45 องศากับกล้อง โดยมีขาข้างหนึ่งล้ำหน้าออกไป บิดเอวและลำตัวด้านบนเข้าหากล้อง จะช่วยให้เอวดูเล็กลง มือไม้ถ้าไม่รู้จะวางที่ไหนให้เอามาประสานกันไว้แถวหน้าท้อง จะทำให้มีช่องว่างช่วงเอวดูไม่ตัน และยังช่วยปิดหน้าท้องได้ด้วย

Tips ถ้าต้องยืนถ่ายรูปเป็นหมู่คณะ ให้หลีกเลี่ยงการยืนตรงกลาง ยืนถัดออกมาจากจุดศูนย์กลาง 2-3 คน จะดูตัวเล็กลง ลองสังเกตดูสิคะ คนยืนถ่ายรูปตรงกลางมักจะดูตัวใหญ่สุดเสมอ


การนั่ง ถ้าต้องนั่งถ่ายรูป ให้เรานั่งเก้าอี้แค่ครึ่งหนึ่ง เพื่อให้ตัวไม่จมหายไปในเก้าอี้ และนั่งเอียงสะโพก 45 องศากับกล้อง โดยให้สะโพกชิดขอบเก้าอี้ด้านใดด้านหนึ่ง ยืดหลังให้ตรง ประสานมือไว้ที่ตัก กดใบหน้าลงเล็กน้อย แล้วมองกล้อง จะช่วยให้ใบหน้าดูเล็กลงและดวงตากลมโตขึ้น


การแต่งตัว ควรเลือกเสื้อแบบพอดีตัว อย่ารัดหรือหลวมเกินไป ลายใหญ่ๆ อย่างลายจุด ลายดอก หรือลายเรขาคณิตก็เป็นสิ่งต้องห้าม เพราะจะทำให้ดูตัวใหญ่ขึ้นไปอีก เลือกเสื้อผ้าสีเข้ม อย่างดำ น้ำตาล เทา หรือเนื้อผ้าไม่มัน เพราะเวลาโดนไฟแฟลชจากกล้อง เนื้อผ้ามันจะทำให้ดูตัวหนาขึ้น

Tips รองเท้าส้นสูง (อย่างน้อย 3 นิ้ว) ใส่แล้วจะทำให้ดูรูปร่างโปร่งขึ้น รับรองดูผอมทันตา


การแต่งหน้า เน้นที่ดวงตาให้สวย ดัดและปัดขนตาให้ดูตขึ้น อย่าเน้นขอบตาล่างมากเกินไป เพราะจะทำให้ตาโรยเหมือนเหนื่อย ใช้มาสคาร่าสีอ่อนปัดคิ้วเบาๆ แรเงาข้างจมูกนิดหน่อยให้ดูเด่นขึ้น และแรเงาข้างแก้มให้ดูตอบลง แล้วปัดแก้มสีชมพูอีกนิด อย่าลืมเติมปากสีนู้ดดูเป็นธรรมชาติ อย่าเลือกลิปสติกเนื้อกลอสแบบมันวาว ถ้าสะท้อนแสงแฟลชอาจทำให้ดูริมฝีปากมันเงาเกินไป

สุดท้ายคือรอยยิ้ม ความมั่นใจ และความรู้สึกดีๆ จากภายในที่แสดงออกผ่านสีหน้าและแววตา ซึ่งจะทำให้ถ่ายรูปออกมาได้สวยที่สุดค่ะ



ที่มา sanook.com




 

Create Date : 18 มิถุนายน 2552    
Last Update : 20 มิถุนายน 2552 6:37:00 น.
Counter : 418 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  

icy_cute
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]







CO.CC:Free Domain
Friends' blogs
[Add icy_cute's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.